1.งามหน้า! แกนนำม็อบราษฎรพัทยา เอาหัวโขกหน้าชาวรัสเซียที่เห็นต่างจนเลือดอาบต่อหน้าลูกสาว!
ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการชุมนุมสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีการนัดชุมนุมใหญ่ของกลุ่มราษฎร 63 ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 8 พ.ย. โดยมีการเชิญชวนให้มวลชนเขียนจดหมายเพื่อยื่นถึงกษัตริย์ด้วย ขณะที่ประชาชนกลุ่มที่ต้องการปกป้องสถาบัน ได้แก่ กลุ่ม ศ.ป.ป.ส.หรือศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน ได้นัดรวมตัวที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในวันเดียวกัน แต่คนละจุด โดยให้เหตุผลว่า จะไปสังเกตการณ์การชุมนุมของกลุ่มราษฎร เพราะเกรงว่าจะมีการจาบจ้วงสถาบัน
ซึ่งหลังจากชุมนุมไปได้สักระยะ กลุ่ม ศ.ป.ป.ส.ได้ประกาศยุติการชุมนุม เพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้าหรือม็อบชนม็อบกับอีกฝ่าย กระทั่งช่วงเย็น ม็อบกลุ่มราษฎรได้เคลื่อนไปยังสนามหลวง พร้อมด้วยตู้ที่คล้ายกับตู้ไปรษณีย์ 4 ตู้ ซึ่งความจริงเป็นถังขยะสีเหลืองที่นำมาทาสีแดงและเขียนว่า ตู้ไปรษณีย์ เพื่อไว้ใส่จดหมายที่มวลชนเขียนถึงกษัตริย์ เมื่อม็อบเคลื่อนไปถึงหน้าศาลฎีกา ได้เจอแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ที่มีทั้งรถเมล์ รถตำรวจ และลวดหนาม เพื่อไม่ให้ผู้ชุมนุมผ่านเข้าใกล้เขตพระราชฐานเกิน 150 เมตรตามกฎหมาย แต่ผู้ชุมนุมพยายามจะผ่านเข้าไป เจ้าหน้าที่จึงฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าใส่เพื่อเตือนไม่ให้ผ่าน โดยฉีดแนวสูง ไม่ใช่แนวราบ
แม้เจ้าหน้าที่จะพยายามเจรจา เพื่อไม่ให้ผ่าน แต่ไม่เป็นผล กระทั่งผู้ชุมนุมเคลื่อนเข้าไปได้ถึงบริเวณศาลหลักเมือง ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้เข้าใกล้เขตพระราชฐานมากไปกว่านี้ แม้ผู้ชุมนุมจะต้องการยื่นจดหมายถึงสำนักพระราชวังและเข้าใกล้วัดพระแก้วให้มากที่สุดก็ตาม สุดท้ายจึงหยุดอยู่ที่บริเวณศาลหลักเมือง และตั้งตู้ 4 ตู้ เพื่อให้มวลชนนำจดหมายไปใส่ตู้ ก่อนอ่านแถลงการณ์ และยุติการชุมนุม
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะผู้ชุมนุมพยายามฝ่าด่านเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าใกล้วัดพระแก้วให้มากที่สุดนั้น ได้มีการปาของแข็งเข้าใส่เจ้าหน้าที่ ส่งผลให้ทหารที่ช่วยเป็นแนวหลังให้ตำรวจถูกของแข็งปาใส่ ทำให้หน้าผากแตกเลือดไหล ต้องเย็บถึง 3 เข็ม นอกจากนี้ม็อบราษฎรยังมีปาพลุควันข้ามรถเมล์เข้าใส่เจ้าหน้าที่อีกด้วย โดยการชุมนุมครั้งนี้ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บจำนวน 5 ราย ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม
ส่วนจดหมายที่ม็อบกลุ่มราษฎรต้องการเขียนถึงกษัตริย์นั้น ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่ายว่าหยาบคายมาก โดยนายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “บ้าไปแล้ว ม็อบงี่เง่า เคลื่อนตัวไปยื่นจดหมายถึงในหลวง เรียกราษฎรสาส์น พยายามเข้าพระบรมมหาราชวังแต่ถูกเจ้าหน้าที่ยันไว้ รู้ไว้ด้วยนะ จุดที่ไปคือ วัดพระแก้ว ในนั้นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง พระแก้วมรกต ที่คนไทยทั้งประเทศเคารพสักการะ ม็อบไม่มีศาสนาหรือ หรือเมาคำยุยงจนลืมไปแล้วว่าตัวเองนับถือศาสนาอะไร หรือเป็นคนไม่มีศาสนา"
