จับ “โตโต้” หัวหน้าการ์ด ผิด ม.116 “บิ๊กกวิ้น” ดิ้น “ปล่อยเดี๋ยวนี้” คณะราษฎร เหิมเกริม ผลิต “ธนบัตร” แจก 3,000 ใบ 25 พ.ย. นักวิชาการออกโรงโต้ข้อกล่าวหา “3 นิ้ว” พฤติกรรมจาบจ้วงสถาบัน เป็น “สันติวิธีแบบสงครามชิงอำนาจ”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (24 พ.ย. 63) “โตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ หัวหน้าการ์ดม็อบคณะราษฎร 63 ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ก โตโต้ ปิยรัฐ - Piyarat Chongthep ขณะที่ตัวเองถูกเจ้าหน้าที่เข้าจับกุม ส่งตัวไปยัง สน.ศาลาแดง
ขณะที่ เฟซบุ๊ก เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ โพสต์ข้อความว่า “ปล่อยพี่โตโต้เดี๋ยวนี้!”
ขณะเดียวกัน นายสุนัย ผาสุก ที่ปรึกษาฮิวแมนไรต์วอตช์ ประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ Sunai @sunaibkk ว่า
“ด่วน! โตโต้ @TOTOPiyarat หัวหน้าการ์ด WeVo ถูกจับข้อหา ม.116 ขณะนี้ตำรวจนำตัวไป สน.ศาลาแดง เพื่อทำบันทึกจับกุม ก่อนจะส่งตัวไป สภ.อุบล #ม็อบ25พฤศจิกา”
สำหรับ “โตโต้” เพิ่งโพสต์เฟซบุ๊ก โตโต้ ปิยรัฐ - Piyarat Chongthep
@toto.piyarat • นักการเมือง
ระบุว่า
“อรุณสวัสดิ์ประชาชน
ค่ำคืนที่ผ่านมา ผู้คนมากมายต่างไม่หลับไม่นอน เพียงเพราะเฝ้าสังเกตการณ์ ความไม่ปกติของบ้านเมืองนี้ ที่เกิดการเคลื่อนไหวของเหล่าทหาร และนายพลทั้งหลาย อย่างผิดวิสัย
เพราะบ้านเมืองนี้ไม่เคยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย การรัฐประหาร หรือการเข้ายึดอำนาจ จึงถือเป็นเรื่องปกติ และเคยชินสำหรับผู้มีอำนาจในประเทศนี้ แล้วมันก็สำเร็จอยู่บ่อยครั้งไป
สำหรับผมแล้ว อะไรจะเกิด ก็สุดแต่มันจะเป็นไป สายน้ำไม่อาจจะหวนคืนฉันท์ใด ความเปลี่ยนแปลงก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ฉันท์นั้น
ขอให้พี่น้องประชาชนที่รักทั้งหลาย โปรดช่วยกันเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมข้าวปลาอาหาร พร้อมสำหรับการต่อสู้ที่จะเข้มข้นขึ้น นี่อาจจะเป็นการต่อสู้ที่ประชาชนจะปลดแอกอย่างแท้จริง เราต้องประกาศก้องให้ดังๆ อย่างพร้อมเพรียงกันว่า “รัฐประหารมึงเจอกูแน่” ประชาชนต้องไม่ยอมรับ และมีสิทธิ์โดยชอบธรรมอย่างเต็มที่ในการต่อต้าน ทุกวิธี ทุกกระบวนการ และทุกระดับ
หลังจากนี้ ขอให้พี่น้องติดตาม และรับฟังข้อเสนอของผม เพื่อเตรียมต่อต้านการรัฐประหาร ด้วยเทอญ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เฟซบุ๊ก คณะราษฎร โพสต์ข้อความพร้อมภาพ เหมือนธนบัตร ระบุว่า
“ธนบัตรของราษฎร พร้อมประกาศใช้แล้ว 25 พฤศจิกายน 2563 ประเดิมแจกหน้าสำนักงานทรัพย์สิน 3,000 ใบ เพื่อชอปปิ้งกับเหล่า CIA
ปล.สามารถใช้ซื้อของกับร้าน CIA ที่ร่วมรายการ และใช้ได้จริงตามมูลค่าหน้าธนบัตร
