xs
xsm
sm
md
lg

9 ทุนพระราชทานของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ใช้การศึกษาพัฒนาชาติมั่นคง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ทุนการศึกษาพระราชทาน” หรือทุนจากในหลวง ที่เป็นทุนให้เปล่า ไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ เป็นพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่พระองค์ท่านโปรดเกล้าฯ พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อช่วยเหลือการศึกษาในทุกระดับการศึกษา ทั้งนักเรียนที่ด้อยโอกาส มีฐานะยากจน ขาดแคลนทุนทรัพย์ มีความประพฤติเรียบร้อย และมีความขยันหมั่นเพียร รวมถึงนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเยี่ยม เป็นคนดี มีความขยัน อดทน แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยพระราชทานเป็นทุนประเดิม และต่อมาผู้มีจิตศรัทธาบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลอีกเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งตั้งเป็นมูลนิธิช่วยนักเรียนขาดแคลนในพระบรมราชูปถัมภ์ ใช้เฉพาะดอกผลเป็นทุนการศึกษาต่อไปในภายภาคหน้า

“ทุนการศึกษาพระราชทาน”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาเป็นอย่างมาก เพราะทรงถือว่า “การศึกษาเป็นกระบวนการพัฒนาชีวิตมนุษย์”

ดังจะเห็นได้จากพระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่คณะครูและนักเรียน ณ ศาลาดุสิดาลัย เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2514 และเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2519 รวมทั้งที่พระราชทานในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 มีความตามลำดับดังนี้

“…การศึกษาเป็นปัจจัยในการสร้างและพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติ และคุณธรรมของบุคคล…”

“…ปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งของทั้งชีวิตและส่วนรวม คือ การศึกษา ซึ่งเป็นรากฐานส่งเสริมความเจริญมั่นคงเกือบทุกอย่างในบุคคล และประเทศชาติ…”

“…การศึกษาเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการพัฒนาบุคคลให้มีคุณภาพ ให้เป็นทรัพยากรทางปัญญาที่มีค่าของชาติ…”
พระบรมราโชวาทที่อัญเชิญมานี้แสดงให้เห็นถึงพระราชดำริที่เล็งเห็นความสำคัญของการศึกษา ทั้งยังพระราชทานพระราชดำริ ให้เห็นว่า ประเทศชาติจะพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าได้ ก็ด้วยการพัฒนาบุคคลของชาติให้มีคุณภาพโดยการให้การศึกษา ดังพระบรมราโชวาทที่นำมาเน้นเป็นตัวอย่างอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้

“…งานด้านการศึกษาเป็นงานสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชาติ เพราะความเจริญและความเสื่อมของชาตินั้น ขึ้นอยู่กับการศึกษาของพลเมืองเป็นข้อใหญ่ ตามข้อเท็จจริงที่ทราบกันดีแล้ว ระยะนี้บ้านเมืองของเรามีพลเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งมีสัญญาณบางอย่างเกิดขึ้น ด้วยว่าพลเมืองของเราบางส่วนเสื่อมโทรมลงไปในความประพฤติและจิตใจ ซึ่งเป็นอาการที่น่าวิตก ถ้าหากยังคงเป็นอยู่ต่อไปเราอาจจะเอาตัวไม่รอด ปรากฏการณ์เช่นนี้ นอกจากเหตุอื่นแล้วต้องมีเหตุมาจากการจัดการศึกษาด้วยอย่างแน่นอน… เราต้องจัดงานด้านการศึกษาให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น…”

(พระบรมราโชวาทที่พระราชทานในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2510)

อย่างไรก็ตาม พระองค์ท่านทรงชี้ให้เห็นว่า การให้การศึกษาเป็นงานใหญ่และกว้างขวางที่ไม่ใช่จะทำสำเร็จได้โดยใครแต่ลำพัง ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของคนส่วนใหญ่ในทุก ๆ ด้าน การจัดการศึกษาของประเทศ จึงจะเป็นผลสำเร็จได้

ดังพระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่คณะกรรมการบริหารมูลนิธิช่วยนักเรียนที่ขาดแคลนในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2512 และพระราชดำรัสแก่สมาชิกสโมสรไลออนส์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2513 มีความตามลำดับดังนี้

“…ในประเทศไทยนี้ถ้าดูจากสถิติก็มีพลเมืองเพิ่มขึ้นทุก ๆ วัน จึงสันนิษฐานได้ว่าพลเมืองของประเทศไทยนี้อยู่ในวัยเรียนอยู่เป็นส่วนมากทุก ๆ ปี การที่ส่วนรวม คือ ประชาชนทั้งประเทศเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาเป็นสิ่งที่ดีแล้ว จึงต้องช่วยกันจัดการให้เยาวชน ให้ประชาชนที่เกิดขึ้นมาใหม่นี้มีโอกาสได้รับการศึกษาที่ดี เราจะไปอาศัยรัฐบาลหรืออาศัยทางราชการที่จะช่วยให้บ้านเมืองมีความเจริญด้านเดียวไม่ได้ เพราะในสมัยนี้ถือว่าเป็นสมัยประชาธิปไตย ทุกคนมีส่วนในงานของประเทศชาติ…”

“…การให้การศึกษาแก่คนนี้เป็นปัญหาของคนทุกคน ไม่ใช่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ ต้องร่วมมือกันหลายฝ่าย ระหว่างผู้ที่มีความรู้ ผู้ที่มีเจตนาดีต่อสังคมและผู้มีทุนทรัพย์…”

จากพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่อัญเชิญมากล่าวข้างต้น ยิ่งแสดงให้เห็นว่า ทรงสนพระราชหฤทัยในด้านการศึกษาอย่างลึกซึ้ง ทรงมองเห็นถึงปัญหาและแนวทาง

ตลอดจนพร้อมที่จะทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจสนับสนุนการศึกษาในทุก ๆ ด้าน ทรงทราบดีว่าเด็กและเยาวชนของไทยมิได้ขาดสติปัญญาที่จะเล่าเรียน แต่ด้อยโอกาสและขาดทุนทรัพย์ และอีกประการหนึ่งก็คือทรงตระหนักถึงความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะมามีบทบาทและอิทธิพลต่อแนวคิด จิตใจ และการดำเนินชีวิตของประชาชนอย่างมาก จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการก้าวให้ทันวิวัฒนาการและความเจริญสมัยใหม่เหล่านี้
ส่วนหนึ่งคือจำเป็นต้องส่งคนไปศึกษาและดูงานในประเทศที่พัฒนาแล้ว เพื่อนำความรู้มาเผยแพร่ให้เป็นประโยชน์และก่อให้เกิดการพัฒนาในวิทยาการต่าง ๆ ของประเทศ พร้อมจัดเตรียมความรู้ขั้นพื้นฐาน สำหรับผู้ที่จะเข้ามารองรับความรู้เหล่านั้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อก่อตั้งกองทุนการศึกษาขึ้นหลายทุนตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา ซึ่งการให้ทุนแต่ละทุนนั้น มีวัตถุประสงค์แตกต่างกันไป ดังนี้

1. ทุนมูลนิธิ “ภูมิพล”

ตั้งแต่พุทธศักราช 2495 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน 100,000 บาท ให้แก่มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ตั้งเป็นทุน “ภูมิพล” ขึ้น เพื่อเก็บดอกผลพระราชทานเป็นทุนแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ผู้เรียนดีแต่ขัดสนทุนทรัพย์ ทุนนี้จะให้แก่นักศึกษาคนละ 200 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 1 ปี

นอกจากนี้ ได้พระราชทานทุนการศึกษาให้แก่บัณฑิตที่สอบได้คะแนนยอดเยี่ยมในสาขาวิชาต่าง ๆ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อเป็นรางวัลแก่นิสิตนักศึกษาที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์เป็นประจำทุกปี

