นักวิชาการนิด้าแฉการยกระดับของม็อบราษฎร หลัง 18 พ.ย.ที่ราชประสงค์ แท้จริงแล้วต้องการดึงสถาบันกษัตริย์มาเป็นคู่ขัดแย้ง หวังมุ่งเปลี่ยนโครงสร้างรัฐไทย จากพลังของคน 3 กลุ่ม วิกฤตครั้งนี้จัดการยากกว่าการต่อสู้ระหว่างม็อบเหลือง-แดง ระบุ ‘บิ๊กตู่-รัฐสภา’ ต้องออกมาทำความจริงให้ปรากฏไม่ใช่ปล่อยม็อบจาบจ้วงพระองค์ท่าน เพราะ ‘ในหลวง-ราชวงศ์’ ปกป้องตัวเองไม่ได้ แจ้งความตำรวจก็ไม่ได้เพราะทุกคนคือประชาชนของพระองค์ จึงต้องแบกความทุกข์ไว้ ชี้ม็อบราษฎรจะยกระดับขึ้นเรื่อยๆ สังคมไทยจะหนีการนองเลือดได้หรือไม่?
สถานการณ์การเคลื่อนไหวของม็อบคณะราษฎรที่มีการยกระดับการต่อสู้มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการต่อสู้ที่ราชประสงค์ ในวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่รู้สึก และสัมผัสได้ว่าข้อเรียกร้องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีลาออก และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเพียง ‘กลลวง’
แต่เป้าประสงค์จริงๆ ของม็อบคณะราษฎรต้องการดึงสถาบันกษัตริย์ออกมาเป็นคู่ต่อสู้ มีการใช้คำพูดและเขียนข้อความบนถนนด้วยถ้อยคำที่จาบจ้วง มีการสาดสีและปีนขึ้นไปยังฐานพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระพันปีหลวง ที่เป็น ‘หัวใจ’ ของคนไทยทั้งประเทศ มีการพูดถึงสร้อยพระศอที่สมเด็จพระพันปีหลวงทรงสวมใส่ คือ ‘เพชรสีน้ำเงิน’ หรือ ‘Blue Diamond’ เสมือนว่าเป็นสร้อยที่ถูกขโมยมาจากประเทศซาอุดีอาระเบีย
พร้อมประกาศนัดรวมตัวกันในวันที่ 25 พ.ย.นี้ ที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เป็นการสมควรหรือไม่ที่จะไปชุมนุมที่แห่งนี้
ล่าสุด เฟซบุ๊กเยาวชนปลดแอก - Free YOUT ได้ประกาศย้ายสถานที่ชุมนุม จากสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนเป็นธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่แล้ว
ด้านนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ‘เพนกวิน’ ประกาศ 25 พ.ย. จะเป็นม็อบเบิ้มๆ มีเซอร์ไพรส์ด้วย
ก่อนที่จะถึงวันที่ 25 พ.ย.ก็ได้มีการรวมตัวในวันที่ 22 พ.ย. มีการเปิดตัวแนวร่วมทั้งกลุ่ม นปช.ที่เรียกตัวว่า เสื้อแดงก้าวหน้า 63 ม็อบคณะราษฎร ภาคีนักศึกษาศาลายา และ ‘การ์ดภาคีเพื่อประชาชน’ ในลักษณะเป็นกองกำลังในการปกป้องถึง 10 กลุ่ม ที่ถนนอักษะ ซึ่งเป็นถนนประวัติศาสตร์ของคน ‘เสื้อแดง’ ปักหลักชุมนุมครั้งสุดท้ายก่อนรัฐประหารมี 2557
จับตาการยกระดับของม็อบจากวันที่ 25 พ.ย.เป็นต้นไป จะเพิ่มความเข้มข้นเพียงใดและถึงเวลาหรือยังผู้เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาจะออกมารับผิดชอบทำความจริงให้กระจ่าง!