"จดหมายที่ได้อ่าน หยาบคายต่ำช้ามาก นี่หรือคนที่มีการศึกษาทำกัน นี่หรืออนาคตของประเทศ นี่มันกุ๊ยชัดๆ จาบจ้วง ยโสโอหัง ใครจะจ้างไปทำงาน ไม่รู้จักกาลเทศะ ...จดหมายที่เรียกว่าราษฎรสาส์น มันคือหลักฐานทางกฎหมายฟ้องตัวเอง จดหมายขยะทิ้งลงถังขยะมันก็ถูกต้องแล้ว"
"เตือนสติตัวเอง ถามตัวเองว่าทำอะไรลงไป อย่าให้ความเกลียดชัง อย่าให้ความสนุกบดบังลูกตา ปิดหูปิดตาตัวเอง จิตใจขุ่นมัว ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก อย่าให้อีแอบจูงจมูก ทำตามที่มันสั่ง อย่าให้นักการเมืองและต่างชาติหลอกใช้ มีคดีความติดตัว มันไม่สนุกหรอก”
ทั้งนี้ การชุมนุมของกลุ่มราษฎรใน กทม.เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ไม่เพียงม็อบจะใช้ของแข็งปาใส่เจ้าหน้าที่จนทหารนายหนึ่งหน้าผากแตก แต่การชุมนุมปราศรัยของกลุ่มราษฎรที่บริเวณหาดจอมเทียน ต.หนองปรือ จ.ชลบุรี ในวันเดียวกันยังมีการทำร้ายชาวต่างชาติที่เห็นต่างจนเลือดตกยางออกอีกด้วย โดยผู้ก่อเหตุคือ นายนราธิวัฒน์ คำมา หรือเคน แกนนำกลุ่มราษฎรพัทยา หลังนายเคนไม่พอใจนายวลาดิสลาฟ ทีมอคีน อายุ 52 ปี สัญชาติรัสเซีย ที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของกลุ่มราษฎร จึงเอาหัวโขกหน้านายวลาดิสลาฟ จนเลือดไหล ส่งผลให้ลูกสาวนายวลาดิสลาฟวัย 10 ขวบที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับร้องไห้จ้าที่บิดาถูกทำร้าย ซึ่งพฤติกรรมของนายเคนได้ถูกหลายภาคส่วนในสังคมตำหนิอย่างกว้างขวาง ถึงการไม่ยอมรับความเห็นต่าง และทำร้ายผู้เห็นต่าง ไม่เว้นแม้แต่ชาวต่างชาติ สร้างความเสื่อมเสียและน่าอับอายต่อชาวโลกเป็นอย่างมาก ซึ่งภายหลังนายเคนได้ออกมาขอโทษที่กระทำดังกล่าว แต่ยังพยายามอ้างว่า ชาวต่างเป็นฝ่ายท้าทายตนก่อน
และไม่ใช่นายเคนเท่านั้นที่ทำร้ายนายวลาดิสลาฟจนเลือดอาบ แต่ยังมีหญิงอีกคนที่เดินเข้าไปชูนิ้วกลางใส่หน้าหน้านายวลาดิสลาฟ ก่อนชูนิ้วกลางใส่หน้าลูกสาวนายวลาดิสลาฟด้วย ยิ่งตอกย้ำพฤติกรรมหยาบคายป่าเถื่อนของม็อบราษฎร ซึ่งภายหลังนายเคนยืนยันว่า หญิงที่เข้าไปชูนิ้วกลางดังกล่าวไม่ใช่แฟนของตน
ส่วนกรณีที่มีผู้ห่มเหลืองคล้ายพระสงฆ์ร่วมชุมนุมกับม็อบราษฎรนั้น นายสิปป์บวร แก้วงาม ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ในฐานะโฆษก พศ.เผยว่า จากการตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเบื้องต้นพบว่า พระภิกษุสามเณรที่ร่วมชุมนุม เป็นพระจริง 1 รูป และสามเณรจริง 1 รูป ประจำวัดใน จ.พะเยา และ จ.ศรีสะเกษ โดยผู้อำนวยการ พศ.ได้สั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาทั้ง 2 จังหวัด แจ้งไปยังเจ้าคณะผู้ปกครองเพื่อตรวจสอบและดำเนินการกับพระภิกษุสามเณรที่ฝ่าฝืนคำสั่ง มส.เรื่อง ห้ามพระภิกษุสามเณรเกี่ยวข้องกับการเมือง พ.ศ.2538
ส่วนความเคลื่อนไหวของแกนนำกลุ่มราษฎร เช่น น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง และนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน ได้ให้สัมภาษณ์สื่อ โดยยืนยันว่า จะเคลื่อนไหวต่อสู้ผลักดันข้อเรียกร้อง 3 ข้อของคณะราษฎร โดยเฉพาะการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ตามข้อเสนอ 10 ข้อต่อไปจนกว่าสังคมไทยจะเข้าใจว่า ข้อเสนอของพวกเราคือต้องการปฏิรูป ไม่ใช่การล้มล้างสถาบันฯ ตามที่ถูกกลุ่มคนบางฝ่ายกล่าวหา ไม่ว่าอนาคตในวันข้างหน้าจะเป็นเช่นใด
2.กระแสต้าน “ธนาธร” ลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครหาเสียงนายก อบจ.เริ่มลามหลายจังหวัด ข้องใจพรรคพวกจาบจ้วงสถาบัน!
