รองนายกฯ เผย “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” บอกแล้วจะไม่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก วอนเลิกพูดถึง ส่วน พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง ประกาศได้ ขึ้นกับฝ่ายความมั่นคงประเมิน 3 ข้อเสี่ยง
วันนี้ (25 พ.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกลุ่มราษฎรเปลี่ยนสถานที่นัดชุมนุมไปเป็นหน้าสำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ แยกรัชโยธินแทน จากเดิมจะชุมนุมที่หน้าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ แยกวังแดง ว่าตนไม่ทราบเรื่องนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่กลุ่มผู้ชุมนุมดังกล่าวไปชุมนุมกันที่บริเวณพื้นที่เศรษฐกิจของเอกชน จะเข้าข่ายประกาศใช้กฎอัยการศึกได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ขอให้เลิกพูดเรื่องกฎอัยการศึกได้แล้ว เพราะทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รวมถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็พูดแล้วว่าจะไม่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก
“หากผู้ชุมนุมย้ายจากการชุมนุมที่หน้าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ แล้วไปที่อื่น ความอ่อนไหวก็ไม่ต่างจากการชุมนุมในวันอื่นๆ ที่ได้มีการชุมนุมกันไปก่อนหน้านี้ แต่ถ้ายังยืนยันชุมนุมที่หน้าสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ก็จะมีความอ่อนไหวมากกว่าทุกครั้ง”
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ผู้ชุมนุมย้ายสถานที่ชุมนุมถือว่ากฎหมายปกติสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า กฎหมายอะไรก็ได้ที่มีอยู่ สามารถนำมาใช้ได้ โดยที่ไม่ใช้กฎอัยการศึก ก็เอามาใช้ได้ และขอย้ำว่ารัฐบาลไม่เคยคิดเรื่องการใช้กฎอัยการศึก
“ผู้สื่อข่าวไปได้ข่าวมาจากไหนว่าจะมีการใช้กฎอัยการศึก ทั้งนี้ การมีกฎอัยการศึกไม่ได้แตกต่างจากการที่ไม่มีในเวลานี้ เพียงแต่การประกาศกฎอัยการศึกนั้นทำให้ทหารออกมามีอำนาจในการควบคุมสถานการณ์ ที่จริงแล้วเมื่อมีการประกาศพระราชกำหนดการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 แล้วก็จะมีการตั้งให้ทหารเป็นหัวหน้าผู้อำนวยการเจ้าพนักงานควบคุมสถานการณ์ แต่ในสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งนี้เปลี่ยนให้ตำรวจเป็นหัวหน้าผู้อำนวยการเจ้าพนักงานควบคุมสถานการณ์ ซึ่งมันก็ไม่ได้แตกต่างอะไร ทั้งนี้ สำหรับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินจะเบากว่าการประกาศใช้กฎอัยการศึก แต่อำนาจนั้นไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่ในส่วนของผู้รักษาการจะแตกต่างกัน”
ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้ยังจำเป็นที่จะต้องกลับมาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานครอีกครั้งหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ แต่ถ้าจะประกาศก็ไม่มีปัญหาอะไร ทั้งนี้ อยู่ที่หน่วยงานด้านความมั่นคงจะเป็นผู้ประเมินด้านการข่าวว่าสถานการณ์มีความร้ายแรงเพียงใด จึงจะต้องกลับมาประกาศใช้พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครอีกครั้ง โดยพิจารณาจาก 3 องค์ประกอบ คือ 1. ความสำคัญของสถานที่ อาทิ เขตพระบรมมหาราชวัง เขตพระราชฐาน สถานที่ประทับ 2. ดูจากผู้ชุมนุมว่ามีอาวุธหรือมีเครื่องมืออะไรบ้าง 3. ดูเรื่องความเสี่ยงที่อาจจะมีการเผชิญหน้าและปะทะกัน และถ้าฝ่ายความมั่นคงเห็นว่าจะต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงจะต้องเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือถ้าเห็นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องประกาศในทันทีก็สามารถทำได้ แล้วจึงนำมาเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอน ซึ่งจะเห็นได้จากกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมขวางขบวนเสด็จที่เกิดขึ้นในช่วงเย็น แต่ผู้ชุมนุมยังปักหลักชุมนุมอยู่ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล จึงมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่ร้ายแรงในช่วงตี 4 ของอีกวันหนึ่ง ในครั้งนั้นหน่วยงานด้านความมั่นคงประเมินว่าผู้ชุมนุมยังปักหลักและอยู่ในพื้นที่ใกล้เขตพระราชฐาน หากมีการเคลื่อนกลุ่มผู้ชุมนุมก็อาจจะกระทบต่อทำเนียบรัฐบาล และได้ประเมินความเสี่ยงของกลุ่มผู้ชุมนุมแล้วจึงตัดสินใจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมหลายรายด้วยมาตรา 112 คิดว่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตนไม่ทราบ ไม่คิดอะไร เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่เขาคิดของเขา
เมื่อถามถึงกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมประกาศชุมนุมต่อเนื่อง 5 วัน โดยจะระบุสถานที่เวลาที่ชัดเจนอีกครั้งจะมีผลทำให้รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่ร้ายแรงหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า การชุมนุมจะมีกี่วันนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่อยู่ที่ว่าจะมีระดับความรุนแรงหรือไม่ และต้องพิจารณาจาก 3 ประการหลักที่ได้กล่าวไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งหมดต้องเตรียมความพร้อมไว้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันก็ต้องดูความเสี่ยงของมวลชนอีกกลุ่มหนึ่งด้วยซึ่งรัฐบาลพยายามไม่ให้เกิดการเผชิญหน้ากัน โดยขอร้องให้อยู่ห่างกันซึ่งถ้าทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันได้จะทำให้สถานการณ์เบาลงไปมาก
เมื่อถามว่าในปัจจุบันหากกลุ่มผู้ชุมนุมประกาศรวมตัวชุมนุมกันที่ใดแล้วมักจะมีอีกกลุ่มหนึ่งประกาศไปชุมนุมพื้นที่ใกล้เคียงด้วยเช่นกัน จะเกิดความสุ่มเสี่ยงที่จะปะทะกันหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า มักจะเกิดแบบนี้ขึ้นอยู่แล้ว เป็นเรื่องธรรมดา แต่ความจริงแล้วถ้าต่างคนต่างมา ต่างคนต่างอยู่ก็ไม่มีอะไร เพียงแต่ล่าสุดเกิดเหตุการณ์ 2 ฝ่ายปะทะกันที่บริเวณหน้ารัฐสภา
ผู้สื่อข่าวถามว่ากลุ่มมวลชนเสื้อเหลืองประกาศว่าจะรอกลุ่มราษฎรอยู่ที่หน้าแท่งแบริเออร์ เพื่ออธิบายข้อเท็จจริง ข้อสงสัยให้ทราบ แบบนี้ถือเป็นการยั่วยุหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ถ้าชี้แจงเป็นก็ไม่ยั่วยุ แต่ถ้าชี้แจงไม่เป็นก็ถือเป็นการยั่วยุ ถ้าใช้ปิยะวาจาชี้แจงด้วยเหตุและผลก็ไม่ใช่การยั่วยุ การจะยั่วยุหรือไม่อยู่ที่พฤติกรรม บางทีไม่ต้องพูดอะไรเพียงแค่แลบลิ้นใส่ก็ยั่วยุแล้ว”
เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงเรื่องมือที่ 3 อาจเข้าแทรกแซงหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ต้องระวังอย่าให้มันเกิด ทุกครั้งที่มีการชุมนุมมักจะมีมือที่ 1, 2, 3, 4, 5