นายกฯฮึ่มไม่โอเคคดี “บอส กระทิงแดง” หลายจุดยังไม่ชัดเจน ลั่นต้องโปร่งใส พร้อมติดตามใกล้ชิด ด้าน “อัยการ” เสียงแตก ส่งไลน์ว่อนอ้าง “กลุ่มอัยการผู้รักษ์องค์กร” ติง “อรรถพล ใหญ่สว่าง” ประธาน ก.อ.ให้ข่าวทำลายองค์กร
ความคืบหน้ากรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555 ภายหลังจากที่ สำนักงานอัยการสูงสุด แถลงผลการพิจารณาของคณะทำงานกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ ของนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ไปเมื่อวันที่ 4 ส.ค.63 ที่ผ่านมา
วานนี้ (6 ส.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในระหว่างปาฐกถาพิเศษในงานบางกอกโพสต์ฟอรัม ในหัวข้อ พลิกฟื้นประเทศไทย ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง ว่า เรื่องที่เป็นประเด็นใหญ่ในสังคม (คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา) นั้น ตนเห็นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะท้าทายระบบความยุติธรรม ท้าทายกฎหมาย กระทบต่อความไว้วางใจของประชาชน ระบบรัฐทั้งหมด มันเป็นคดีหนึ่งในหลายแสนหลายล้านคดีในประเทศไทย ดังนั้นคดีนี้เป็นคดีสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะตนไม่ต้องการให้ทุกอย่างมันถูกพัง ถูกสร้างความไม่เชื่อมั่นต่อไป
“เรื่องนี้จุดยืนของผมก็คือ ไม่โอเคกับหลายเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน ผมต้องการให้มีความโปร่งใส ผมติดตามขับเคลื่อนผลักดันอย่างใกล้ชิด และพร้อมดำเนินการตามอำนาจหน้าที่กฎหมายที่มีอยู่ หลังจากเห็นข้อสรุปของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้้น มีความเป็นอิสระ เป็นผู้ที่สังคมยอมรับ ในความรู้ความเป็นกลาง" พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ที่ต้องพูดเพื่อให้รู้ว่าบทบาทของนายกฯอยู่ตรงไหน ถ้าต้องลงไปเกี่ยวพันถึงระดับปฏิบัติข้างล่างคงไม่ได้ แต่นายกฯ ติดตาม กำกับ ดูแล ประเมินผลได้ จากข้างบนที่จะไปหาคำตอบมาให้ ดังนั้นทุกเรื่องที่เป็นปัญหาก็สามารถส่งตรงมาถึงตนได้หมด และก็นำมาประมวลเป็นของตัวเอง ไม่ใช่อ่านและเชื่อไปทั้งหมด
“ประยุทธ” ชิ่งแจง กก.ชุด “วิชา”
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อาคาร 1 นายธานี วรภัทร์ เลขานุการคณะทำงานตรวจสอบการดำเนินการของพนักงานอัยการ ซึ่งเป็นหนึ่งในชุดคณะทำงานของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ ที่มี นายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า การประชุมในวันนี้ที่คณะทำงานฯ ได้เรียนเชิญ นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด มาให้ข้อเท็จจริงกับคณะทำงานฯ แต่เพิ่งได้รับแจ้งจากนายประยุทธ เมื่อเวลาประมาณ 11:00 น.ว่า ติดภารกิจ ขอเลื่อนการชี้แจงไปก่อน คณะทำงานฯ จึงขอยกเลิกการประชุม เลื่อนการประชุมไปเป็นวันที่ 9 ส.ค.63 เวลา 13:00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นายวิชาเปิดเผยด้วยว่า สำหรับการประชุมในวันที่ 9 ส.ค.นี้ นายอรรถพล ใหญ่สว่าง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) และอดีตอัยการสูงสุด จะมาให้ถ้อยคำต่อคณะทำงานฯ ชุดนี้ด้วย