ความเคลื่อนไหวหลังนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า ได้ตระเวนลงพื้นที่แต่ละจังหวัดเพื่อช่วยผู้สมัครนายก อบจ.หาเสียงเลือกตั้ง ท่ามกลางข้อสังเกตว่า นายธนาธรสามารถช่วยผู้สมัครนายก อบจ.หาเสียงได้หรือไม่ เนื่องจากมาตรา 34 ของ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2562 ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ไม่สามารถหาเสียงเลือกตั้งช่วยผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ ขณะที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า นายธนาธรอยู่ระหว่างถูกตัดสิทธิทางการเมืองด้วย ทั้งยังกระทำการในลักษณะคล้ายกับพรรคการเมืองอีกด้วย โดยก่อนหน้านี้ นายธนาธรเผยว่า คณะก้าวหน้าได้ส่งผู้สมัครลงแข่งขันในสนามองค์การบริการส่วนจังหวัด (อบจ.) ใน 41 จังหวัด โดยมีนายปิยบุตร แสงกนกกุล น.ส.พรรณิการ์ วานิช รวมถึงกรรมการบริหารคนอื่นๆ ช่วยกันลงพื้นที่หาเสียง
อย่างไรก็ตาม เริ่มมีประชาชนในหลายจังหวัดไม่ต้อนรับนายธนาธรขณะลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครของคณะก้าวหน้าหาเสียง เช่น เมื่อวันที่ 6 พ.ย. ระหว่างที่นายธนาธรไปช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครนายก อบจ.สมุทรสาคร ได้มีผู้ชายตะโกนด่านายธนาธรว่า "ประชาธิปไตยอะไรคุกคามแต่คนอื่น ปลุกปั่น ยุยงเด็กให้แตกแยก ไม่รักสถาบัน ...อยู่เมืองไทยทำไมวะ ไป๊ คนหนักแผ่นดิน ยุยงปลุกปั่นเด็ก ...เอาครอบครัวออกมานำหน้าม็อบเลย"
ทั้งนี้ กระแสต่อต้านนายธนาธร ส่วนหนึ่งอาจมาจากที่ก่อนหน้านี้ นายธนาธรได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า ต้องมีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ และสนับสนุนข้อเรียกร้องของม็อบคณะราษฎร ทั้งที่ข้อเรียกร้อง 10 ข้อเกี่ยวกับการปฏิรูปสถาบันฯ ของม็อบราษฎร หลายฝ่ายวิเคราะห์ตรงกันว่า ไม่ใช่การปฏิรูป แต่เป็นการล้มล้างหรือทำลายสถาบันมากกว่า ทำให้กระแสต่อต้านนายธนาธรเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยเมื่อวันที่ 9 พ.ย. ระหว่างที่นายธนาธรลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครนายก อบจ.ระยองหาเสียง ได้มีประชาชนและแม่ค้า บอกให้นายธนาธรหยุดจาบจ้วงในหลวง อยากหาเสียง อยากพัฒนาประเทศก็ทำไป แต่ต้องบอกพรรคพวกให้หยุดจาบจ้วงในหลวง
วันต่อมา 10 พ.ย. ขณะที่นายธนาธรได้ลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครนายก อบจ.สมุทรปราการหาเสียง ก็ได้มีกลุ่มภาคีประชาชนปกป้องสถาบันนำพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง รัชกาลที่ 9 และในหลวงรัชกาลที่ 10 เดินชูไปตามถนน พร้อมชูป้ายไม่ต้อนรับผู้ที่จาบจ้วงสถาบัน, ไม่รักพ่อก็ออกจากบ้านพ่อไป ฯลฯ ส่งผลให้นายธนาธรต้องเปลี่ยนจุดหาเสียงจากพื้นที่ ต.ปากน้ำ ไปยัง ต.บางพลี แต่ก็ยังมีชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าวตะโกนขับไล่เช่นกัน
วันต่อมา 11 พ.ย. หลังมีข่าวว่า นายธนาธรจะลงพื้นที่ไปช่วยผู้สมัครนายก อบจ.นครศรีธรรมราชหาเสียงที่โรงแรมราวดี อ.เมืองนครศรีธรรมราช ทำให้กลุ่มที่รักสถาบันใส่เสื้อเหลืองไปรวมตัวกันที่ทางเข้าโรงแรมเพื่อรอพบนายธนาธร ก่อนที่นายธนาธรจะใช้รถตู้เดินทางเข้าโรงแรม ท่ามกลางมวลชนที่ไม่ต้อนรับ ซึ่งมวลชนต้องการให้นายธนาธรออกมาตอบคำถามถึงการก้าวล่วงสถาบัน และพฤติกรรมปลุกปั่นเยาวชน แต่นายธนาธรไม่ออกมา ส่งผลให้มวลชนมีการล้อมรถช่วงที่เข้าใจว่า นายธนาธรเดินทางออกจากโรงแรม แต่ไม่ได้มีเหตุรุนแรงบานปลายแต่อย่างใด โดยรถดังกล่าวยังสามารถเดินทางออกจากโรงแรมได้ ซึ่งภายหลังมีรายงานว่า นายธนาธรได้เดินทางออกจากโรงแรมด้วยรถตู้อีกคัน แต่รถตู้คันที่ถูกล้อมไม่ใช่นายธนาธร
ขณะที่กำหนดการเดิมนั้น นายธนาธรจะต้องเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตไสใหญ่ อ.ทุ่งสง เพื่อพบกับกลุ่มนักศึกษา ปรากฏว่า ผู้บริหารมหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้ใช้สถานที่ เนื่องจากเกรงจะเกิดความวุ่นวาย
นอกจากนี้กรณีที่นายธนาธรได้นัดพบกับเยาวชนคนหนุ่มสาวที่ร้าน โรตีโกบัง ในช่วงเย็นวันเดียวกัน ก็ส่งผลให้ทางร้านประกาศปิดบริการ 3 วัน โดยเจ้าของร้านได้โพสต์ลงเฟซบุ๊กว่า ร้านเชื่อมั่นในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เปิดร้านเพื่อทำมาหากิน ไม่ใช่สถานที่พบปะทางการเมือง
3.“กนก-ธีระ” ลาออกเนชั่นแล้ว ชี้ถ้าอยู่ต่อ จะไม่ใช่กนกคนเดิม ด้าน “ฉาย” ดึง “อดิศักดิ์” นั่ง ผอ.ใหม่ พบจุดยืนหนุนม็อบราษฎรสุดตัว!
