เบื้องหลัง “ทักษิณ ชินวัตร” มั่นใจเลือกตั้งครั้งหน้าเพื่อไทยชนะแบบหิมะถล่ม พบข้อมูลคนส่วนใหญ่หนุน “ชินวัตร-เพื่อไทย” ดัน “ผศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์” ลูกเจ๊แดง นักวิทยาศาสตร์เชี่ยวชาญด้านสมองกล ขึ้นนั่ง หน.พรรค ชี้ “ชินวัตร” จะเป็น TRUST FACTOR ที่ทำให้เลือกตั้งได้ ส.ส.ถึง 300 ขึ้นไป ระบุ พลังประชารัฐ ดูดไปก็สร้างคนรุ่นใหม่เข้ามาแทนได้ จับตา “ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ลูกเขย จะเป็นขุมกำลังในการดึงคนรุ่นใหม่!
ทำไม? นายทักษิณ ชินวัตร จึงกล้าที่จะประกาศถึงสถานการณ์ทางการเมืองในงานวันเกิด 26 กรกฎาคม ครบรอบ 69 ปี ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยอาจจะชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายแบบ “อาวาแลนช์” (avalanche) หรือ หิมะถล่ม
ซึ่งการประกาศชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายในวันนั้น เป็นการยืนยันความมั่นใจต่อเนื่องจากที่เคยประกาศไว้เมื่อครั้งเดินทางไปเข้าร่วมในงานประชุมเอ็นเอชเคเวิลด์ของญี่ปุ่นกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เช่นกันว่า “พรรคเพื่อไทยจะสามารถนำพรรคไปสู่ชัยชนะแบบถล่มทลายได้อีกครั้ง”
หลายคนอาจมองคำพูดของทักษิณ เป็นจอมขี้โม้ สร้างภาพเพื่อปกปิดถึงสถานการณ์จริงภายในพรรคเพื่อไทย ที่กำลังเกิดอาการเลือดไหลไม่หยุดจากพลังดูดของพรรคพลังประชารัฐ ที่ประกาศหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี หลังการเลือกตั้ง เพื่อสืบทอดอำนาจ คสช.ต่อไป
แต่ในความเป็นจริง นิสัยของ นายทักษิณ จะทำงานภายใต้ฐานข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ทางการเมืองไว้อย่างชัดเจน
ขณะนี้ข้อมูลที่นายทักษิณ มีอยู่ในมือทั้งที่ “ว่าจ้าง” บริษัทต่างชาติ และบริษัทในเครือไปทำการสำรวจเป็นระยะๆ เพื่อรู้ถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลง ผสมผสานข้อมูลทางราชการ ทั้งของทหาร (กอ.รมน) กองบัญชาการตำรวจสันติบาล, สถาบันการศึกษา รวมไปถึงผลโพลของพรรคประชาธิปัตย์ที่ไปทำการสำรวจ จะถูกนำมาสังเคราะห์โดยทีมงานคนเดือนตุลาฯ และนักวิชาการพรรคอย่างเป็นระบบ
ตรงนี้จึงนำไปสู่ความมั่นใจว่า “เพื่อไทย” ชนะเลือกตั้งแน่นอน!