ศ.ดร.ชาติชาย ณ เชียงใหม่ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง และอาจารย์คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ บอกว่า การชุมนุมวันที่ 18 พ.ย.ไม่ได้มีการพูดถึงข้อเรียกร้องอื่นๆ แต่เป็นเวทีที่ออกมาถล่มสถาบันกษัตริย์โดยตรง สิ่งที่พวกเขาพูดในวันนั้นเป็นการดึงสถาบันฯ ออกมาเป็นคู่ต่อสู้ วิธีการแบบนี้สุ่มเสี่ยงและอันตรายมาก ม็อบควรจะรู้ว่าสถาบันกษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย อยู่เหนือการเมือง แต่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
“ม็อบพยายามทำให้คนเข้าใจว่าสถาบันฯ อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ โจมตีเรื่องส่วนตัวทั้งๆ ที่สถาบันฯ ทรงเมตตาบอกกับนายกฯ บิ๊กตู่ว่า มาตรา 112 อย่าได้นำไปใช้จับใครหรือกล่าวหาใคร”
หากเราติดตามการเคลื่อนไหวของม็อบจะเห็นชัดว่าการพูดของพวกเขาเป็นความตั้งใจที่จะดูหมิ่น ตั้งใจให้สถาบันฯ ออกมาตอบโต้ หรือส่งตัวแทนออกมาตอบโต้ก็ได้ แต่สิ่งที่พวกเขาได้เห็นกลับไม่ใช่อย่างที่ต้องการ เพราะสถาบันฯ ไม่ได้ออกมาตอบโต้อะไรเลย จะมีก็แต่พสกนิกรของพระองค์ที่มีความเจ็บปวด ทนการจาบจ้วงไม่ไหว ก็ออกมาตอบโต้ในรูปแบบต่างๆ
“ไม่รู้ว่าคนที่รักสถาบันฯ ทุกวันนี้จะมีขีดความอดทนได้ถึงขั้นไหน ทุกวันนี้ก็ออกมาตำหนิพวกม็อบ บางกลุ่มก็ออกมาต่อว่าธนาธร ตะโกนด่าว่า ธนาธร อยู่เบื้องหลังเป็นพวกล้มเจ้า ที่น่าห่วงวันที่ 25 พ.ย.ไม่จบแน่ๆ วันต่อๆ ไปจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จะเกิดการปะทะ นองเลือดหรือไม่”
สิ่งสำคัญที่สุด รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงต้องมีความอดทนมากและจะต้องเลือกใช้วิธีการเจรจาไปพร้อมๆ กัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายม็อบจะเจรจากันได้หรือเปล่า หรือผู้ที่อยู่ข้างหลังม็อบต้องการจะเจรจาด้วยหรือไม่?
“ปกติในยามสงครามหรือการต่อสู้ ฝ่ายที่ได้เปรียบจะไม่เจรจา แต่จะขอเจรจาก็ต่อเมื่อรู้ว่าตัวเองเสียเปรียบ ส่วนคนกลางที่จะทำให้เกิดการเจรจาได้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นใคร เพราะคนกลางจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อได้รับความนับถือจากคู่ขัดแย้ง”
สำหรับการเคลื่อนไหวของม็อบราษฎรจะหาผู้ที่มาทำหน้าที่เป็นคนกลางเพื่อยุติปัญหาได้ยากมาก เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องของเสื้อแดง เสื้อเหลืองแต่เป็นการต่อสู้ของม็อบที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจรัฐอย่างเฉียบพลัน พวกเขาต้องการเปลี่ยนอำนาจในเชิงจารีตประเพณี อำนาจทางการเมือง อำนาจทางเศรษฐกิจที่พัฒนาขึ้นมาควบคู่และดำรงอยู่ในสังคมไทยตั้งแต่ พ.ศ.2500 ซึ่งเป็นเรื่องที่รุนแรงมากสำหรับคนไทยในเวลานี้
