เกาะติดเงื่อนงำคดีของ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ ที่วันนี้ออกอาการ ‘หมูไม่กลัวน้ำร้อน’ เมื่อตำรวจเร่งตรวจหาหลักฐานจากเหตุการณ์ขัดขวางการเข้าตรวจค้นเครื่องสำอาง จนลุกลามบานปลายไปถึง 45 คดี อาจถึงขั้นถูกถอดยศ และยังใช้กฎหมาย ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ขณะที่ ‘สันธนะ’ ก็รู้ลึก รู้จริง ถึงเส้นทางผลประโยชน์สีเทา ที่เรียกว่าเจ้าตัวกำความลับไว้มาก ซึ่งอาจนำไปสู่จุดจบที่เคยพูดไว้กับคนใกล้ชิด “ชีวิตกูถ้าไม่ถูกลอบยิงตาย ก็อาจถูกอัดจากคนในเรือนจำ ที่ได้ใบสั่งจากบิ๊กมีสี”!
เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตรอง ผกก.สันติบาล 2 ในฐานะที่ปรึกษากรรมการบริษัทพัฒนาตลาดใหม่ดอนเมืองกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำโดย พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร.และ พล.ต.ต. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท.(ผู้การฯโจ๊ก) ในการเข้าตรวจค้นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง อาหารเสริม เครือเมจิกสกิน เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ได้ลุกลามบานปลายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้สังคมตั้งข้อสงสัยว่าการดำเนินการกับ พ.ต.ท.สันธนะ ในครั้งนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์มหาศาลที่ 'สันธนะ' กำความลับอยู่จริงหรือไม่?
แต่ที่แน่ ๆ เรื่องราวที่ลุกลามใหญ่โตขนาดนี้ เป็นเพราะการก้าวพลาดของ พ.ต.ท.สันธนะ ที่ประเมินสถานการณ์ผิดพลาดจึงออกมาแสดงอาการขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่จนดูเหมือนเป็นการท้าทาย
“อาการ Overaction ของสันธนะวันนั้น มาจากนิสัยของเขาจริง ๆ เป็นคนที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ เมื่อตรงนั้นเป็นพื้นที่ที่เขาต้องดูแลก็ออกมาปกป้องกันสุด ๆ ถ้าวันนั้นใจเย็น มีสติสักนิด ก็จะไม่บานปลายจนถึงวันนี้”
นั่นคือการประเมินสถานการณ์ผิดพลาดครั้งแรกจนทำให้การเข้าตรวจค้นเครื่องสำอาง ได้ยกระดับสู่การค้นตลาด พบการก่อสร้างที่ผิดกฎหมาย มีการรุกล้ำคลองเปรมประชากรจนต้องทุบทิ้ง และมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง มีการเรียกค่าคุ้มครองจนนำไปสู่คดีกรรโชกทรัพย์ที่มี พ.ต.ท.สันธนะ เป็นหัวหน้าทีมกับพวกและมีผู้เสียหายที่เกิดจากการถูกกรรโชกทรัพย์ทยอยร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ
แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุที่จะทำให้ พ.ต.ท.สันธนะ หยุดเพราะจำนนต่อข้อกล่าวหาของตำรวจ แต่เขากลับยิ่งต่อสู้ไปพร้อม ๆ กับที่ตำรวจก็ยิ่งหาพยานหลักฐานที่จะเล่นงาน พ.ต.ท.สันธนะ และลุกลามไปถึงครอบครัว โดย พ.ต.อ.พิเศษ สมชาย ประยูรรัตน์ อายุ 91 ปี ผู้เป็นบิดา โดนแจ้งข้อหาให้ที่พักพิงกับผู้ต้องหา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 189
นี่ก็เป็นการประเมินสถานการณ์ผิดพลาดครั้งที่ 2 ของ พ.ต.ท.สันธนะ ที่แม้จะประกาศให้สังคมได้รับรู้ชัดเจนว่าตัวเองไปพักอยู่ที่บ้านบิดา และพร้อมที่จะเข้ามอบตัวตามหมายจับก็ตาม แต่ก็เป็นเหตุให้บิดาที่มีวัยถึง 91 ปี ต้องถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องในคดีนี้
