จับตาคดี ‘บอส อยู่วิทยา’ เป็นการกระทำในลักษณะขบวนการหรือเป็นองค์กรอาชญากรรม (Organized Crime) หรือไม่? เพราะมีการสั่งการกันเป็นทอดๆ ระบุ ‘วิชา มหาคุณ’ สั่งตรวจสอบเส้นทางการเงิน ทำให้สังคมเชื่อมั่น ด้าน รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยา ม.รังสิต ระบุคดี ‘บอส’ ตรวจสอบแบบปกติจะไม่รู้ผลประโยชน์ตอบแทนทั้งหมด ต้องใช้หลักการแบบ ‘เอฟบีไอ’ และตั้งคณะกรรมการกลางเฉพาะกิจฯ บังคับใช้กฎหมายร่วมทำเป็นคดีพิเศษจึงจะจับ ‘ปลาตัวใหญ่-บิ๊กๆ’ ที่เกี่ยวข้องได้ วงในระบุสารพัดรูปแบบจ่ายผลประโยชน์? แต่ยุคใหม่ นิยมมอบ ‘ทองคำ’ เพราะไม่มีทะเบียน ตรวจสอบยาก!
ดูเหมือนว่าคดี ‘บอส’ วรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดง ที่ขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เมื่อปี 2555 ซึ่งตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการประชุมของคณะกรรมการตรวจสอบการพิจารณาคดีทั้งชุดอัยการ ชุดตำรวจ ได้มีการแถลงให้สังคมได้รับทราบ หากจับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ดูจะไม่ได้รับความเชื่อถือเพราะในการแถลงเสมือนเป็นการออกมายืนยันว่าสิ่งที่ ‘นาย’ สั่งไม่ฟ้องนั้นถูกต้องชอบธรรม เพียงแต่ว่าเมื่อมีหลักฐานใหม่ก็สามารถสั่งฟ้องได้เพิ่มเติม
อย่างไรก็ดี กลับพบว่าลึกลงไปของคดีนี้ยังมีความซับซ้อนในเรื่องของข้อเท็จจริงในคดีมากมายที่สังคมยังเคลือบแคลง และเชื่อว่า ‘บอส’ หลุดคดีได้เพราะมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องใช่หรือไม่ และนี่คือความเหลื่อมล้ำด้านความยุติธรรมที่ ‘คนจน’ ไม่อาจปฏิเสธได้
ดังนั้น คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่มีศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ เป็นประธาน จึงเป็นความหวังเดียวที่สังคมให้ความเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำความจริงให้ปรากฏ แต่ก็ยังมีคำถามตามมาอีกว่า หากความจริงปรากฏขึ้นมาแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะสามารถใช้อำนาจบริหารดำเนินการได้หรือไม่? และถ้าได้ ‘บิ๊กตู่’ จะกล้าลงดาบเอาคนผิดมาลงโทษได้จริงหรือไม่...
พร้อมกับมีข้อสงสัยตามมาอีกว่า การที่ผู้แทนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งเข้ามาเป็นหนึ่งในคณะทำงาน จะทำหน้าที่ตรวจสอบเส้นทางการเงินตามรายชื่อที่มีการแจ้งไปนั้นจะสามารถสาวถึงผลประโยชน์ในทุกรูปแบบได้มากน้อยเพียงใด?
เพราะวันนี้ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่รูปแบบที่เกิดขึ้นในระบบปกติที่จะควานหากันได้ง่ายๆ อีกต่อไป!
รายงานข่าวจากรัฐสภา บอกว่า การที่คณะกรรมการชุดนายวิชา มหาคุณ จะเข้าไปตรวจสอบเส้นทางการเงินเป็นสิ่งที่ถูกต้อง หากสงสัยว่าใครมีส่วนได้ส่วนเสีย มีการเกี่ยวข้องในการรับผลประโยชน์ และจะต้องกล้าที่จะตรวจระดับบิ๊กๆ ซึ่งตรงนี้สำคัญมาก แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าการรับผลประโยชน์มีด้วยกันหลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่การจ่ายเงิน โอนเงินเข้าบัญชีเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครทำหรือเปิดช่องให้มีการตรวจสอบได้
“คดีนี้มีเรื่องผลประโยชน์เกิดขึ้นหลายระดับ แต่ใครทำหรือใครเกี่ยวข้องบ้างก็ต้องไปดูตั้งแต่ต้นทาง ไปจนถึงปลายทางที่มีการสั่งไม่ฟ้อง เพราะจะต้องทำความจริงให้ปรากฏ ไม่ใช่ปล่อยให้มีการสงสัย หรือข่าวลือ เด็กๆ คิดเป็นตัวเลขแล้วได้เท่านี้ แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็เป็นตัวเลขหลายๆ หลัก”
ส่วนผลประโยชน์ตอบแทนก็ไม่ใช่การให้เช็คเงินสด ที่จะเป็นหลักฐานมัดกันได้ เพราะหากเป็นรูปของเม็ดเงินเขาก็จะมอบให้สดๆ ไม่มีการจ่ายเช็ค ไม่มีการเข้าบัญชี คนที่อยู่ในข่ายเกี่ยวข้องแน่นอน บางทีก็มีการให้เป็นหุ้น เพราะได้ส่วนต่างของราคาหุ้น ถ้าลูกใครกำลังเรียนเมืองนอกก็จะมีการให้การช่วยเหลือตรงนี้ แต่ไปโผล่อีกบัญชีหนึ่ง
“คนที่รู้ช่องทางเขาจะไม่ให้สืบสาวถึงตัวเองได้หรอก ซึ่งตอนนี้ที่เช็กยากที่สุด คือการให้ทองคำ เพราะทองคำไม่มีทะเบียนในการตรวจสอบ ส่วนใครจะได้ ไม่ได้อะไร อย่างไร ผมไม่รู้ เป็นเรื่องที่ ปปง.ต้องไปสืบเอาเอง”
แหล่งข่าวบอกอีกว่า ยังมีเรื่องของการซื้อขายที่ดิน ที่ ปปง.ต้องสอบเพราะอาจมีการช่วยกันด้วยการซื้อที่ดินแปลงหนึ่ง ความจริงควรมีราคาที่ดินไม่กี่ล้านบาทแต่สามารถขายได้สูงเป็นสิบๆ ล้านบาท ซึ่งราคาซื้อขายนั้น เป็นเรื่องของความสมัครใจของผู้ซื้อและผู้ขาย
“คนที่มาซื้อ และเงินที่นำมาจ่ายก็จะมีการระมัดระวัง ไม่ให้เชื่อมโยงถึงผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย บางที ปปง.ก็อาจจะลำบากในการตรวจสอบก็ได้”
ด้าน รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดีและประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม ม.รังสิต บอกว่า เรื่องของการตรวจสอบเส้นทางการเงิน เป็นเรื่องที่ขอความร่วมมือกับธนาคาร ให้ดูว่าคนที่มีรายชื่อตามที่ส่งมานั้น มีสถานะทางการเงินอย่างไร มีเส้นทางไหลเข้า ไหลออกอย่างไร แต่โดยปกติก็ไม่มีใครมาจ่ายตรงๆ
“การตรวจสอบเส้นทางการเงินตามปกติ จะไม่สามารถทราบผลประโยชน์ต่างตอบแทนได้ทั้งหมด เพราะคดีของบอส ว่าไปแล้วผู้ที่กระทำความผิด รู้เทคนิค รู้ช่องทาง รู้วิธีหลีกเลี่ยง จะมีกลยุทธ์การฟอกเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง”
สำหรับวิธีการที่ต่างประเทศใช้กันอยู่เพราะเขามีกฎหมายดำเนินคดีต่อกลุ่มบุคคลที่ดูเหมือนเป็นองค์กรอาชญากรรม (Organized Crime) มีการแฝงด้วยเครือข่าย มีการสั่งการ มีสายการบังคับบัญชา ทำกันเป็นขบวนการ เพื่อให้ได้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์สิน ซึ่งต่างประเทศเอาจริงเอาจังในการปราบปรามกลุ่มคนเหล่านี้โดยเฉพาะข้าราชการระดับสูง เพราะต่างประเทศมองว่าข้าราชการระดับสูงมีโอกาสได้มากกว่าคนอื่น
“เคสแบบนี้ ที่สหรัฐฯ จะส่งเอฟบีไอเข้าไปแกะรอยโดยจะเข้าไปหาผู้รับผิดชอบคดีตั้งแต่เริ่มแรกเป็นอันดับแรก แล้วบอกว่าให้บอกมาให้หมด ว่าใครสั่งให้ทำอะไร แล้วจะไม่ดำเนินคดี แต่จะกันไว้เป็นพยาน แบบนี้แหละพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีแต่แรกถึงจะบอกหมด”
คดีของบอส อยู่วิทยา ก็ต้องใช้วิธีเดียวกับที่เอฟบีไอดำเนินการ โดยนายกรัฐมนตรีจะต้องสั่งให้ไปเอาตัวพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีมาสอบหาความจริง ให้บอกว่า ใครสั่งให้ทำอะไร อย่างไรบ้าง ไม่เช่นนั้นจะโดนคดี ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่ถ้าบอกทั้งหมดจะกันไว้เป็นพยาน
ขณะที่คดีบอส อยู่วิทยา นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกระบวนการตรวจสอบจริงจังและเข้มแข็ง ซึ่งขบวนการที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้อาจเข้าข่ายองค์กรอาชญากรรมจึงจำเป็นต้องเอาเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องระดับปฏิบัติตั้งแต่แรกมาเป็นพยานให้ได้ก่อน
“พูดง่ายๆ เป็นวิธีการที่จะจับปลาตัวใหญ่ ปล่อยปลาซิวปลาสร้อย เพราะปลาตัวใหญ่ถ้าไม่จับ จะเป็นผู้ก่อให้เกิดปัญหาต่อไปอีก ถ้าทำวิธีนี้ หากมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องช่วยเหลือกันในเรื่องคดี ก็จะดำเนินการอย่างจริงจังได้มากขึ้น แต่นายกฯ จะทำหรือไม่เป็นเรื่องของนายกฯ”
แต่การจะจัดการปลาใหญ่ได้นั้น สิ่งแรกที่นายกฯ บิ๊กตู่จะต้องดำเนินการก็คือจะต้องตั้งคณะกรรมการกลางที่มีอำนาจในการใช้กฎหมายขึ้นมาก่อน ซึ่งเป็นคณะกรรมการเฉพาะกิจ ประกอบด้วย ตำรวจ ดีเอสไอ ปปง. ฯลฯ มาร่วมกันทั้งหมด โอกาสจะบิดเบี้ยวก็จะยากขึ้น
“ชุดของอาจารย์วิชา มหาคุณ เปรียบเสมือนเสือกระดาษ จะเป็นการซื้อเวลาหรือเปล่า เพราะเมื่อสรุปเสนอความเห็นไปแล้ว แต่นายกฯ จะดำเนินการหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้าเป็นคณะกรรมการกลาง เขามีอำนาจตามกฎหมายของเขาอยู่แล้ว จึงสามารถใช้กฎหมายของหน่วยงานเขาจัดการได้เลย”
โดยเฉพาะกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในเรื่องขององค์กรอาชญากรรม จะสามารถรับเป็นคดีได้ทันที และจะสามารถดำเนินการสืบสวนสอบสวนในทางลับได้ และจะสามารถประสานกับหน่วยงานอื่นๆ ให้เข้ามาร่วมในการตรวจสอบ เช่น ปปง.มาดูเส้นทางการเงินเพื่อจัดการกับขบวนการที่เกิดขึ้นในคดีของบอส อยู่วิทยา ได้ชัดเจน!