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมกำลังใจ และการศึกษาของนิสิตนักศึกษาให้มีความมานะอุตสาหะต่อการศึกษามากขึ้น และยังได้พระราชทานเป็นรางวัลด้านอื่น ๆ อีกด้วย อาทิ การแต่งหนังสือ การแต่งเรียงความ ต่อมาได้พระราชทานทุนขยายไปยังมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ดังในคราวเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตรเดิม)

เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 50,000 บาท ตั้งเป็นทุนมูลนิธิ “ภูมิพล” และได้ตราระเบียบลงวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2511 แบ่งเป็นทุน 2 ประเภท ได้แก่

(1) ทุนประเภทช่วยเหลือการศึกษา

(2) ทุนประเภทช่วยเหลือการทำปริญญานิพนธ์หรือการวิจัย

นอกจากนั้น ยังได้พระราชทานทุนมูลนิธิ “ภูมิพล” แก่บัณฑิตที่ได้คะแนนยอดเยี่ยมในสาขาวิชาต่าง ๆ ไปศึกษาต่อในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งนักศึกษาที่ได้รับพระราชทานทุนนี้หลังจากสำเร็จการศึกษากลับสู่ประเทศไทยแล้ว ได้ออกปฏิบัติงานด้านพัฒนาเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติเป็นอย่างมาก

2. ทุนมูลนิธิ “อานันทมหิดล”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักว่า ประเทศไทยเราต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในวิชาเทคนิคชั้นสูง เพื่อมาช่วยพัฒนาประเทศมากขึ้น จึงควรส่งเสริมนิสิตนักศึกษา ที่มีความสามารถอย่างยอดเยี่ยมให้มีโอกาสไปศึกษาต่อในวิชาชั้นสูงบางวิชา ณ ต่างประเทศ เมื่อสำเร็จแล้วได้ทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เรียนมาต่อไป จึงโปรดเกล้าฯ ให้ทดลองดำเนินการด้วยการพระราชทาน “ทุนอานันทมหิดล” ในปี พ.ศ. 2498 แก่นักศึกษาแพทย์ตามรอยพระบาทสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และเพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล

ต่อมาทรงเห็นว่า ได้ผลสมพระราชประสงค์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จดทะเบียนตราสารทุนอานันทมหิดล เป็น “มูลนิธิอานันทมหิดล” เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2502 โดยพระราชทานทุนเริ่มแรกจำนวน 20,000 บาท มีผู้ได้รับพระราชทานทุนสาขาแพทยศาสตร์ในขณะนั้น 3 ราย และต่อมาเนื่องจากความต้องการผู้เชี่ยวชาญในวิชาแขนงอื่นมีมากขึ้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขยายงานของมูลนิธิ พระราชทานทุนการศึกษาสาขาวิชาอื่นต่อไป

ปัจจุบันทุนมูลนิธิ “อานันทมหิดล” ได้ขยายขอบเขตการพระราชทานทุนแก่นักศึกษาสาขาต่าง ๆ คือ สาขาแพทยศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเกษตรศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมวิทยา วารสารศาสตร์ และ อักษรศาสตร์ โดยมีคณะกรรมการประจำแต่ละสาขาคัดเลือกบัณฑิตที่มีความสามารถยอดเยี่ยมแต่ละสาขาดังกล่าวไปศึกษาเพิ่มเติม ณ ต่างประเทศ เพื่อจะได้กลับมาทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชาที่ได้ศึกษามาตามพระราชประสงค์

แต่ทั้งนี้ ไม่มีสัญญาผูกมัดว่าผู้ได้รับพระราชทานทุนจะต้องกลับมาปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่งตามเวลาที่กำหนด เพราะมีพระราชประสงค์จะให้ผู้รับทุนได้เกิดความสำนึกรับผิดชอบเอง แต่ผู้รับทุนทุกรายก็กลับมาปฏิบัติงานเป็นคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองสมพระราชประสงค์ด้วยดี