#ม็อบ 25 พฤศจิกา #เงินของราษฎร #กรมหลวงเกียกกายราษฎรบริรักษ์”
นอกจากนี้ รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
มีข้อวิจารณ์ขบวนเยาวชนที่ไม่จบสิ้น จากช่วงต้น “หยาบคาย” “สาดสีตำรวจชั้นผู้น้อย” มาถึงวันนี้ “สาดสี เขียนจาบจ้วง graffiti บนถนน กำแพง เสา” ข้อวิจารณ์ข้างต้นมาจากสองมุมมองที่ต่างกัน หนึ่ง “ไม่ใช่สันติวิธี” สอง “ไม่สร้างแนวร่วม ไม่แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง”
เคยวิจารณ์พวกสันติวิธีไทยไปแล้ว คนพวกนี้นิยาม “รุนแรง” ไว้กว้างขวางตั้งแต่รุนแรงต่อมนุษย์ (ทุบตีทำร้าย ฆ่า) รุนแรงทางกายภาพ (สาดสี ระบายสีข้อความ graffiti บนสถานที่) รุนแรงทางวาจา (ด่าทอหยาบคาย) บางคนเลยเถิดไปถึงรุนแรงทางกิริยา (ชี้หน้า ชูนิ้วกลาง) และรุนแรงทางใจ (โกรธเกลียดแค้นฝ่ายรัฐ)
สันติวิธีของคนพวกนี้คือ ต้องไม่ทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เป็น “พวกสันติทางศีลธรรม” มีสันติเป็นจิตวิญญาณ วิถีชีวิต เป้าหมาย วิธีการ สันติคือความรัก คือศาสนา (ไม่นับพวกนักวิชาการใหญ่และเซเลบที่เอาสันติทางศีลธรรมมาสร้างภาพหากิน)
การต่อสู้ในวันนี้คือสงครามชิงอำนาจ สงครามที่ฝ่ายรัฐซึ่งติดอาวุธตั้งแต่หัวจรดเท้ามองเยาวชนเป็นศัตรูที่ต้องปราบปราม จับกุมทำร้ายและเข่นฆ่า เยาวชนที่มีแต่สองมือเปล่า จึงมีทางเดียวคือ “สันติวิธี” แต่สันติวิธีนี้มีขอบเขตแค่ไหนขึ้นอยู่กับการกระทำของรัฐในแต่ละขั้นตอนตามสภาพความเป็นจริง เพราะอะไร? เพราะความรุนแรงทั้งปวงล้วนเกิดจากฝ่ายรัฐทั้งสิ้น
ถ้ายังมีการเจรจา dialogue อยู่ การพูดคุยอย่างสุภาพชนคือขีดจำกัดของสันติวิธี แต่เมื่อเป็นการพูดข้างเดียว monologue แถมด้วยยัดคดี ขังคุก ยิงสีผสมสารเคมีกัดกร่อน แก๊สน้ำตา กระสุนยาง ม็อบอันธพาลเสื้อเหลือง ระเบิดกระสุนจริง สันติวิธีก็ต้องปรับเปลี่ยนไป ในเมื่อเยาวชนไม่มีอาวุธกายภาพไปโต้ตอบ การประณาม สาดสี เขียน graffiti เปิดโปงต้นเหตุของความรุนแรง ไม่ให้รัฐใช้อุปกรณ์มาปราบปราม ปชช.ซ้ำอีก จึงเป็นทั้งการระบายความเจ็บปวด โกรธแค้น และเป็นสันติวิธีที่ใช้ตอบโต้ความรุนแรงของรัฐ แล้วก็ถูกพวกสันติทางศีลธรรมตำหนิว่า “ใช้ความรุนแรง”
สันติทางศีลธรรมของไทยเป็นอุดมคติของคนชั้นกลางดัดจริตบนทุ่งลาเวนเดอร์ที่มองไปก็เห็นแต่ “ความรุนแรง” จาก ปชช.ที่ถูกกดขี่ แต่ผ่อนเบาต่อความรุนแรงโดยรัฐ
Monologue ที่สองจะเป็นเรื่อง “สร้างแนวร่วม แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง”
ด้าน เฟซบุ๊ก Warat Karuchit ของ ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนาคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA โพสต์หัวข้อ “เหตุใดเราทุกคน จึงต้องช่วยกันรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์?”