ความเคลื่อนไหวหลังผู้ดำเนินรายการชื่อดังของเนชั่นหลายคนทยอยลาออก เริ่มด้วย น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก และนายสันติสุข มะโรงศรี ที่จัดรายการและทำงานวันสุดท้ายเมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา โดย น.ส.อัญชะลี ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเป็นภาพบรรยากาศในห้องส่ง พร้อมข้อความว่า “ลาและส่งไม้ จากกันด้วยดีมีชัย” นอกจากนี้ยังมีภาพที่ น.ส.อัญชะลี ถือช่อดอกไม้ พร้อมโพสต์ข้อความว่า “ประธานฉาย บุนนาค ส่งมาให้ค่ะ ขอบพระคุณนะคะ”
ด้านนายสันติสุข มะโรงศรี ได้โพสต์ภาพบรรยากาศการทำงาน และตัวเลขเรตติ้งรายการเนชั่นทันข่าว วันที่ 4 พ.ย. ที่ได้ตัวเลข 0.862 เป็นอันดับที่ 4 ของตาราง พร้อมข้อความระบุว่า “ขอแจ้งข่าวนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่ห่วงใยไถ่ถาม 1.ผมยุติการทำรายการที่เนชั่นแล้ว ตั้งแต่วันนี้ (6 พ.ย.) และจะไปเริ่มที่ช่อง 18 นิวทีวี ต้นเดือน ธ.ค.ครับ 2.ผมภูมิใจจนถึงนาทีสุดท้ายที่ทำงานครับ อยู่ไหน เต็มที่เสมอ และมั่นใจว่าไม่เคยทำให้องค์กร หรือจิตวิญญาณตนเองเสียหาย เรตติ้งที่เห็น คือ ล่าสุด ของรายการทันข่าวครับ (พุธที่ 4 พ.ย.)”
“3.ขอบคุณพี่น้องเพื่อนร่วมงาน ผมทำรายการขยี้ข่าวเช้า ทันข่าวเย็น ขยี้คดีโกง และล่าสุด ข่าวมีระดับ ขอบคุณทุกคนนะครับ ผมจริงจังเวลาทำงาน หากล่วงเกิน กราบขออภัยครับ 4.เหตุผลที่ออก เป็นเรื่องความน่าสนใจในโปรเจกต์ใหม่เป็นหลักครับ ท้าทาย น่าสนุก ไม่เสียชาติเกิด รอดูนะครับ 5. โดยส่วนตัว ผมไม่มีข้อกล่าวโทษใดๆ กับผู้บริหารเนชั่นนะครับ มีแต่ขอบคุณที่ให้โอกาส และยังให้ความปรารถนาดีกับผมจนถึงนาทีสุดท้ายครับ คิดถึงก็กดไปหานะครับ ช่อง 18 นิวทีวี เจอคนคุ้นหน้า คุ้นใจ อุดมการณ์ดังเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลงแน่นอนครับ”
ต่อมา วันที่ 9 พ.ย. นายกนก รัตน์วงศ์สกุล พิธีกรข่าวชื่อดังก็ได้ประกาศลาออกจากเนชั่น หลังจากที่ทำงานที่นี่มานาน 24 ปี โดยเจ้าตัวได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก เป็นภาพตนเองและภรรยากำลังไหว้ศาลพระพรหมที่หน้าอาคารสำนักงานเนชั่น พร้อมข้อความว่า “ซาบซึ้งใจน้องๆ ทุกคน ผมอยู่ที่นี่มา 24 ปี (คุณปุ้มอยู่มา 27 ปี) ทุกค่ำคืนก่อนกลับบ้าน เราสองคนจะเดินปิดไฟ ปิดทีวี จุดที่ไม่จำเป็น แทบจะทุกชั้น เพราะเราคิดว่าที่นี่คือบ้าน ไม่ใช่ที่ทำงาน"
"แต่แม้เราจะอยู่นานแค่ไหน เราสองคนก็เป็นเพียงผู้อาศัย ไม่ใช่เจ้าของบ้าน อีกไม่นานก็จะเกษียณแล้ว อยากอยู่ที่นี่จนถึงวันนั้น หวังจะได้ร่ำลา และส่งไม้ต่อให้น้องๆ ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เราผ่านเหตุการณ์..ผ่านกลุ่มผู้บริหารเก่าๆ หลายคน บางคนจากไป โดยทิ้งปัญหาไว้ใต้พรม.. บางปัญหาถึงขั้นฟ้องร้อง! บางคนรับเงินชดเชยไปนับ 10 ล้าน แต่บอกลูกน้องว่าตนเองไม่ได้อะไรเลย.."