เช่น โพลของ “สวนดุสิตโพล” เมื่อ 19-23 มิถุนายน 2561 ประเด็น 5 อันดับพรรคการเมืองที่อยู่ในความสนใจของประชาชน พบว่า พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 55.02 มาเป็นอันดับ 1 อันดับ 2 พรรคอนาคตใหม่ ร้อยละ 34.18 อันดับ 3 พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 33.88 อันดับ 4 พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 17.39 อันดับ 5 พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 12.59
หรือแบบสำรวจความคิดเห็นประชาชน ของสถาบันพระปกเกล้า เมื่อปี 2560 ในโอกาสครบรอบ 19 ปี ประเด็นความเชื่อถือของนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 2545-2560 ก็พบว่า นายทักษิณได้รับความเชื่อมั่นสูงสุด มากกว่า พล.อ.ประยุทธ์ เช่นกัน
“ข้อมูลเพื่อไทย ข้อมูลประชาธิปัตย์ ชัดเจน เพื่อไทยชนะ ทหารก็รู้ว่าคะแนนสู้เพื่อไทยไม่ได้ จึงต้องดูดอดีต ส.ส. หาวิธีจัดการเรา แต่นายใหญ่ไม่กังวล จะชนะได้ต้องรู้เขา รู้เรา”
อย่างไรก็ดี นายทักษิณ และแกนนำพรรคเพื่อไทย ได้ศึกษาเรื่องความนิยมที่ลึกไปกว่านั้นว่า นอกจากความนิยมในตัวพรรคแล้ว ในตัวผู้นำพรรคระหว่างคนที่เป็นทายาทสายตรง “ชินวัตร” กับคนนอกที่ “นายใหญ่” ให้การสนับสนุนผลคะแนนจะมีความแตกต่างกันหรือไม่? และถ้าจะชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตัวเลข ส.ส.ควรจะเป็นเช่นไร
ทั้งนี้ ในรัฐธรรมนูญปี 2560 จะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 500 คน ประกอบด้วย ส.ส.แบบแบ่งเขต 350 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 150 คน โดย กทม.และภาคกลางจะมี ส.ส.121 คน ภาคเหนือ 62 คน ภาคอีสาน 118 คน ภาคใต้ 49 คน
“ข้อมูลที่ประเมินกันไว้ เพื่อไทย จะได้ภาคเหนือ 40 อีสาน 70 ภาคกลาง ได้ 30-40 กทม.ได้ 10 รวมๆ ก็ได้ 160 ส่วนภาคใต้ก็ต้องรอกลุ่มวาดะห์ กับเครือข่าย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ซึ่งก็หวังยาก เพราะทหารประกบไว้แล้ว หากไปรวมกับพรรคอนาคตใหม่ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับพรรคของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ได้ ก็ยังไม่น่าจะถึง 210”
แหล่งข่าวระบุว่า ตัวเลขดังกล่าวเป็นการประเมินกรณีของหัวหน้าพรรคเพื่อไทยไม่ใช่คนในตระกูลชินวัตร ไม่ว่าจะเป็น นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ซึ่งแต่ละคนได้รับคะแนนนิยมจากการสำรวจอีสานโพลทั้งสิ้น ซึ่งคะแนนทั้ง 3 คน ไม่ได้ทิ้งห่างกันเลย
“จริงๆ คุณชัชชาติ เป็นคนที่มีความโดดเด่น เป็นที่ยอมรับทั้งด้านวิชาการ การบริหาร ปัจจุบันก็เป็นเอ็มดีบริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ ทำธุรกิจรับสร้างบ้าน ที่ถือว่าเป็นสายตรงนายใหญ่ นายหญิงอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้ชนะถล่มทลายก็ถือว่าไม่ใช่ไม่เหมาะ”
ดังนั้น หากต้องการชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายตามที่ นายทักษิณ กำหนดไว้ จึงนำไปสู่ “สมการ” ใหม่ คือ จะต้องเป็นคนในครอบครัวชินวัตร และเป็นคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจกลไกการเปลี่ยนแปลงของโลก และคนที่ถูกพูดถึงวงในสุดของการสนทนาของครอบครัวชินวัตร จึงมีอยู่เพียง 2 คน ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นและพร้อมในการบริหาร
“เดิมพุ่งเป้าไปที่ คุณแป๋ว มณฑาทิพย์ ชินวัตร บุตรคนที่ 8 ของตระกูลชินวัตร ซึ่งจะเห็นเธอปรากฏตัวช่วงที่คุณยิ่งลักษณ์มีคดีเรื่องจำนำข้าว แม้ว่าจะไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง แต่ในทางธุรกิจถือว่าเป็นคนกว้างขวางพอสมควร แต่วันนี้ต้องยอมรับว่าเป็นยุคของคนรุ่นใหม่จึงจะเหมาะกว่า”