ศ.ดร.ชาติชาย ณ เชียงใหม่ ย้ำว่า โครงสร้างรัฐไทยที่สะสมกันมาเป็นไปตามโครงสร้างจารีตประเพณี บวกกับอำนาจที่มาจากการเมือง ซึ่งอำนาจรัฐนั้นถ้าไม่นับอำนาจตามจารีตประเพณี ประกอบด้วยกลุ่มอิทธิพลทางการเมือง กลุ่มที่กุมอำนาจเศรษฐกิจและสามารถกำหนดกดดันนโยบายของรัฐบาลได้ ซึ่งเป็นคนชั้นกลางส่วนบนและคนชั้นสูง และมักเป็นนักการเมืองประเภทบิ๊กเนมทั้งนั้น
“เวลานี้บิ๊กเนมพวกนี้กำลังถูกท้าทายด้วยคนรุ่นใหม่และกลุ่มทุนภูธรซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ต้องการที่จะมีโอกาสเกิดและเติบโตมีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองแต่โครงสร้างอำนาจทางการเมืองและอำนาจทางเศรษฐกิจที่เป็นอยู่แบบนี้โอกาสที่พวกเขาจะเกิดเป็นไปได้ยาก”
ทั้งนี้ เพราะกลุ่มทุนใหญ่ในบ้านเราเป็นกลุ่มทุนระดับประเทศ บางกลุ่มเป็นทุนข้ามชาติ จึงควบคุมโอกาสทางเศรษฐกิจ เป็นเจ้าของการค้า หรือเจ้าของรายได้ผลผลิตของประเทศ พูดชัดๆ ก็คือในบ้านเรากลุ่มทุนใหญ่ 10% เป็นเจ้าของรายได้ประชาชาติไป 80% แล้ว
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน กลุ่มทุนภูธร เช่น บริษัทรับเหมาที่ไม่มีโอกาสได้สัมปทานโครงการขนาดใหญ่ ทั้งๆ ที่การก่อสร้างไปเกิดในพื้นที่ในจังหวัดที่พวกเขาอาศัยอยู่ พวกเขาสามารถได้งานรับเหมาช่วงมีรายได้เพียงแค่เลี้ยงบริษัทและครอบครัวให้พออยู่ได้เท่านั้น
“ในจิตใจลึกๆ เขาน่าจะมีความโกรธ ขุ่นเคืองใจ เหมือนกินน้ำใต้ศอก ไม่มีโอกาสจะเกิด บางธุรกิจทำไปได้เงินแค่ส่งดอกเบี้ยแบงก์จริงๆ แต่เขาก็ต้องทำ เพราะไม่มีอะไรจะทำ”
สถานการณ์ดังกล่าวคือความแตกต่างในโอกาสที่ขยับสถานทางเศรษฐกิจ สังคม เป็นเรื่องของการเหลื่อมล้ำในโอกาส ซึ่งเกี่ยวพันกับโครงสร้างอำนาจระดับประเทศใหญ่ ที่รัฐบาลที่มุ่งปฏิรูปไม่ได้แก้ไขอย่างจริงจัง
ตรงนี้แหละเป็นเหตุผลสำคัญที่กลุ่มคนชั้นกลางรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งไม่พอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อมาผสมผสานกับแนวคิดของกลุ่มคนรุ่นหนุ่ม คนรุ่นใหม่ที่ไม่เอาประเพณีเดิม ไม่ชอบจารีตเดิม ไม่สนใจประวัติศาสตร์ เพราะเขาเชื่อว่าประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่คนเขียนขึ้นมา เพื่อสร้างประโยชน์ให้คนรุ่นนั้น จึงเป็นเรื่องที่เชื่อไม่ได้
“คนรุ่นใหม่ที่อายุต่ำกว่า 30 ปีลงมา บวกกับคนรุ่นใหม่ที่อ่านและศึกษามาก ทำให้พวกเขามีความคิดรุนแรง ฝังใจแรง หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เขาคิดและต้องการให้เป็น อย่างที่แกนนำประกาศชัดเจน ในสิ่งที่เขาคิด ถ้าเราไม่เปลี่ยนแล้วใครจะมาเปลี่ยน หรือต้องให้จบที่รุ่นเรา
ศ.ดร.ชาติชาย ณ เชียงใหม่ ชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการผสมผสานของคน 3 กลุ่มคือ