“อัยการ” ไลน์โวย “อรรถพล”
วันเดียวกัน รายงานข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ในกลุ่มอัยการต่อๆกัน โดยผู้ส่งข้อความอ้างว่ามาจาก กลุ่มอัยการผู้รักษ์องค์กร สาระสำคัญวิพากษ์วิจารณ์การแสดงความคิดเห็นของ นายอรรถพล ใหญ่สว่าง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) และอดีตอัยการสูงสุด ที่เห็นแย้งผลการพิจารณาของคณะทำงานสำนักงานอัยการสูงสุดความว่า การใช้ดุลพินิจ กรณีสั่งไม่ฟ้องให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ ก.อ.ที่จะพิจารณาว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบหรือไม่ ซึ่งหลังจากคณะทำงานฯแถลงข้อเท็จจริงให้แก่สังคมรับทราบและแนวทางการดำเนินการต่อไป จะเห็นได้ว่า สังคมโดยทั่วไปยังมีเสียงชื่นชมและยังยอมรับถึงความพยายามของสำนักงานอัยการสูงสุดในการดำเนินคดีนี้ต่อไป ซึ่งถือว่ายังเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ แต่ต่อมาเพียง 1 วัน ประธาน ก.อ. (นายอรรถพล) กลับมีหนังสือเผยแพร่ให้สื่อมวลชนสังคมรับทราบถึงความคิดเห็นที่ส่อไปในทางภาพลบต่อองค์กร ทั้งงที่ประธาน ก.อ.ยังไม่ชัดเจนว่าทำได้หรือไม่ได้ จึงยังไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเผยแพร่ต่อสาธารณชนเช่นนี้ อันส่งผลต่อภาพลักษณ์องค์กรอัยการเองที่จะได้รับความเสียหาย ดังนั้นกลุ่มอัยการผู้รักษ์องค์กรเห็นว่า สถานการณ์ขณะนี้ ไม่ควรมีผู้ใดออกความเห็นที่ส่อไปในทางที่ทำให้องค์กรอัยการได้รับความเสียหาย ขาดความเชื่อมั่นต่อประชาชนและสังคม จึงขอเรียกร้องให้ท่านหยุดเถอะเพื่อองค์กรอัยการของพวกเรา
“ลูกน้อง ส.ว.ก๊อง” รับฉกมือถือ
ขณะที่กรณีการเสียชีวิตของ นายจารุชาติ มาดทอง พยานสำคัญในคดีของนายวรยุทธ ที่ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนช่วงกลางดึกของวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมาที่ อ.เมืองเชียงใหม่ นั้น พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้บัญชาการตำรวจภูธร (ผบช.ภ.) ภาค 5 ได้แถลงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนว่า เบื้องต้น เป็นที่ชัดเจนว่าคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายไม่ได้รู้จัก ไม่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงสัมพันธ์กันมาก่อนแต่อย่างใด รู้จักกันในวันเกิดเหตุตามกล้องวงจรปิดที่เห็นกันอยู่ นอกจากนี้ได้นำพยานที่เกี่ยวข้องกับนายจารุชาติมาสอบไว้หมดแล้ว รวมทั้งครอบครัวผู้ตายด้วย อยู่ในสำนวนการสืบสวนทั้งหมด เพื่อให้หายสงสัยในทุกๆ ด้าน