"บางคนไปตั้งกลุ่ม ด่าทอบ้านตัวเอง วันทั้งวัน..ทุกวัน สุมไฟบ้านเก่า... เราจะไม่เป็นเช่นนั้น เราจะไม่ลืมสิ่งดีๆ ที่นี่ เนชั่นให้เรามีวันนี้ ผมไม่ใช่คนร่ำรวย.. และกำลังจะเป็นคนแก่ จึงเป็นเรื่องลำบากใจ ที่ต้องจากไปหางานใหม่ ในวัย 50 กว่า ที่ไม่มีอะไรมั่นคง มีแต่ความเสี่ยงรออยู่เบื้องหน้า"
"แต่ทุกเส้นทางข้างหน้า เราเชิดหน้าชูตาได้ ไม่ต้องหลบสายตาใคร ไม่มีใครกล่าวหาเราได้ในเรื่องผลประโยชน์เบื้องหลัง ถ้าน้องๆ รู้จักพี่ อยากให้เป็นพี่กนกคนเดิม ต้องให้พี่ไป..ผมก้าวออกจากเนชั่น เพราะต้องการเป็น "กนกคนเดิม" แต่ถ้าอยู่ต่อ.. คงไม่ใช่พี่กนก ที่เคยอยู่มา 24 ปี"
"ขอส่งความรัก กำลังใจให้ทุกๆคน ทำหน้าที่สื่อด้วยความรักชาติ บ้านเมือง และสถาบันฯ เลือกยืนอยู่ข้างความถูกต้อง มีคุณธรรม กราบลาศาลพระพรหม เจ้าที่เจ้าทาง หน้าอาคาร สวัสดีครับ วันจันทร์ที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๓”
วันต่อมา 10 พ.ย. นายฉาย บุนนาค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) พร้อมผู้บริหารเครือเนชั่นกรุ๊ป ได้แถลงข่าว โดยช่วงหนึ่งได้พูดถึงนายกนก รัตน์วงศ์สกุล, นางลักขณา รัตน์วงศ์สกุล และนายธีระ ธัญไพบูลย์ ว่า “มีผู้ประกาศข่าวที่ลาออก ก็เป็นไปตามวิถีของธุรกิจ มีผลกระทบมากน้อย? ไม่มีผลกระทบทางธุรกิจ แต่มีผลกระทบทางจิตใจ เพราะเราผูกพันกัน เป็นการจากไปด้วยดี.."
"พี่กนกกับพี่ธีระคือบุคลากร รวมถึงผู้ดำเนินการรายการที่อยู่หน้าจอ และพี่ปุ้ม คือ ภรรยาของพี่กนก ที่อยู่กับบริษัทนี้กว่า 27 ปี เป็นบุคลากรที่ทำคุณประโยชน์มากมายให้กับองค์กรและควรเป็นต้นแบบของพนักงานทุกคนในการทำงานและดำเนินชีวิต ...พี่กนกกับพี่ธีระเป็นบุคลากรที่ถือเป็นบุคลากรสื่อที่ครองตนมาอย่างดีมาตลอด ไม่ยุ่งเกี่ยวเข้าใกล้ผลประโยชน์ หรือขั้วอำนาจหรือนักการเมือง นั่นคือส่วนตัวของผมชื่นชมมาก ประตูของบ้านเนชั่นยังเปิดต้อนรับพี่ๆ แต่ละคนเสมอ ไม่เคยปิด..."
ทั้งนี้ ขณะที่ผู้ประกาศข่าวผู้ดำเนินรายการหลายคนทยอยลาออกจากเนชั่น มีข่าวว่า นายฉาย บุนนาค ประธานกรรมการบริหารเครือเนชั่น ได้ทาบทามให้นายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ เนชั่นทีวี กลับมานั่งเป็นผู้บริหารอีกครั้ง ซึ่งในเวลาต่อมา นายฉายยอมรับว่า ทาบทามนายอดิศักดิ์จริง แต่ต้องรอที่ประชุมบอร์ดเนชั่นอนุมัติอีกครั้ง
ขณะที่ในโลกออนไลน์ได้มีการเผยแพร่ภาพและข้อความการโพสต์หลายๆ โพสต์ของนายอดิศักดิ์ผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งสะท้อนชัดเจนว่า นายอดิศักดิ์มีแนวคิดจุดยืนและอุดมการณ์ชื่นชมและสนับสนุนม็อบกลุ่มราษฎรอย่างสุดตัว ซึ่งเป็นแนวคิดที่ไม่ตรงกันกับผู้ประกาศข่าวหลายราย เช่น นายกนก รัตน์วงศ์สกุล, น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายสันติสุข มะโรงศรี, นายสถาพร เกื้อสกุล ฯลฯ จึงอาจเป็นสาเหตุสำคัญในการทยอยลาออก
ทั้งนี้ ที่ประชุมบอร์ดเนชั่นฯ เมื่อวันที่ 12 พ.ย. ได้รับทราบการลาออกของ พล.ร.อ.นวพล ดำรงพงศ์ จากตำแหน่งกรรมการอิสระ และแต่งตั้ง พล.อ.ท.นพ.ทวีศักดิ์ ขันติรัตน์ ดำรงตำแหน่งแทน รวมทั้งรับทราบการลาออกของนางลักขณา รัตน์วงศ์สกุล จากตำแหน่งกรรมการบริษัทและกรรมการบริหาร และแต่งตั้ง พล.อ. วัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ ดำรงตำแหน่งแทน
ด้านนายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “ขอขอบพระคุณคณะกรรมการบริษัท เนชั่นฯ ที่ได้มีมติแต่งตั้งผมให้เป็น “ผู้อำนวยการใหญ่” ที่ได้แจ้งสำนักงานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบแล้ว... ขอเรียนให้ทุกท่านทราบว่า ภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัทฯ ในการพัฒนาช่องเนชั่น ให้เป็นสถาบันสื่อมืออาชีพโดยเร็ว นับเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในชีวิตการทำงาน ...ผมจะเริ่มเข้าไปทำงานแบบเต็มเวลาในตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทเนชั่นฯ ในวันจันทร์ที่ 16 พ.ย.63..."