คนแรก คือ “ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ลูกเขย ทักษิณ ชินวัตร สามีของ “เอม พินทองทา ชินวัตร” ปัจจุบันนั่งเก้าอี้ซีอีโอ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) จบปริญญาตรีจากคณะสถาปัตย์ จุฬาฯ ปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ ที่เดอพอล ยูนิเวอร์ซิตี้ เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา
“คนนี้สเปกได้หมด เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ มีความรู้ความสามารถด้านการบริหาร สร้างความเติบโตให้ SC มาตลอด เป็นคนนิ่ง สุขุม และเป็นสายตรงชินวัตรที่สุด หากไม่นับโอ๊ค เอม อุ๊งอิ๊ง แต่ปัญหาคือนายหญิงไม่ยอมให้เข้ามาเสี่ยงในการเมืองและไม่อยากให้ลูกๆ มีความทุกข์กับชีวิตการเมือง”
คนที่ 2 คือ นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ เป็นบุตรคนโตของนายสมชาย และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (เจ๊แดง) และเป็นหลานชายของนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่ง ยศชนัน ถือเป็นคนรุ่นใหม่ มีตำแหน่งทางวิชาการเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ จบปริญญาโทด้านวิศวกรรมไฟฟ้า จบปริญญาเอกด้านคลื่นสมอง ทำดุษฎีนิพนธ์เรื่องการใช้สัญญาณสมองมาช่วยเหลือผู้พิการ และในสมัยที่เป็นอาจารย์ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชา Biomedical Engineer (วิศวกรรมชีวการแพทย์) มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำสิ่งประดิษฐ์ด้านการแพทย์เพื่อช่วยเหลือคนไข้ไว้มาก
ผศ.ดร.ยศชนัน ไม่ใช่เป็นแค่นักวิชาการด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ เท่านั้น ยังมีประสบการณ์ในการบริหารบริษัทมากมายที่เป็นของครอบครัวเจ๊แดง และยังมีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เป็นของส่วนตัวด้วย
ที่สำคัญ เขาไม่ใช่เป็นคนอ่อนหัดทางการเมือง เนื่องจากได้ลาออกจากราชการมาสมัคร ส.ส.เขต 3 เชียงใหม่ ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 และผลอย่างไม่เป็นทางการ นายยศชนัน ชนะเลือกตั้งในเขต 3 และหากไม่เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองมีการชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของกลุ่ม กปปส. จนนำไปสู่การปฏิวัติของ คสช.จะสามารถประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการได้ก็จะมี ส.ส.ชื่อ ยศชนัน และจะเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แน่นอน
“ยศชนัน” เคยให้สัมภาษณ์ในช่วงนั้นว่าตัวเขามีความสนใจด้านการเมืองมานานแล้วและได้ศึกษาหาความรู้มาอย่างต่อเนื่อง พร้อมที่จะเข้ามาทำงานการเมืองเพื่อพี่น้องประชาชนโดยจะใช้จุดเด่นด้านความรู้ที่มีเกี่ยวกับด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมาช่วยในการพัฒนาประเทศต่อไป
“จะเลือก ณัฐพงศ์ หรือ ยศชนัน ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค ถือเป็น TRUST FACTOR ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของคำว่าหิมะถล่ม เพราะกระแสชาวบ้านต้องการตระกูลชินวัตร และเป็นโอกาสที่เพื่อไทยจะทวงอำนาจรัฐคืนจาก คสช.”
แหล่งขาวระบุว่า แม้ณัฐพงศ์จะไม่เข้าสู่สนามการเมือง แต่เขาก็มีบทบาทสำคัญในการปั้นและสร้างเครือข่ายในการดึงนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่สนใจการเมือง จากการเข้าอบรม The Next Real หลักสูตรเพื่อผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย เข้ามาสู่พรรคเพื่อไทย และคนเหล่านี้ก็จะเป็นกำลังสำคัญในการทดแทนอดีต ส.ส.ที่ถูกดูดไปได้อย่างมีคุณภาพ
ดังนั้น ผศ.ดร.ยศชนัน จึงเป็นทายาทชินวัตรสายตรงในเวลานี้ที่ถูกเลือกให้นั่งหัวหน้าพรรค หากไม่มีสถานการณ์อะไรทำให้ต้องเปลี่ยนแปลง ซึ่งนายทักษิณและพรรคเพื่อไทยประเมินแล้วว่าการจะทำให้พรรคได้ 300 ที่นั่งขึ้นไป จะต้องจุดกระแสไม่เอาทหารและไม่เอาประชาธิปัตย์ ให้สำเร็จ จึงจะเป็นโอกาสให้พรรคเพื่อไทยชนะแบบหิมะถล่มจริงๆ !