เมื่อถามถึงการสอบสวน นายชูชัย เลิศพงศ์อดิสร หรือ ส.ว.ก๊อง ถูกเรียกมาสอบสวนในฐานะอะไร และโทรศัพท์มือถือของนายจารุชาติ ตอนนี้พบแล้วหรือไม่ พล.ต.ท.ประจวบ ตอบว่า การสอบนายชูชัยในฐานะที่เขาเป็นนายจ้างของนายจารุชาติ ส่วนเรื่องโทรศัพท์มือถือของนายจารุชาติ ตอนนี้ทางตำรวจทราบว่าแล้วว่าใครที่เอาไป เป็นคนที่ทำงานด้วยกัน เป็นลูกน้องของนายชูชัย โดยทางตำรวจนำตัวมาสอบแล้ว เขาอ้างว่าได้เคยถ่ายรูปกับผู้เสียชีวิตหลายครั้ง รู้จักกันมานาน หลังจากที่นายชูชัยไปบวช เขาได้สนิทสนมกับผู้ตายมากยิ่งขึ้น มีรูปภาพเขาอยู่ในมือถือผู้ตาย และตัวเขาเองก็จะลงสมัครนายกเทศมนตรีตำบลสุเทพ พอทราบว่าผู้ตายเป็นพยานปากสำคัญในคดีบอส อยู่วิทยา กลัวว่าจะมีผลกระทบกับการที่เขาจะลงสมัครเลือกตั้ง เขาจึงขอมือถือจากทางญาติไป เพื่อลบภาพต่างๆ พอมีตามหามือถือของนายจารุชาติ จึงเกิดความกลัวได้นำโทรศัพท์มือถือไปทำลาย เรื่องนี้เป็นข้อสงสัยที่ทางตำรวจก็สงสัยเช่นกัน จะต้องสืบสวนค้นหาความจริงกันต่อไป ว่ามือถือที่ถูกทำลายมีความสำคัญกับคดีหรือไม่ ในขณะนี้ทางญาติผู้เสียชีวิตได้แจ้งข้อหาผู้ที่นำมือถือผู้ตายไปและทำลายทิ้ง ในข้อหายักยอกทรัพย์ไว้ที่ สภ.ภูพิงค์ ซึ่งตำรวจจะพิจารณาตามข้อกฎหมายว่า เป็นการลักทรัพย์โดยใช้กลอุบายหรือไม่
รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้ที่นำมือถือของนายจารุชาติไปคือ นายพศิน อัครเดชธนโชติ หรือล้าน ซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทของนายชูชัย เลิศพงษ์อดิศร ซึ่งทางตำรวจได้เรียกตัวมาสอบสวน และจะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มจากที่ญาติแจ้งไว้ในข้อหายักยอกทรัพย์ โดยจะแจ้งข้อหาลักทรัพย์เพิ่ม ส่วนข้อมูลต่างๆ ในโทรศัพท์มือถือ ถึงแม้เครื่องและซิมจะหาไม่พบ แต่ตำรวจมีวิธีการในการตรวจสอบ และมีข้อมูลทั้งหมดในโทรศัพท์มือถือของผู้ตายแล้ว
ความคืบหน้ากรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555 ภายหลังจากที่ สำนักงานอัยการสูงสุด แถลงผลการพิจารณาของคณะทำงานกรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ ของนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ไปเมื่อวันที่ 4 ส.ค.63 ที่ผ่านมา
วานนี้ (6 ส.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในระหว่างปาฐกถาพิเศษในงานบางกอกโพสต์ฟอรัม ในหัวข้อ พลิกฟื้นประเทศไทย ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง ว่า เรื่องที่เป็นประเด็นใหญ่ในสังคม (คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา) นั้น ตนเห็นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะท้าทายระบบความยุติธรรม ท้าทายกฎหมาย กระทบต่อความไว้วางใจของประชาชน ระบบรัฐทั้งหมด มันเป็นคดีหนึ่งในหลายแสนหลายล้านคดีในประเทศไทย ดังนั้นคดีนี้เป็นคดีสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะตนไม่ต้องการให้ทุกอย่างมันถูกพัง ถูกสร้างความไม่เชื่อมั่นต่อไป