'ในวงการตำรวจก็พูดคุยกัน ไม่เห็นด้วยที่ออกหมายเรียกบิดามาสอบสวน ทำไมไม่เข้าไปหาหรือไปสอบถามที่บ้านจะเป็นการอำนวยความสะดวกมากกว่าให้คนวัย 91 ปี ต้องลากสังขารมาที่ สน. บอกตรง ๆ สันธนะ ประเมินทีม 'ผู้การฯโจ๊ก' พลาดเพราะเห็นว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน การที่มาอยู่บ้านพ่อ ซึ่งเป็นอดีตตำรวจด้วย ก็นึกว่าจะมีการให้เกียรติกัน เพราะตัวเองไม่ใช่มาเฟีย อย่างซุ้มนครปฐม ซุ้มชลบุรี เพียงแต่ว่าตัวเองมีลูกน้องและรับดูแลธุรกิจให้เท่านั้น การยกกำลังมาเป็นกองร้อยเพียงเพื่อจับคนคนเดียวมันดูมีเงื่อนงำ”
พูดง่าย ๆ พ.ต.ท.สันธนะ คิดว่า “กูเฮียมึงนะ ควรให้เกียรติกูบ้าง” โดยคนที่จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจจะเรียกรุ่นพี่ว่า 'เฮีย' ถือเป็นการให้ความเคารพกันตามธรรมเนียม
ต่อเมื่อประเมินสถานการณ์ผิดพลาดถึง 2 ครั้ง จากวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ปรากฏว่าตำรวจได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.สันธนะ แล้วถึง 45 คดี และออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้อง 11 ราย พร้อมกับพิจารณาที่จะถอดยศของ พ.ต.ท.สันธนะ และเสนอให้มีการใช้กฎหมาย ปปง. เข้าตรวจสอบเส้นทางการเงินซึ่งอาจถึงขั้นอายัดทรัพย์สินก็เป็นได้
ขณะเดียวกันก็มีการประเมินกันว่าตำรวจอาจมีการใช้สถานการณ์ดังกล่าวเพื่อจะขออำนาจศาลฯพิจารณาถอนประกัน พ.ต.ท.สันธนะ และเมื่อถึงวันนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้นกับ พ.ต.ท.สันธนะ หรือไม่ อย่างไร?ก็เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ยาก
แต่ในความเป็นจริง พ.ต.ท.สันธนะ ได้พูดคุยกับเพื่อนสนิทที่เป็นนายตำรวจด้วยกันแบบติดตลกเพราะเมื่อชีวิตผกผันต้องถูกให้ออกจากราชการเมื่อปี 2545 ข้อหาขัดขวางการเข้าจับกุมบ่อนการพนันของ สน.บางกอกน้อย และหลังถูกยิงถล่มเมื่อปลายปี 2549 ด้วยกระสุนกว่า 10 นัดที่สามแยกไฟแดง สวรรคโลก กทม. ซึ่งเป็นเวลาหลังกลับจากดูม้าตัวเองแข่งที่สนามม้านางเลิ้ง แต่โชคยังเข้าข้างเนื่องจากได้มีการเปลี่ยนใช้รถอีกคัน จึงเป็นเหตุให้ลูกน้องคนสนิทของ พ.ต.ท.สันธนะ ต้องเสียชีวิตแทน
จากนั้นมาการดำเนินชีวิตของ พ.ต.ท.สันธนะ ก็เริ่มเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องมีลูกน้องตามประกบติดหลายคน บางครั้งเดินเข้ามาดูเหมือนเป็นการเคลียร์พื้นที่ก่อน มีการยืนตามจุดต่าง ๆ ซึ่งหากจะถามว่า พ.ต.ท.สันธนะ มีความสุขกับชีวิตแบบนี้หรือไม่นั้นเขาก็บอกว่า เมื่อเดินมาทางนี้แล้วก็ต้องเดินต่อไป
“ชีวิตของคนที่เคยถูกลอบฆ่า เพราะไปขัดผลประโยชน์ทางธุรกิจของใคร โดยเฉพาะคนมีอำนาจ คนมีสี ก็ทำให้ต้องแกร่ง ต้องสู้ ถ้าไม่สู้ก็อยู่ลำบาก”
เฉพาะผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา หรือสีดำ ในวงการสนามม้า หวย บ่อน ซ่อง สถานอาบอบนวด ว่าไปแล้วเป็นเรื่องที่ พ.ต.ท.สันธนะ รู้ดีและรู้ลึก เพราะเส้นทางชีวิตของ พ.ต.ท.สันธนะ เกี่ยวพันอยู่กับสิ่งเหล่านี้มาตลอด