ขณะที่นายกนก รัตน์วงศ์สกุล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 13 พ.ย. ซึ่งเป็นการจัดรายการทางเนชั่นวันสุดท้ายว่า “เมื่อวันพรุ่งนี้มาถึง วันนี้ก็เป็นอดีต เป็นอดีตทั้ง 24 ปี เราจะจดจำแต่เรื่องดีๆ เพื่อนพ้อง น้องพี่ที่ดีๆ เท่านั้น ฝันดีครับท่านผู้ชม” ทั้งนี้ ได้มีแฟนคลับแสดงความคิดเห็นให้กำลังใจนายกนกจำนวนมาก
4.72 ส.ส.-ส.ว.ยื่น “ชวน” ขอมติรัฐสภาส่งศาล รธน.ตีความ 3 ร่างแก้ รธน. ชี้ กม.ไม่เปิดช่องให้รัฐสภาจัดทำ รธน.ฉบับใหม่!
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองเกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 9 พ.ย. นายสมชาย แสวงการ ส.ว. และนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ได้ร่วมกันเสนอญัตติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.2563 ข้อที่ 31 ให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210(2) โดยเห็นว่า กรณีที่สมาชิกรับสภามีการยื่นญัตติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม 2 ฉบับ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของที่ประชุมรัฐสภา วาระที่ 1 และกรณีที่ประชาชนเข้าชื่อยื่นญัตติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม 1 ฉบับ ซึ่งอยู่ระหว่างประธานรัฐสภาเตรียมบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมนั้น ญัตติร่างแก้รัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับ มีหลักการและเหตุผลให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น
ซึ่ง ส.ส.และ ส.ว. 72 คนที่ร่วมกันเสนอญัตติครั้งนี้ เนื่องจากมองว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ไม่มีบทบัญญัติใดให้อำนาจรัฐสภาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดังนั้นตามหลักกฎหมายมหาชน ไม่มีกฎหมายไม่มีอำนาจ หมายความว่า หากไม่มีบทบัญญัติใดให้อำนาจไว้ จะกระทำมิได้ รัฐสภาจึงไม่มีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รัฐสภามีอำนาจเฉพาะที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 คือมีอำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเท่านั้น ดังนั้นการกระทำใดๆ เพื่อให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น จึงเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ การกระทำดังกล่าวเป็นอันใช้บังคับมิได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 5 จึงกราบเรียนประธานรัฐสภาโปรดพิจารณาบรรจุญัตตินี้เป็นญัตติด่วนเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา
ขณะที่ท่าทีของ ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ต่างมีทั้งเห็นด้วยและคัดค้านการยื่นญัตติของ ส.ส.และ ส.ว.ทั้ง 72 ที่ขอให้รัฐสภาเห็นชอบให้มีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า รัฐสภามีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ โดยนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า จุดประสงค์ของการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เท่ากับว่า พยายามใช้กลไกของศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาขยายแดนอำนาจ จะทำให้รัฐสภาพิจารณากฎหมายไม่ได้เลย เป็นการเปิดช่องให้ศาลล้วงลูกและจำกัดอำนาจของรัฐสภา เป็นการใช้กฎหมายเพื่อทำลายกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นของ ส.ส.ไม่ใช่ของรัฐบาล เขาถือว่าไม่ทำตอนนี้ อาจมีคนทำในอนาคต อาจสายเกินแก้ ส่งตอนนี้อาจประหยัดเวลามากกว่า เพราะเป็นภาคบังคับ ถ้าออกเสียงประชามติเสร็จแล้ว รัฐธรรมนูญมาตรา 256 ระบุ หากมีสมาชิกรัฐสภาสงสัย มีสิทธิเข้าชื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยภายใน 30 วัน ถ้าส่งตอนนี้ ยังแก้ไขได้ทัน กันไว้ดีกว่าแก้ ดูแล้วไม่สะดุดอะไร หากร่างผ่านวาระ 1 ต้องตั้งกรรมาธิการ 1 เดือน หากส่งศาลรัฐธรรมนูญสำเร็จ เรื่องไปอยู่ในศาล ถ้าศาลบอกไม่ขัดก็เดินหน้า ไปรอทำประชามติ คาดว่า พ.ร.บ.ประชามติจะออกช่วงเดือน ก.พ.64 ต้องรอดูศาลจะรับหรือไม่
ขณะที่นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เผยเมื่อ 12 พ.ย.ว่า ได้หารือวิป 3 ฝ่ายเมื่อวันที่ 11 พ.ย. เห็นตรงกันว่า วันที่ 17-18 พ.ย.จะบรรจุเฉพาะเรื่องที่กรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้วและร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนญัตติของนายไพบูลย์ที่จะให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบของร่างรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับและร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ จะบรรจุหลังวันที่ 18 พ.ย.
เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนการประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 10 พ.ย. นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ส.ว.ได้เรียกร้องให้รัฐบาลตรากฎหมายเพื่อใช้ตรวจสอบองค์กรเอ็นจีโอ ที่รับเงินสนับสนุนจากต่างชาติ หลังพบว่า โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) ได้รับเงินสนับสนุนจากต่างชาติ และยังพบว่าไอลอว์คือองค์กรที่อาจอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทางการเมืองในปัจจุบัน ดังนั้น ไอลอว์ในฐานะผู้ยื่นรายชื่อประชาชนแก้รัฐธรรมนูญโดยรับเงินสนับสนุนจากต่างชาติ เพื่อมาร่างกฎหมายในประเทศแบบนี้ ประเทศไทยจะเหลือศักดิ์ศรีของชาติอีกหรือไม่ ซึ่งร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของไอลอว์แก้ทุกอย่าง ทั้งหมวด 1 บททั่วไป ที่ห้ามแบ่งแยกราชอาณาจักร หมวด 2 พระมหากษัตริย์ แต่ไม่คิดแก้เรื่องเว็บโป๊ ดังนั้น หากนำร่างรัฐธรรมนูญจากองค์กรที่รับเงินจากต่างชาติเข้ามาพิจารณา จะสมควรหรือไม่
5.ทูตฮังการีติดโควิดในไทย ทหารเกาหลีใต้ยังไม่ชัดติดในไทยหรือไม่ ขณะที่ "โมรียา-เอรียา-กิรเดช" 3 โปรกอล์ฟไทยติดโควิดในสหรัฐฯ!
สถานการณ์เกี่ยวกับโรคโควิด-19 ในไทย หลังจากเมื่อวันที่ 3 พ.ย. นายเปเตอร์ ชิยาร์โท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศและการค้าฮังการี เดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ แต่มีการตรวจคัดกรองพบว่า นายเปเตอร์ติดโควิด-19 จึงยกเลิกกำหนดการทั้งหมดและเดินทางกลับประเทศ
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 10 พ.ย. เฟซบุ๊กศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานว่า มีผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 4 ราย โดย 3 รายเดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าพักในสถานกักกัน ส่วนอีก 1 ราย ติดเชื้อในประเทศไทย เป็นนักการทูตชาย สัญชาติฮังการี อายุ 53 ปี อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ โดยมีประวัติสัมผัสนายเปเตอร์ ชิยาร์โท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศและการค้าฮังการี ที่เดินทางเยือนไทยเมื่อวันที่ 3 พ.ย. ซึ่งนักการทูตรายนี้ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อเมื่อวันที่ 9 พ.ย.
ด้าน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แถลงว่า จากการตรวจสอบประวัติพบว่า นักการทูตรายนี้เดินทางด้วยรถยนต์คันเดียวกับรัฐมนตรีฮังการี มีการพูดคุยกันในรถ นอกจากนี้ยังรับประทานอาหารร่วมกันประมาณ 30 นาที ถูกส่งตัวไปรักษาที่สถาบันบำราศนราดูรแล้ว ไม่มีไข้ ไม่มีอาการ และไม่มีใครสัมผัสผู้ป่วยรายนี้เพิ่มเติม
ส่วนกรณีชายชาวอินเดียใน จ.กระบี่ ถูกตรวจพบเชื้อโควิด-19 นั้น นพ.โอภาส กล่าวว่า กลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูงคือ ภรรยา น้องชาย น้องสะใภ้ และหลานสาว พบว่า ทั้ง 4 รายให้ผลเป็นลบ แต่เมื่อตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันพบว่า มี 3 ราย คือ ภรรยา น้องชาย น้องสะใภ้ เลือดให้ผลบวกในค่า IgG หมายความว่า เคยมีการติดเชื้อมาแล้ว แต่ไม่แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น ขณะนี้ยังอยู่ในสถานกักกันต่อไปจนครบ 14 วัน ส่วนการสอบสวนโรคในผู้สัมผัสอื่นๆ ใน 4 จังหวัด คือ กระบี่ สุโขทัย ภูเก็ต และเชียงใหม่นั้น กลุ่มสัมผัสเสี่ยงต่ำ 283 ราย และผู้สัมผัสเสี่ยงสูงได้ตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR 79 ราย ผลยังไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม
วันต่อมา 11 พ.ย. พญ.วลัยรัตน์ ไชยฟู ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุม แถลงถึงการตรวจพบทหารชาวเกาหลีใต้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 1 ราย ระหว่างฝึกผสมทหารคอบร้าโกลด์ 21 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 พ.ย. ที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน อ.บ้านฉาง จ.ระยอง โดยมีทหารเข้าร่วมประชุม 202 นาย เป็นทหารต่างชาติ 25 นาย ทหารไทย 177 นาย ซึ่งกิจกรรมส่วนใหญ่อยู่ในห้องประชุม และแบ่งกลุ่มประชุม 5 กลุ่มย่อย ทหารแต่ละนายมีการรับประทานอาหารในรูปแบบบุฟเฟต์ในเมื้อกลางวันและเย็นร่วมกัน
สำหรับทหารชาวเกาหลีใต้ที่ติดโควิด-19 ทางสถานเอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย แจ้งว่า หลังจากทหารดังกล่าวกลับประเทศไป ได้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่สนามบินอินชอน เกาหลีใต้ พบว่ามีเชื้อโควิด-19 ซึ่งไทม์ไลน์ของทหารดังกล่าว เดินทางเข้าไทยเมื่อวันที่ 17 ต.ค. มีรถรับจ้างจากสถานกักกันไปรับเพื่อเข้ารับการกักตัวตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค.-1 พ.ย. ตรวจหาเชื้อโควิด 2 ครั้งคือ วันที่ 22 และ 29 ต.ค. ไม่พบเชื้อ หลังครบกำหนดกักตัว 14 วัน ได้เดินทางไปพักโรงแรมแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท
ต่อมาวันที่ 2 พ.ย. มีรถตู้รับจ้างไปรับจากโรงแรมย่านสุขุมวิท ไปพักในโรงแรมที่ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ระหว่างเข้าพัก ไมได้ออกจากโรงแรม วันที่ 6 พ.ย.เดินทางกลับ โดยมีรถรับจ้างจากสถานทูตฯ ไปรับและส่งที่โรงแรมย่านสุขุมวิท กำลังตรวจสอบว่าเป็นโรงแรมเดียวกับที่พักครั้งแรกหรือไม่ ต่อมา 8 พ.ย. เดินทางโดยรถตู้ของสถานทูตฯ ไปสนามบินสุวรรณภูมิและกลับประเทศ
พญ.วลัยรัตน์ กล่าวว่า “สันนิษฐานได้อยู่ 2-3 ส่วน คือ ติดเชื้อจากประเทศเกาหลี ติดเชื้อระหว่างพักในสถานกักกันโรค หรือติดเชื้อในช่วงฝึกหรือไม่ จากที่ไทยมีข้อมูล ยังไม่พบการติดเชื้อหลังออกจากสถานกักกันโรค ยกเว้นกรณีหญิงชาวฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม ต้องรอผลตรวจจากประเทสเกาหลีใต้ก่อน”
ล่าสุด 13 พ.ย. โมรียา กับ เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟพี่น้องขวัญใจชาวไทย ก็ติดเชื้อโควิด-19 และอยู่ระหว่างกักตัวที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเอรียา ดีกรีแชมป์เมเจอร์ 2 สมัย และอดีตมือ 1 ของโลก ได้แถลงผ่านเฟซบุ๊กว่า “ถึงแม้เราระวังตัวเต็มที่ แต่โชคร้ายเหลือเกิน โม กับฉัน ยังติดเชื้อโควิด-19 ตอนนี้เรากำลังกักตัวเอง และติดต่อทุกคนที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วย เรามีอาการเล็กน้อย แต่เราผิดหวังอย่างยิ่งที่ต้องถอนตัวจากรายการ เพลิแกน วีเมนส์ แชมเปียนชิป (19-22 พ.ย.) เราจะกักตัวอยู่ที่บ้านจนกว่าจะสถานการณ์จะปลอดภัย เราขอให้ทุกคนโชคดี และกำลังเฝ้ารอเวลาที่จะกลับสู่การแข่งขัน แอลพีจีเอ ทัวร์”
ขณะที่ โมรียา แชมป์ แอลพีจีเอ ทัวร์ 1 สมัย เผยว่า “ตามขั้นตอนตรวจโควิด-19 ก่อนการเดินทางของ แอลพีจีเอ ทัวร์ ฉันได้รับแจ้งว่า ผลตรวจของฉันเป็นบวก และฉันถอนตัวจากรายการ เพลิแกน วีเมนส์ แชมเปียนชิป สัปดาห์หน้า เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ฉันมีอาการเล็กน้อย และฉันร่วมมือกับ แอลพีจีเอ ทัวร์ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่น เพื่อติดตามคนที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วย ฉันขอให้ทุกคนโชคดี และเฝ้ารอเวลาที่ฉันสามารถกลับมาแข่งขัน แอลพีจีเอ ทัวร์”
ด้าน กิรเดช อภิบาลรัตน์ โปรมือ 234 ของโลก เผยผ่านเฟซบุ๊กเมื่อช่วงค่ำวันที่ 13 พ.ย.ว่า รู้สึกไม่สบาย จึงลงมือตรวจโควิด-19 จากที่บ้าน ปรากฏว่า ผลเป็นบวก พร้อมเผยว่า ทั้ง โมรียา กับ เอรียา ซึ่งพักอยู่ด้วยกัน ที่เมืองออร์แลนโด ก็ติดเชื้อโควิด-19 เช่นเดียวกัน