“เรื่องนี้จุดยืนของผมก็คือ ไม่โอเคกับหลายเรื่องที่ยังไม่ชัดเจน ผมต้องการให้มีความโปร่งใส ผมติดตามขับเคลื่อนผลักดันอย่างใกล้ชิด และพร้อมดำเนินการตามอำนาจหน้าที่กฎหมายที่มีอยู่ หลังจากเห็นข้อสรุปของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้้น มีความเป็นอิสระ เป็นผู้ที่สังคมยอมรับ ในความรู้ความเป็นกลาง" พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า ที่ต้องพูดเพื่อให้รู้ว่าบทบาทของนายกฯอยู่ตรงไหน ถ้าต้องลงไปเกี่ยวพันถึงระดับปฏิบัติข้างล่างคงไม่ได้ แต่นายกฯ ติดตาม กำกับ ดูแล ประเมินผลได้ จากข้างบนที่จะไปหาคำตอบมาให้ ดังนั้นทุกเรื่องที่เป็นปัญหาก็สามารถส่งตรงมาถึงตนได้หมด และก็นำมาประมวลเป็นของตัวเอง ไม่ใช่อ่านและเชื่อไปทั้งหมด
“ประยุทธ” ชิ่งแจง กก.ชุด “วิชา”
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา อาคาร 1 นายธานี วรภัทร์ เลขานุการคณะทำงานตรวจสอบการดำเนินการของพนักงานอัยการ ซึ่งเป็นหนึ่งในชุดคณะทำงานของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ ที่มี นายวิชา มหาคุณ เป็นประธาน แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า การประชุมในวันนี้ที่คณะทำงานฯ ได้เรียนเชิญ นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด มาให้ข้อเท็จจริงกับคณะทำงานฯ แต่เพิ่งได้รับแจ้งจากนายประยุทธ เมื่อเวลาประมาณ 11:00 น.ว่า ติดภารกิจ ขอเลื่อนการชี้แจงไปก่อน คณะทำงานฯ จึงขอยกเลิกการประชุม เลื่อนการประชุมไปเป็นวันที่ 9 ส.ค.63 เวลา 13:00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นายวิชาเปิดเผยด้วยว่า สำหรับการประชุมในวันที่ 9 ส.ค.นี้ นายอรรถพล ใหญ่สว่าง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) และอดีตอัยการสูงสุด จะมาให้ถ้อยคำต่อคณะทำงานฯ ชุดนี้ด้วย
“อัยการ” ไลน์โวย “อรรถพล”
วันเดียวกัน รายงานข่าวจากสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการส่งข้อความผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ในกลุ่มอัยการต่อๆกัน โดยผู้ส่งข้อความอ้างว่ามาจาก กลุ่มอัยการผู้รักษ์องค์กร สาระสำคัญวิพากษ์วิจารณ์การแสดงความคิดเห็นของ นายอรรถพล ใหญ่สว่าง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) และอดีตอัยการสูงสุด ที่เห็นแย้งผลการพิจารณาของคณะทำงานสำนักงานอัยการสูงสุดความว่า การใช้ดุลพินิจ กรณีสั่งไม่ฟ้องให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ ก.อ.ที่จะพิจารณาว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบหรือไม่ ซึ่งหลังจากคณะทำงานฯแถลงข้อเท็จจริงให้แก่สังคมรับทราบและแนวทางการดำเนินการต่อไป จะเห็นได้ว่า สังคมโดยทั่วไปยังมีเสียงชื่นชมและยังยอมรับถึงความพยายามของสำนักงานอัยการสูงสุดในการดำเนินคดีนี้ต่อไป ซึ่งถือว่ายังเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ แต่ต่อมาเพียง 1 วัน ประธาน ก.อ. (นายอรรถพล) กลับมีหนังสือเผยแพร่ให้สื่อมวลชนสังคมรับทราบถึงความคิดเห็นที่ส่อไปในทางภาพลบต่อองค์กร ทั้งงที่ประธาน ก.อ.ยังไม่ชัดเจนว่าทำได้หรือไม่ได้ จึงยังไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเผยแพร่ต่อสาธารณชนเช่นนี้ อันส่งผลต่อภาพลักษณ์องค์กรอัยการเองที่จะได้รับความเสียหาย ดังนั้นกลุ่มอัยการผู้รักษ์องค์กรเห็นว่า สถานการณ์ขณะนี้ ไม่ควรมีผู้ใดออกความเห็นที่ส่อไปในทางที่ทำให้องค์กรอัยการได้รับความเสียหาย ขาดความเชื่อมั่นต่อประชาชนและสังคม จึงขอเรียกร้องให้ท่านหยุดเถอะเพื่อองค์กรอัยการของพวกเรา