เนื้อหาระบุว่า “การรักษาวัฒนธรรม คือการรักษาชาติ"
พระราชดำรัส ในหลวงรัชกาลที่ ๙
คำกล่าวนี้ เรียบง่าย แต่เป็นสัจธรรมที่จริงแท้อย่างยิ่ง เนื่องจากองค์ประกอบสำคัญที่สุดของการดำรงอยู่ของ “ชาติ” ไม่ใช่คน หรือไม่ใช่ดินแดน แต่เป็น “วัฒนธรรม” เพราะ คนในชาติ หากไร้วัฒนธรรมที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของชาติแล้ว ก็ไม่อาจนับว่าเป็น “ชาติ” ได้
แต่ “คน” เปรียบเสมือนกับพาหนะ ที่นำพา “วัฒนธรรม” นั้น ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น และไม่ใช่ดินแดน เพราะหาก “วัฒนธรรม” ของชาติใดยังคงอยู่ แม้ไม่มีดินแดนของตนเอง (เช่น มอญ) แต่ “ความเป็นชาติ” นั้น ก็ยังได้รับการจดจำอยู่ ต่างจากชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่มที่ถูกกระบวนการกลืนกินทางวัฒนธรรม (acculturation) จนวัฒนธรรมตนเองค่อยๆสูญสลายหายไปพร้อมกับความเป็นชาติ เหลือให้เห็นแต่ในหนังสือหรือพิพิธภัณฑ์
ด้วยเหตุนี้ การทำลายชาติที่ได้ผลที่สุด ก็คือ การ “ทำลายวัฒนธรรม” ของชาติ ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้ว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นส่วนสำคัญ อาจจะเรียกได้ว่าสำคัญที่สุด ของ “วัฒนธรรมไทย” ตั้งแต่สมัยสุโขทัยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ของชาติไทยนั้นก็คือประวัติศาสตร์ของพระมหากษัตริย์ในแต่ละยุคสมัย ก่อให้เกิดศิลปะ จารีต ค่านิยมต่างๆ รวมไปถึงโครงสร้างของสังคมไทย ซึ่งเป็นโครงสร้างสังคมที่มีระดับชั้นต่างๆ (Hierarchical Structure)
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดในสังคม หรือแม้กระทั่งในศาสนา ไม่ใช่แค่สูง-ต่ำ แต่ถือลำดับ ก่อน-หลัง ซึ่งทั้งหมดนี้ แปลงออกมากลายเป็นคำว่า “กาลเทศะ” “มารยาท” “ความเหมาะสม” “ความเกรงใจ” “ของสูง-ของต่ำ” และคนไทยต่างเรียนรู้ที่จะ “มีความรับผิดชอบ” ในการรักษาวัฒนธรรมและโครงสร้างของสังคมนี้ไว้ ซึ่งเราเรียกว่า “หน้าที่พลเมือง” ซึ่งกาลเทศะ และโครงสร้างสังคมแบบมีระดับชั้นนี้ เป็นคนละเรื่องกับความเท่าเทียมของสังคม (ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน แต่ต่างกันไปตามบริบทและปัจจัยทางสังคม โดยไม่ถูกละเมิดสิทธิ)
แต่แน่นอนว่า วัฒนธรรมมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามกระแสปัจจัยต่างๆ แต่การปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะทำให้เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เกิดความขัดแย้งขึ้นในสังคม แต่หากเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทันที จะก่อให้เกิดการขาดสะบั้นของวัฒนธรรม และส่งผลเสียหายอย่างรุนแรงต่อความเป็นชาติ