1.กลุ่มคนชั้นกลางรุ่นใหม่ที่อยู่ในทุกจังหวัด ซึ่งกลุ่มนี้จะโทษรัฐบาลเป็นตัวต้นเหตุก่อนว่ารัฐบาลนี้ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้พวกเขาเสียเปรียบดุลอำนาจในแทบทุกด้าน
2.กลุ่มคนอายุต่ำกว่า 30 ปีลงมา มีการศึกษา อ่านหนังสือ มีความคิดและต้องการสร้างสังคมใหม่
3.กลุ่มแกนนำหัวรุนแรง
ทั้ง 3 กลุ่มจึงกลายเป็นแนวร่วมทางความคิดโดยปริยาย ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจรัฐ และพวกเขาคิดกันว่าหากมองลึกลงไปว่าโครงสร้างอำนาจตามจารีตประเพณีเป็นศูนย์กลางที่อำนาจเศรษฐกิจ อำนาจทุน อำนาจการเมืองมักไปผูกติดเพื่อสร้างความชอบธรรม
แต่คำถามที่ม็อบคณะราษฎร จะต้องเรียนรู้อย่างเข้าใจคือสิ่งที่พวกเขาคิดเปลี่ยนแปลง มันไม่ใช่สูตรสำเร็จว่าการลดทอนฝั่งซ้ายแล้วไปเพิ่มฝั่งขวา จะไปสร้างประชาธิปไตยอ้างความเท่าเทียมกันได้ทันที
“การได้อำนาจอธิปไตยด้วยการใช้กำลังอำนาจซึ่งคิดแบบเผด็จการความรุนแรง เมื่อเผด็จการมาสร้างประชาธิปไตย ก็จะเกิดเผด็จการรูปแบบหนึ่ง ก็จะเกิดเป็นกงเกวียนกำเกวียน คาราคาซังไม่จบสิ้นเหมือนที่หลายประเทศเป็นอยู่”
ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดคือจะต้องทำให้ทุกฝ่ายได้เห็นอะไรที่กว้างขึ้น หากทุกฝ่ายยังหมกมุ่นกับข้อมูลของใครของมัน โอกาสที่จะเกิดการปะทะและนำไปสู่ความรุนแรงมีได้ทุกนาที
“ทุกวันนี้ไม่มีใครกล้าคุยเรื่องการเมืองกันแล้ว เพราะการเมืองทำให้คนแตกกัน ทั้งที่ความจริง เราต้องคุยกันว่าใครคิดอย่างไร มีผลอย่างไร จะปรับไปด้วยกันอย่างไร ซึ่งจริงๆ ควรมีเวทีเปิดเพื่อลดความขัดแย้ง และเราต้องปรับไปด้วยกัน เราต้องประนีประนอมไปด้วยกัน”
ดั่งที่ ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงให้สัมภาษณ์สำนักข่าว CNN ว่า “เรารักพวกเขาทุกคนเหมือนกัน” (We Love Them All the Same) ถึง 3 ครั้ง และทรงบอกให้รู้ว่าประเทศไทย “เป็นดินแดนแห่งการประนีประนอม” (Thailand is the Land of Compromise)
นี่คือกระแสพระราชดำรัสที่ทุกฝ่ายต้องนำไปใช้เพื่อลดความขัดแย้งให้ได้ด้วยการนำไปเปิดเวทีหารือ พูดคุยแลกเปลี่ยนกระจายทุกหย่อมหญ้า
แต่ใช่ว่าบิ๊กตู่และหน่วยงานด้านความมั่นคงจะปล่อยให้ม็อบราษฎรจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เช่นนี้ เพราะสถาบันฯ อยู่เหนือการเมือง พระองค์ท่าน และราชวงศ์จะไปแจ้งความหรือบอกตำรวจให้ดำเนินคดีก็ไม่ได้ต้องมีคนไปแจ้งความกับตำรวจ หรือตำรวจทำการจับกุมผู้กระทำผิด
พระองค์ท่านทรงปกป้องพระองค์เองไม่ได้และในสถานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์ต้องเมตตาและดูแลประชาชนทุกหมู่เหล่าเท่ากันเหมือนพ่อกับแม่ ถึงลูกจะไม่ดีอย่างไร ด้วยความรักก็ให้อภัยเสมอลูกหลานขัดแย้งก็ทุกข์ใจอยู่แล้ว”