นอกจากนี้ ยังมีทุนพระราชทาน เรียกว่า “ทุนส่งเสริมบัณฑิต” โดยคณะกรรมการสาขาแพทยศาสตร์ พิจารณาเห็นว่า แพทย์ผู้ใดเป็นแพทย์ผู้สละเวลาและอุทิศตนปฏิบัติงานเพื่อส่วนรวมโดยมิได้คำนึงถึงความเหนื่อยยากและประโยชน์ส่วนตน ก็จะขอพระราชทานเงินทุนส่งเสริมบัณฑิตให้เดือนละ 6,000 บาท เพื่อช่วยเป็นค่าใช้จ่ายของแพทย์ผู้นั้น ทุนส่งเสริมบัณฑิตนี้เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2523 จนถึงปัจจุบัน

ยิ่งไปกว่านั้นทุนมูลนิธิอานันทมหิดล ได้ส่งเสริมการศึกษา ค้นคว้าวิจัยทางแพทย์เฉพาะด้าน เช่น การวิจัยเกี่ยวกับโลหิตวิทยา การวิจัยโรคระบบประสาท การวิจัยกระดูกและข้อ และการวิจัยฮอร์โมน เป็นต้น

3. ทุนเล่าเรียนหลวง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ให้ฟื้นฟู “ทุนเล่าเรียนหลวง” (King’s Scholarship) ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ริเริ่มพระราชทานทุนให้นักเรียนไปเรียนต่อต่างประเทศ ด้วยการจัดสอบแข่งขันอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2440 และได้พระราชทานทุนเล่าเรียนหลวงสืบเนื่องกันมาจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจึงยุติไปใน พ.ศ. 2476

ครั้นมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ มีพระราชปรารภฟื้นฟูการให้ “ทุนเล่าเรียนหลวง” ขึ้นใหม่ โดยการประกาศใช้ “ระเบียบ ก.พ. ว่าด้วยทุนเล่าเรียนหลวง พ.ศ. 2508” ทุนเล่าเรียนหลวงเป็นทุนพระราชทานแก่นักเรียนที่สอบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการได้คะแนนดีเยี่ยมปีละ 9 ทุน คือ แผนกศิลปะ 3 ทุน แผนกวิทยาศาสตร์ 3 ทุน และแผนกทั่วไป 3 ทุน ให้ไปศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในต่างประเทศ และไม่มีข้อผูกมัดที่จะต้องกลับมารับราชการ

นับตั้งแต่ พ.ศ. 2508 จนถึง พ.ศ. 2539 มีผู้ได้รับพระราชทานทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาวิชาการระดับอุดมศึกษาในต่างประเทศ 50 ทุน ดังนี้ คือ ศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 43 ทุน ประเทศอังกฤษ จำนวน 6 ทุน ประเทศฝรั่งเศส จำนวน 1 ทุน

ส่วนทุนเล่าเรียนหลวงในระดับการศึกษาที่สูงกว่าปริญญาตรีนั้น ได้จัดให้มีขึ้นใน พ.ศ. 2518 เนื่องในมหามงคลสมัยพระราชพิธีรัชดาภิเษกเฉลิมฉลองครบ 25 พรรษาแห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ได้จัดกิจกรรมเพื่อสนองพระราชประสงค์เกี่ยวกับทุนเล่าเรียนหลวง

โดยจัดตั้งทุนการศึกษาระดับปริญญาโท และปริญญาเอก แก่นักศึกษาที่เป็นคนไทย และชาวต่างประเทศที่มีผลการเรียนดีเด่นเป็นพิเศษของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ในปัจจุบันพระราชทานทุนเล่าเรียนหลวงแก่นักศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียปีละ 16 ทุน ทุนละ 220,000 บาทต่อปี