พูดถึงในวงการสนามม้า พ.ต.ท.สันธนะ ชอบดูม้าแข่งตั้งแต่สมัยเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญ แต่พอจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจก็ได้มาอยู่ที่ สน.นางเลิ้ง เริ่มรับซื้อม้าแข่ง เป็นเจ้าของคอกม้า และก็เป็นสมาชิกสามัญราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ด้วยความที่คลุกคลีและทำธุรกิจเกี่ยวกับม้า และเข้านอกออกในสนามม้า ก็รู้ว่าทุกยุคทุกสมัยที่นี่คือพื้นที่พิเศษที่มีการพนันถูกกฎหมาย และผิดกฎหมาย รวมอยู่ด้วยกัน และยังเป็นแหล่งรวมของบรรดานักเลง ผู้มีอิทธิพล คนมีสี ที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถเอื้อมมือเข้าไปจัดการได้ ซึ่ง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หรือ ผู้การฯโจ๊ก ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เข้าไปปราบปรามโต๊ดเถื่อนแต่ก็ทำได้เพียงผิวเผินเท่านั้น
“ที่นี่มีโต๊ดเถื่อนใหญ่ ๆ ที่สร้างผลประโยชน์ให้กับพรรคพวกมหาศาล นั่งรับกันเห็น ๆ เล่นกันตั้งแต่ 5 แสน เป็นล้าน สิบล้าน ยี่สิบล้าน แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่จับกุม ก็เห็นแต่จับพวกชาวบ้านเล่นกัน 200-300 บาท โต๊ะเถื่อนเงื่อนไขการจ่ายคือบวก-ลบ 10% แทงถูกจ่ายเพิ่มให้อีก10% แทงผิดจ่ายจริงลบออก 10% เช่นแทง 100,000 แทงถูกได้ 110,000 แต่แทงผิดจ่าย 90,000 บาท”
โดยธุรกิจโต๊ดเถื่อน ทำให้วงจรการแทงม้าในระบบกลางที่ถูกต้องเสียหาย เพราะการแทงในระบบกลางจะมีการคืนภาษีให้รัฐ เพราะเมื่อแทงถูกก็จะมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย แต่การเปิดโต๊ะเถื่อนเป็นการเก็บสด ไม่มีการเอาเข้าบัญชี ส่วนผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นก็เอามาแบ่งกัน ในกลุ่มพวกเขาทุก ๆ สัปดาห์
ซึ่งตรงนี้ พ.ต.ท.สันธนะ และคนในวงการต่างก็รู้กันดีว่าใครมีผลประโยชน์ที่นี่บ้าง และผลประโยชน์ตรงนี้จำต้องหายไปเมื่อสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้มีหนังสือถึงประธานคณะกรรมการอำนวยการ ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ลงวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา ไม่ต่อสัญญาและขอให้ส่งมอบสถานที่เช่า ภายใน 180 วัน
ส่วนเรื่อง หวย บ่อน ซ่อง นั้น พ.ต.ท.สันธนะ ก็รู้ลึกและรู้จริงไม่ต่างจากวงการม้าอีกเช่นกันเพราะ พ.ต.ท.สันธนะ เข้าไปคลุกคลีกับแหล่งธุรกิจสีเทาประเภทนี้ตั้งแต่สมัยที่ยังรับราชการอยู่ที่กองบังคับการปราบปราม และมีการโยกย้ายภายในกองบังคับการฯ จนรู้ทุกซอกทุกมุม ตั้งแต่กอง 5 รับผิดชอบพื้นที่ภาคใต้ ตั้งแต่สมุทรสาคร ไปถึงนราธิวาส จากนั้นได้ย้ายไปอยู่กอง 3 รับผิดชอบพื้นที่เหนือ กทม.ไปจนถึงเชียงราย และย้ายไปอยู่แผนก 4 กอง 2 รับผิดชอบพื้นที่ทั่วประเทศ
“เรียกว่าประสบการณ์แน่นปึ้ก รู้ทุกพื้นที่ หวย บ่อน ซ่อง อาบอบนวด โรงฆ่าสัตว์เถื่อน อะไร ๆ ที่ผิดกฎหมายรู้หมด”ยิ่งได้ย้ายมาอยู่กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ยิ่งเป็นการเพิ่มเขี้ยวเล็บให้กับ พ.ต.ท.สันธนะ “อาศัยการข่าว คุมโรงงานทั่วประเทศ ที่ไหนมีคนต่างด้าวทำงานรู้หมด”