หรืออาจกล่าวได้ว่า “การทำลายชาติที่ก่อให้เกิดผลรุนแรงที่สุดต่อชาติไทย” ก็คือ “การทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์” นั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ คนไทยทุกคน ไม่ว่าจะคิดเห็นอย่างไรต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ตาม มีหน้าที่เหมือนกันทุกคน คือ ต้องช่วยกันประคับประคอง ธำรงรักษาเสาหลักของวัฒนธรรมไทย คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ (ที่หมายความถึงทั้งระบบ ไม่ใช่แค่เพียงพระมหากษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง) ให้คงอยู่ต่อไปได้อย่างเข้มแข็งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย เพื่อรักษา “ความเป็นชาติไทย” ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์มาหลายร้อยปี และให้เราคนไทยทุกคนได้เกิดความภูมิใจในทุกวันนี้ไว้อีกตราบนานเท่านาน
เพราะ “ความเข้มแข็งของสถาบันพระมหากษัตริย์ คือความเข้มแข็งของวัฒนธรรม และชาติไทย”
แน่นอน, การอธิบายถึงคุณค่าความสำคัญของสถาบันกษัตริย์ มิอาจมองในมิติเดียว อย่างที่ม็อบราษฎร 63 พยายามชี้นำสังคมไทยอยู่ในเวลานี้
นั่นคือ มิติที่เห็นว่า “เสื่อม” มิติที่ล้วนกล่าวหา ไม่เพียงแกนนำม็อบ ต้องนำพาตัวเอง ไปสู่การทำผิดกฎหมายหลายข้อหา และถูกจับกุมดำเนินคดีอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ และหลงระเริงกับชุดข้อมูลที่บิดเบือน ถูกหลอก โดยคนที่อยู่เบื้องหลัง
หากแต่ข้อมูลที่รอบด้าน ยังมีในเรื่องของความผูกพันกับวัฒนธรรม ที่ธำรงไว้ซึ่งความเป็น “ชาติ” อย่างที่ ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต อธิบายไว้
ยิ่งกว่านั้น หลายคนก็พยายามชี้ให้เห็นไปแล้วมากมาย ว่า ประเทศไทย เป็น “ไท” และเป็นปึกแผ่นมาได้จนถึงวันนี้ สถาบันกษัตริย์ ก็มีส่วนอย่างสูง ซึ่งนักประวัติศาสตร์หลายท่าน ได้อธิบายเอาไว้อย่างชัดเจนหลายต่อหลายครั้ง
ดังนั้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างมากก็คือ คณะราษฎร 63 กำลังถูกปลุกปั่นให้มองเห็นสถาบันกษัตริย์เพียงมิติเดียว จึงโจมตีและต่อสู้ในมิติเดียว จนอาจนำไปสู่ความรุนแรง แทนที่จะโน้มน้าวไปสู่การ “ปฏิรูปสถาบัน” อย่างที่เรียกร้อง
เพราะยิ่งสู้ในมิติเดียวอย่างแหลมคม ก็ยิ่งไม่มีทางเลือก ให้กับอีกฝ่ายที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบัน หนทางจึงเต็มไปด้วยการเผชิญหน้า และปะทะด้วยความรุนแรง
เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่จะช่วยไม่ให้เกิดความรุนแรง มีทางเดียว คือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และทุกมาตรา เพื่อให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายให้ได้ ส่วนปัญหาข้อเรียกร้อง ถ้าเป็นเรื่องการเมือง ก็ต้องให้ไปจบในรัฐสภา ที่เป็นสถาบันแห่งอำนาจของประชาชนอย่างแท้จริง ในระบอบประชาธิปไตย นั่นเอง
มิเช่นนั้น กฎหมู่ ต่อ กฎหมู่ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน... รุ่นพวกเขาจบแน่ โดยไม่อาจไปต่อได้แม้แต่นิดเดียว ไม่เชื่อคอยดู!