4. ทุนการศึกษาสงเคราะห์ในมูลนิธิราชประชานุเคราะห์

นอกจากนี้ พระองค์ท่านได้ทรงโปรดเกล้าฯ ก่อตั้ง “มูลนิธิราชประชานุเคราะห์” โดยมีพระราชดำริให้ตั้งทุนเพื่อหาดอกผลสงเคราะห์เด็กที่ครอบครัวต้องประสบวาตภัยภาคใต้ และขาดผู้อุปการะเลี้ยงดูรวมทั้งช่วยเหลือราษฎร ผู้ซึ่งประสบสาธารณภัยทั่วประเทศด้วย หลังจากที่ได้ช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ประชาชนในเหตุการณ์เฉพาะหน้าในมหาวาตภัยเมื่อ พ.ศ. 2505 และสร้างสถานสงเคราะห์รับอุปการะเลี้ยงดูเด็ก ๆ ที่กลายเป็นเด็กอนาถาไร้ที่พึ่ง เนื่องจากบิดามารดาและญาติพี่น้องเสียชีวิตไปนั้นใน พ.ศ. 2507

จากพระราชดำริประเดิมทุน 3 ล้านบาท ก่อตั้งมูลนิธิที่พระราชทานนามว่า “มูลนิธิราชประชานุเคราะห์” ในความหมายว่า “พระราชา” และ “ประชาชน” อนุเคราะห์ซึ่งกันและกัน อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนว่า ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อยู่ใน “พระบรมราชูปถัมภ์” โดยจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2506

งานสำคัญของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ก็คือ การช่วยสร้างอาคารเรียน หรือสร้างโรงเรียนขึ้นใหม่ และขอพระราชทานนามโรงเรียน ว่า “โรงเรียนราชประชานุเคราะห์” โดยโรงเรียนแรกกำเนิดที่บ้านปลายแหลม ตำบลแหลมตะลุมพุก อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ไม่มีเลขหมาย เพราะเหตุว่าแหลมตะลุมพุกเป็นต้นเหตุให้เกิดการพระราชทานมูลนิธิ ขึ้น

ต่อมาจึงได้มีหมายเลข ปัจจุบันมีอยู่ 30 โรง นอกจากนี้ ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดทุนการศึกษาสงเคราะห์แก่เด็กและเยาวชนที่กำลังอยู่ในวัยศึกษาและประสบสาธารณภัย หรือได้รับความทุกข์ยากเดือดร้อนประการอื่นที่ทางราชการอาจเข้าไปไม่ถึงหรือขัดต่อระเบียบหลักเกณฑ์ของทางราชการ อันเป็นวัตถุประสงค์ที่คณะกรรมการบริหารมูลนิธิ น้อมเกล้าฯ นำมาแก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชกระแสแก่คณะกรรมการบริหารที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2511

5. ทุนมูลนิธิราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์ และมูลนิธิโรงเรียนราชประชาสมาสัย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระมหากรุณาธิคุณต่อราษฎรของพระองค์เท่าเทียมกันทั่วทุกคน แม้แต่ผู้ป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ในชุมชน โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อน เมื่อ พ.ศ. 2499 โรคเรื้อนกำลังระบาดอยู่ในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุข และองค์การอนามัยโลกได้ตกลงกันว่าจะพยายามขจัดให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทยในระยะเวลา 12 ปี และเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า จะกำจัดโรคเรื้อนให้หมดภายในเวลา 10 ปีได้ ถ้ามีสถาบันค้นคว้าและวิจัย ซึ่งต้องใช้เงิน 1 ล้านบาท

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างสถาบันวิจัยค้นคว้าเรื่องโรคเรื้อน ณ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ใน พ.ศ. 2501 และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีเปิดสถาบันเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2503 พระราชทานนามสถาบันนั้นว่า “ราชประชาสมาสัย”
 
รวมทั้งพระราชทานเงินทุนที่เหลือจากการก่อสร้างจำนวน 217,452 บาท ให้กระทรวงสาธารณสุขเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการของสถาบันต่อไป ต่อมากระทรวงสาธารณสุขได้ขอพระราชทานนำเงินดังกล่าวไปจดทะเบียนจัดตั้งเป็นมูลนิธิราชประชาสมาสัย และได้ขอพระราชทานพระมหากรุณาให้ทรงรับมูลนิธินี้ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์

โดยมีพระราชกระแสตอบมาเมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2504 ว่า ถ้าจะขอให้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ มูลนิธิจะต้องเพิ่มวัตถุประสงค์ขึ้นอีกข้อหนึ่งว่าจะจัดตั้งโรงเรียนสำหรับบุตรผู้ป่วยที่เลี้ยงแยกจากบิดามารดาแต่แรกเกิด ดังพระบรมราชาธิบายที่พระราชทานถึงการก่อตั้งโรงเรียน และพระราชดำรัสในพิธีทรงเปิดโรงเรียนราชประชาสมาสัย เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2507 มีความตามลำดับ ดังนี้

“…เด็กเหล่านี้มีสิทธิ์ที่จะเล่าเรียนเช่นเด็กอื่น เพราะขณะนั้นกระทรวงสาธารณสุขไม่ส่งเด็กที่ยังมิได้ป่วยให้เข้าเรียนในโรงเรียนในนิคม หรือในโรงพยาบาลโรคเรื้อน เนื่องจากเกรงว่าจะติดโรค และกระทรวงศึกษาธิการก็ยังไม่ยอมรับบุตรผู้ป่วยโรคเรื้อนเข้าเรียนในโรงเรียนกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องจากเกรงว่าจะไปแพร่เชื้อโรคเรื้อนแก่เด็กอื่น ขณะนี้กรมประชาสงเคราะห์ของกระทรวงมหาดไทยมีโรงเรียนสำหรับเด็กที่ไม่มีผู้อุปการะแล้ว แต่ก็ไม่สามารถรับเด็กเหล่านี้ได้เพราะเป็นเด็กผู้มีบิดามารดา…”

“…การดำริสร้างสถานศึกษานี้ขึ้น ก็เพื่อจะได้ช่วยเหลือเด็กผู้พลอยประสบเคราะห์กรรมให้มีสถานที่เล่าเรียน ซึ่งโดยธรรมชาติควรมีสิทธิ์ที่จะกระทำสิ่งใดได้เช่นผู้อื่น การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่โชคชะตาบันดาลให้ต้องเกิดมาในภาวะเช่นนี้ย่อมเป็นกุศลและเป็นการช่วยเหลือประเทศชาติ เพราะเด็กเช่นว่านี้เมื่อได้รับการศึกษา อบรมด้วยดีเติบโตขึ้นก็จะเป็นพลเมืองที่ดีเป็นประโยชน์แก่ตนเองและชาติบ้านเมืองในอนาคต…”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์แก่มูลนิธิราชประชาสมาสัย จัดสร้างโรงเรียนประจำรับเด็กเหล่านั้นมาเลี้ยงดูอบรม และโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผู้หญิงดุษฎีมาลา มาลากุล ณ อยุธยา รองประธานกรรมการบริหารมูลนิธิราชประชาสมาสัยในขณะนั้น เป็นผู้อำนวยการจัดสร้างโรงเรียนสำหรับบุตรผู้ป่วยโรคเรื้อน และให้การบริหารโรงเรียนขึ้นต่อมูลนิธิราชประชาสมาสัย ซึ่งต่อมาได้ขอพระบรมราชานุญาต แยกจากมูลนิธิเดิมมาจดทะเบียนเป็นมูลนิธิโรงเรียนราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์

พระราชกรณียกิจดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น แสดงให้เห็นถึงพระเมตตาบารมีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่พสกนิกรของพระองค์ที่แผ่ไพศาลไปทั่ว โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อนที่มีอยู่ในชุมชน ตลอดจนบุตรผู้ป่วยที่ยังไม่รับเชื้อโรคเรื้อน