ศ.ดร.ชาติชาย บอกอีกว่า พระเจ้าอยู่หัวเป็นเอกลักษณ์ของเมืองไทยซึ่งไม่มีที่ไหนในโลก แสดงถึงความมีเอกราช ความเป็นไท เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนเป็นประเทศเดียวในโลกที่พระราชามีพระราชกรณียกิจ และอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่ไปเสริมไปเติมงานของทางราชการเพื่อให้ประชาชนที่ขาดแคลน อ่อนแอ อยู่ดีกินดี ดังคำว่า ราชประชาสมาสัย ซึ่งแปลว่า การร่วมคิด ร่วมทำระหว่างพระเจ้าอยู่หัวกับประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน
“ประชาชนขัดแย้งกัน พระองค์ท่านก็ทุกข์ใจอยู่แล้ว ยังมาเจอประชาชนจาบจ้วงด้วยวาจา รูปภาพต่างๆ แต่พระองค์ท่านไม่ทรงอยู่ในสถานะที่ตอบโต้ได้ อย่างเราใครมาด่าพ่อแม่ พี่น้องเราเราก็เจ็บแค้นตอบโต้ได้ แต่พระองค์ท่านทรงอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากใจ ทุกข์ใจ ออกมาพูดมาบ่นไม่ได้ พระองค์ท่านก็เป็นปุถุชน ใครบ้างจะชอบให้ใครมาติฉินนินทา ด่าทอ หากอยากจะปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ จะปรับเปลี่ยนอย่างไร ก็เสนอแนะด้วยเหตุด้วยผลหาช่องทางการปรับเปลี่ยนผ่านสภา น่าจะดีกว่าที่ม็อบราษฎรทำอยู่ในเวลานี้”
ศ.ดร.ชาติชาย ระบุว่า ในชีวิตนี้นึกไม่ถึงว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่ม็อบราษฎรกระทำเป็นบาดแผลลึกในหัวใจคนไทยที่ต้องใช้เวลานานในการเยียวยาเพราะได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ที่คนทั่วโลกได้รู้ได้เห็นจึงต้องเร่งกำหนดเป็นวาระแห่งชาติที่จะต้องแก้ไขรีบด่วน
ที่สำคัญรัฐบาลบิ๊กตู่ต้องรีบออกมาแถลงข่าว หรือชี้แจง 2 เรื่องใหญ่ที่เป็นประเด็นให้ม็อบราษฎรนำไปใช้โจมตีสถาบันกษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการโอนอัตรากำลังพล และงบประมาณบางส่วนของกองทัพใน 2 หน่วยกรมทหาร คือ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ และกรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ไปเป็นหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์
รวมทั้งการตราพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ฉบับใหม่ด้วยการถวายเป็นพระราชอำนาจในการจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย
“บิ๊กตู่ สมาชิกรัฐสภา ต้องรีบดำเนินการเพราะรัฐบาลและสภาไม่ใช่หรือที่ออกกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ปัจจุบัน อดีต สนช.หลายคนก็นั่งอยู่ในสภาต้องไปคิดไปหาทางออกจะทำอย่างไร จะอธิบายให้เข้าใจเหตุผลอย่างไรจะปล่อยให้พวกเขาเอาหินปาใส่พระองค์ท่านแบบนี้ต่อไปหรือ”
จากนี้ไปต้องจับตาดูว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะตัดสินใจแก้สถานการณ์นี้อย่างไร หรือสังคมไทยจะหลีกหนีการนองเลือดไม่พ้น!