แต่การที่ พ.ต.ท.สันธนะ รู้มากเกินไปนั้นกลับกลายเป็นภัยร้ายสำหรับตัวเขาเอง โดยเฉพาะหากเข้าไปมีผลประโยชน์และเป็นคนจัดผลประโยชน์ส่ง 'นาย' และเก็บบางส่วนไว้กับตัวเอง ผลที่ตามมาก็คือไม่มีใครอยากจะยุ่งด้วย เพราะไม่รู้ว่าวันใด พ.ต.ท.สันธนะ จะปากสว่างให้ใครต่อใครได้รับรู้
“วงการคนมีสี เมื่อขึ้นมาสูง จะหาคนที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง หรือไม่มีแผลเลยค่อนข้างยาก เพียงแต่ว่าจะมีมากน้อยแค่ไหน มีแล้วเสียหายมากหรือไม่ เรื่องนี้ ผู้การฯ โจ๊ก ก็เข้าใจดี คนรักก็มี คนเกลียดก็มี ซึ่ง พ.ต.ท.สันธนะ มีข้อดีคือจะไม่ทำร้ายตำรวจด้วยกันเอง ก็แค่รู้และเก็บไว้”
แม้ว่าพฤติกรรมของ พ.ต.ท.สันธนะ จะถูกยกระดับเทียบชั้นมาเฟียหรือผู้มีอิทธิพล แต่ตัวของพ.ต.ท.สันธนะ เอง และคนที่รู้จักตัวตนและการทำธุรกิจของ 'สันธนะ' กลับมองว่าเขาไม่ใช่มาเฟีย แต่เป็นคนที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครอง ซึ่งจะไม่รับงานทวงหนี้ แต่ถ้าธุรกิจใดมีปัญหาขอให้เขาเข้าไปช่วย ก็จะพิจารณาเป็นเรื่อง ๆ ไป เหมือนกรณีเข้าไปรับเป็นที่ปรึกษาบริษัทพัฒนาตลาดใหม่ดอนเมือง ก็ได้มีการช่วยเจรจาแก้ปัญหาความขัดแย้งและจัดตั้งสำนักงานฯดูแล และมีบัญชีรับ-จ่ายค่าบำรุงรักษาอย่างถูกต้อง เหมือนกับหมู่บ้านจัดสรรที่มีนิติบุคคลดูแลชุมชนและลูกบ้านก็ต้องจ่ายค่าดูแลเช่นกัน
“เพื่อนฝูงที่มีธุรกิจ และถูกพวกมีสี นักการเมือง บีบเรียกผลประโยชน์ สันธนะก็จะเข้าไปช่วย เพราะเขาพูดได้ 2 ภาษา คือภาษาทางการก็ได้ นักเลงก็ได้ ภาษาทางการคือพูดแบบเจ้าหน้าที่รัฐ พูดแบบตำรวจ แล้วพูดเป็นภาษานักเลง ผสมกับภาษาของนักธุรกิจ ใช้ลีลาและหลักการพูดให้จบให้ได้”
ที่สำคัญ พ.ต.ท.สันธนะ มีหลักการประจำใจและยึดถือปฏิบัติมาตลอด ก็คือ จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจรับทวงหนี้ รวมไปถึงการทำร้ายพี่น้องตำรวจด้วยกันเองก็ดี
หากคดีของ พ.ต.ท.สันธนะ มีเพียงคดีกรรโชกทรัพย์ กรณีบริษัทพัฒนาตลาดใหม่ดอนเมือง ที่ลุกลามจากการเข้าตรวจค้นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง อาหารเสริม เครือเมจิกสกิน เพียงคดีเดียว และไม่ลุกลามบานปลายไปจนถึง 45 คดี วงการตำรวจส่วนหนึ่งเชื่อว่า คดีนี้ไม่สามารถเอาผิด พ.ต.ท.สันธนะได้ และเชื่อว่าคดีนี้เมื่อถึงขั้นศาลฯ พยานทั้งหมดอาจกลับคำให้การก็ได้
นี่คือความเชื่อและความหวังที่คนในวงการตำรวจรู้กันดี !
แต่วันนี้เรื่องที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.ท.สันธนะ ซึ่งกำลังลุกลามใหญ่โตจนทำให้คนใกล้ชิดหวนคิดถึงคำพูดที่ พ.ต.ท.สันธนะ ได้เอ่ยปากกับเพื่อน ๆ แบบติดตลกไว้ว่า
“ชีวิตกูถ้าไม่ถูกลอบยิงตาย ก็อาจถูกอัดจากคนในเรือนจำ ที่ได้ใบสั่งจากบิ๊กมีสี”!
ส่วนเรื่องราวจริง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดีของ พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ จะดำเนินต่อไปอย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม!