อาทิตย์นี้ เวียดนามจะได้ปธน.คนใหม่ซึ่งเป็นกรรมการกรมการเมืองที่อายุน้อยที่สุดเพียง 52 ปี และจะเข้ามาถือบังเหียนของเวียดนาม หลังจากการปราบปรามคอร์รัปชันในระดับสูงของพรรคเพิ่งจบสิ้นไปไม่ถึง 1 เดือน
ชื่อของเขาคือ โว วัน เทือง (Vo Van Thuong)
ซึ่งท่านเลขาธิการของพรรคดูจะภาคภูมิใจกับการคัดเลือกครั้งนี้ เพราะเขาอยู่ด้านที่ต่อต้านคอร์รัปชัน และจะอยู่ในตำแหน่งจนถึงปี 2026 (อีก 3 ปี) จนหมดวาระของอดีตปธน.เหงียน ซวน ฟุก (ที่ถูกกดดันให้ลาออกไป เมื่อกลางเดือนมกราคมนี้เอง)
บางคนอาจจะมองว่า เป็นการผลัดใบของ CPV (พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม) ที่เคยอยู่ใต้การบริหารของปธน. และนายกฯ ที่อายุเกิน 60 ปีทั้งนั้น
โดยเฉพาะท่านเลขาธิการพรรคเหงียน ฟู้ จ่อง ซึ่งได้รับความไว้วางใจให้กุมบังเหียนพรรคเป็นสมัยที่ 3 และอายุใกล้ 80 แล้ว ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งเลขาธิการพรรคตั้งแต่ปี 2011 (12 ปีมาแล้ว) และควบตำแหน่งเลขาธิการของคณะกรรมการกลางทหารด้วย
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า ปธน.โว วัน เทือง น่าจะได้รับคัดเลือกเป็นปธน.ต่อไปเป็นสมัยที่ 2 ในปี 2026 และน่าจะเป็นทายาททางการเมืองของท่านเลขาธิการพรรคเหงียน ฟู้ จ่อง ที่จะควบตำแหน่งเลขาธิการพรรคอีกด้วย ขณะที่อายุของโว วัน เทือง จะแค่ 55 ปี (ในปี 2026) เท่านั้น!
การปรับเปลี่ยนปธน.และครม.ของปธน.เหงียน ซวน ฟุก เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อต้นปีนี้ หลังจากเกิดการปราบคอร์รัปชันใหญ่ของท่านเลขาธิการพรรคขิงแก่ที่ฟันคนโกงชาติออกจากตำแหน่งเป็นร้อยๆ คน (เหมือนที่เกิดขึ้นในประเทศจีน กรณีปธน.สี ปราบคอร์รัปชันอย่างหนัก จนสามารถนำตัวคณะกรรมการกรมการเมืองบางคนต้องติดคุกหรือถูกประหารชีวิต)
ฝ่ายตะวันตกได้ทียุแยงให้เกิดการแตกสามัคคี ทั้งในจีนและเวียดนาม โดยกล่าวหาว่าสิ่งที่ปธน.สี ดำเนินการปราบการโกงกินชาตินั้น ที่แท้จริงคือ กำจัดศัตรูทางการเมืองของเขาเช่น กรณีอดีตผู้ว่านครฉงชิ่ง ป๋อ ซีไหล ซึ่งเป็นเจ้าชายน้อยเพราะเป็นบุตรชายทายาทของอดีตผู้นำสมัยเดินทัพไกลเคียงข้างกับเหมา เจ๋อตุง และป๋อ ซีไหล ก็อยู่ในข่ายจะได้รับคัดเลือกจากพรรคให้เป็นเลขาธิการพรรคแข่งกับสีด้วย
แต่ก็เป็นที่ประจักษ์ถึงการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างมหาศาลที่ป๋อ ซีไหล และภรรยานักกฎหมายของเขา ได้มีสตางค์มั่งคั่งจากการโกงหรือรับใต้โต๊ะ แล้วมีคฤหาสน์หรือเพนต์เฮาส์อยู่กลางมหานครใหญ่ของโลก รวมทั้งย่ามใจขนาดลงมือสังหารผู้ร่วมการลงทุนด้วยซ้ำ
ยังมีกรรมการกรมการเมืองตำแหน่งใหญ่ๆ ในจีนที่ดูแลรัฐวิสาหกิจน้ำมันที่กินใต้โต๊ะ และมั่งคั่งมหาศาลที่มีหลักฐานแจ่มชัด จนถูกศาลตัดสินประหารชีวิต
ที่เวียดนามท่านเลขาธิการเหงียน ฟู้ จ่อง ท่านหนักแน่นมาตั้งแต่เป็นประธานสภาแห่งชาติ (2006-2011) โดยเป็นผู้แทนจากเมืองฮานอย
เมื่อได้รับคัดเลือกจากพรรคให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ถึง 3 วาระ ท่านไม่รอช้า ได้ดำเนินการปราบปรามการโกงชาติอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ “กำชับ” และขยิบตาให้เหล่าเจ้าสัวหรือเจ้าพ่อน้ำมัน เจ้าพ่อไฟฟ้าเข้ามากอบโกยปล้นประชาชนแบบประเทศไทย หรือเปิดทางให้กรรมการพรรครับใต้โต๊ะจากการลงทุนของต่างชาติที่เฮกันหอบเงินลงทุนมาเวียดนาม หลังจีนปิดประเทศ (ล็อกดาวน์) ถึง 3 ปีจากพิษโควิด
กรณีที่ปธน.เหงียน ซวน ฟุก ต้องจำใจเขียนจดหมายลาออก เพราะถ้าไม่ยอมลาออกจะถูกพรรคลงคะแนนปลดออก (จะถูกดำเนินคดีต่อไป) จากข้อหาที่เป็นผู้นำฝ่ายบริหาร(สมัยเป็นนายกฯ) ที่แต่งตั้งรมต.ชั่ว 2 คนเป็นอย่างน้อยที่เข้ามาโกงกินชาติ
นั่นคือ ช่วง 2020-2021 รมต.ต่างประเทศของนายกฯ เหงียน ซวน ฟุก ได้ดำเนินการจัดหาเครื่องบินเพื่อไปลำเลียงนำเอาประชาชนเวียดนาม (ที่ตกค้างอยู่ต่างประเทศ เพราะถูกล็อกดาวน์ และไม่มีไฟลต์กลับประเทศเนื่องจากสายการบินหยุดให้บริการ) กลับบ้าน
การจัดหาบริษัทมาบินพาคนกลับเวียดนามนี้ ทำอย่างรีบเร่ง (สถานการณ์ขณะนั้น ประเทศต่างๆ รีบล็อกดาวน์กันทั่วโลก) แต่ก็เป็นการจัดหาเครื่องบินในยามฉุกเฉิน ซึ่งทำให้ไม่มีการเปิดประมูลตามปกติ
ปรากฏว่า เครื่องบินที่บินไปรับคนเวียดนาม ได้ไปรีดไถต่อคนเวียดนาม (ทั้งนักธุรกิจ, นักศึกษา, นักท่องเที่ยว) ที่ตกค้างอยู่ในทวีปต่างๆ ซึ่งบางคนสู้ราคาที่เรียกเก็บใต้โต๊ะไม่ไหวเลยอดบินกลับบ้าน และต้องทนอาศัยในต่างประเทศถึง 3 ปีจนโควิดทุเลา
ความจริงจึงเพิ่งปรากฏว่า เครื่องบินที่เรียกเก็บเงินแบบรีดไถนี้ ส่วนหนึ่งเพราะได้มีการจ่ายใต้โต๊ะให้กับรมต.ต่างประเทศ (ต่อมามีตำแหน่งเป็นรองนายกฯ)
ส่วนรมต.อีกคนที่ถูกพรรคลงคะแนนให้ปลดออกคือ รมต.ดูแลด้านสาธารณสุข ในการจัดซื้อจัดหาเครื่องตรวจเชื้อโควิด ซึ่งมีการจัดซื้อด้วยราคาแพงมาก...แต่ก็อีกเช่นกัน ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานที่ต้องแย่งกันจัดหามาใช้ให้ได้ (แข่งกับทุกประเทศตอนต้นๆ ของการระบาดปี 2020-2021)…ซึ่งต่อมาท่านเลขาธิการเหงียน ฟู้ จ่อง ท่านพบว่า มีการจ่ายใต้โต๊ะทำให้รัฐบาลเวียดนามต้องจ่ายด้วยราคาแพงเกินเหตุ และมีการสั่งมาจำนวนมากผิดปกติด้วย!
2 รมต. 2 คนนี้ถูกลงคะแนนให้ปลดออกจากพรรค และตามมาด้วยการดำเนินคดีฉ้อราษฎร์บังหลวงเต็มที่ พร้อมกับรมต.ที่เกี่ยวข้องอีก 2 คนและเจ้าหน้าที่ใกล้ชิดอีกจำนวนหนึ่งที่ถูกจับกุมและดำเนินคดีโกงกินชาติ
ปธน.เหงียน ซวน ฟุก ก็โดนเข้าจังๆ แม้เขาได้เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งปธน.ยังไม่ถึง 1 ปีด้วยซ้ำ
ข้อหาที่จะต้องถูกปลด ถ้าไม่ยอมลาออกก็คือ
1. ปธน. (เมื่อครั้งเป็นนายกฯ) รู้เห็นกับการรับใต้โต๊ะของรมต.ทั้งสองใช่ไหม จึงไม่ได้รีบดำเนินการสอบสวนเอาความผิด
2. ถ้าปธน.เหงียน ซวน ฟุก บอกว่า ไม่รู้ไม่เห็นต่อการรับสินบนใต้โต๊ะของรมต.ทั้งสองคน เขาก็ต้องมีความผิดอยู่ดีในฐานะไร้ความสามารถ ที่มีลูกน้องโกงกิน แล้วตัวเองก็ยังไม่ระแคะระคายกับการโกงของลูกน้อง
3. ถ้าไม่มีส่วนโกงกินกับลูกน้องก็ยังต้องมีความผิดในฐานะไร้ความสามารถ ในการคัดเลือกบุคคลเข้ามารับตำแหน่งสูงสุด (รมต.) ในการบริหารบ้านเมือง
เหงียน ซวน ฟุก จึงจำต้องลาออก ซึ่งจะต่างกับไทยที่ผู้นำไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่รู้ ไม่เห็นกับการโกงกินใต้จมูกของตนเองตลอด 8-9 ปีที่ผ่านมา
นักลงทุนกำลังมองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเวียดนาม ที่กำลังปราบการโกงกินรับใต้โต๊ะ ที่จะทำให้การลงทุนในเวียดนามลดค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายใต้โต๊ะนั่นเอง!