“ลูกน้อง ส.ว.ก๊อง” รับฉกมือถือ
ขณะที่กรณีการเสียชีวิตของ นายจารุชาติ มาดทอง พยานสำคัญในคดีของนายวรยุทธ ที่ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนช่วงกลางดึกของวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมาที่ อ.เมืองเชียงใหม่ นั้น พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้บัญชาการตำรวจภูธร (ผบช.ภ.) ภาค 5 ได้แถลงความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนว่า เบื้องต้น เป็นที่ชัดเจนว่าคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายไม่ได้รู้จัก ไม่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงสัมพันธ์กันมาก่อนแต่อย่างใด รู้จักกันในวันเกิดเหตุตามกล้องวงจรปิดที่เห็นกันอยู่ นอกจากนี้ได้นำพยานที่เกี่ยวข้องกับนายจารุชาติมาสอบไว้หมดแล้ว รวมทั้งครอบครัวผู้ตายด้วย อยู่ในสำนวนการสืบสวนทั้งหมด เพื่อให้หายสงสัยในทุกๆ ด้าน
เมื่อถามถึงการสอบสวน นายชูชัย เลิศพงศ์อดิสร หรือ ส.ว.ก๊อง ถูกเรียกมาสอบสวนในฐานะอะไร และโทรศัพท์มือถือของนายจารุชาติ ตอนนี้พบแล้วหรือไม่ พล.ต.ท.ประจวบ ตอบว่า การสอบนายชูชัยในฐานะที่เขาเป็นนายจ้างของนายจารุชาติ ส่วนเรื่องโทรศัพท์มือถือของนายจารุชาติ ตอนนี้ทางตำรวจทราบว่าแล้วว่าใครที่เอาไป เป็นคนที่ทำงานด้วยกัน เป็นลูกน้องของนายชูชัย โดยทางตำรวจนำตัวมาสอบแล้ว เขาอ้างว่าได้เคยถ่ายรูปกับผู้เสียชีวิตหลายครั้ง รู้จักกันมานาน หลังจากที่นายชูชัยไปบวช เขาได้สนิทสนมกับผู้ตายมากยิ่งขึ้น มีรูปภาพเขาอยู่ในมือถือผู้ตาย และตัวเขาเองก็จะลงสมัครนายกเทศมนตรีตำบลสุเทพ พอทราบว่าผู้ตายเป็นพยานปากสำคัญในคดีบอส อยู่วิทยา กลัวว่าจะมีผลกระทบกับการที่เขาจะลงสมัครเลือกตั้ง เขาจึงขอมือถือจากทางญาติไป เพื่อลบภาพต่างๆ พอมีตามหามือถือของนายจารุชาติ จึงเกิดความกลัวได้นำโทรศัพท์มือถือไปทำลาย เรื่องนี้เป็นข้อสงสัยที่ทางตำรวจก็สงสัยเช่นกัน จะต้องสืบสวนค้นหาความจริงกันต่อไป ว่ามือถือที่ถูกทำลายมีความสำคัญกับคดีหรือไม่ ในขณะนี้ทางญาติผู้เสียชีวิตได้แจ้งข้อหาผู้ที่นำมือถือผู้ตายไปและทำลายทิ้ง ในข้อหายักยอกทรัพย์ไว้ที่ สภ.ภูพิงค์ ซึ่งตำรวจจะพิจารณาตามข้อกฎหมายว่า เป็นการลักทรัพย์โดยใช้กลอุบายหรือไม่
รายงานข่าวแจ้งว่า ผู้ที่นำมือถือของนายจารุชาติไปคือ นายพศิน อัครเดชธนโชติ หรือล้าน ซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทของนายชูชัย เลิศพงษ์อดิศร ซึ่งทางตำรวจได้เรียกตัวมาสอบสวน และจะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มจากที่ญาติแจ้งไว้ในข้อหายักยอกทรัพย์ โดยจะแจ้งข้อหาลักทรัพย์เพิ่ม ส่วนข้อมูลต่างๆ ในโทรศัพท์มือถือ ถึงแม้เครื่องและซิมจะหาไม่พบ แต่ตำรวจมีวิธีการในการตรวจสอบ และมีข้อมูลทั้งหมดในโทรศัพท์มือถือของผู้ตายแล้ว