6. ทุนนวฤกษ์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาริเริ่มก่อตั้ง “ทุนนวฤกษ์” ในมูลนิธิช่วยนักเรียนขาดแคลนในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อช่วยให้นักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์แต่มีผลการเรียนดี ความประพฤติดี ได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษาต่อในระดับต่าง ๆ ทั้งระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา ฝึกหัดครู และอุดมศึกษา

ด้วยทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เป็นทุนริเริ่ม 51,000 บาท และจากผู้บริจาคทรัพย์โดยเสด็จพระราชกุศลสมทบทุนก่อสร้างโรงเรียนตามวัดในชนบท ทั้งระดับ ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา เพื่อสงเคราะห์เด็กยากจน และกำพร้าให้มีสถานที่สำคัญสำหรับศึกษาเล่าเรียน โดยอาราธนาพระภิกษุเป็นครูสอนวิชาสามัญศึกษาที่ไม่ขัดต่อพระวินัยและอบรมศีลธรรม เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับการศึกษาแก่เด็กที่จะได้เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติในอนาคตต่อไป

อีกทั้งยังโปรดเกล้าฯ พระราชทานความช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่บุตรในครอบครัวที่เดือดร้อนมากหรือขาดผู้อุปการะ เช่น กำพร้าบิดามารดา โดยทรงรับเด็กเหล่านั้นไว้เป็นนักเรียนในพระบรมราชานุเคราะห์ ซึ่งแต่ละปีนักเรียนดังกล่าวมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

7. ทุนการศึกษาพระราชทานแก่นักเรียนเฉพาะกรณี

7.1 ทุนพระราชทานแก่นักเรียนชาวเขา

เป็นทุนที่ทางกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการขอพระราชทานจัดให้แก่นักเรียนชาวเขาได้ศึกษาต่อตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาตอนปลาย เมื่อ พ.ศ. 2514 เป็นต้นมา เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีระหว่างชาวเขาและชาวไทย และส่งเสริมให้ชาวเขาส่งบุตรหลานมาศึกษาในโรงเรียนมากขึ้น ทำให้มีโอกาสใช้ภาษาไทยได้ดียิ่งขึ้น และกลับไปช่วยพัฒนาท้องถิ่นของตน โดยจะมีคณะกรรมการพิจารณาจากความตั้งใจ ความสนใจและความประพฤติของนักเรียน

สำหรับจำนวนเงินทุนพระราชทานนี้มีอัตราไม่เท่ากัน แตกต่างกันไปตามระดับชั้นของนักเรียนผู้ได้รับทุนพระราชทาน เช่น นักเรียนทุนพระราชทานระดับประถมศึกษาตอนปลาย และมัธยมศึกษาตอนต้น ทุนละ 1,000 บาทต่อปี นักศึกษาทุนพระราชทานระดับวิทยาลัยครูและวิทยาลัยเกษตรกรรมทุนละ 4,000 บาทต่อปี ต่อมาได้เพิ่มเป็นทุนละ 1,200 บาท และ 4,500 บาท ตามลำดับ นักศึกษาแพทย์ทุนพระราชทานทุนละ 8,000 บาทต่อปี และส่วนใหญ่ผู้ได้รับทุนพระราชทานนี้เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะไปเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนชาวเขาหรือทำงานเกี่ยวกับชาวเขา

7.2 ทุนพระราชทานแก่นักเรียนเฉพาะสถานศึกษา

เป็นทุนการศึกษาที่พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวนหนึ่งจัดตั้งเป็นทุน และให้มีการบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลเป็นรายโรงเรียนไป เพื่อให้มีดอกผลเพิ่มขึ้น สามารถจัดสรรเป็นทุนการศึกษาพระราชทานแก่นักเรียนดีเยี่ยม นักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดทุนทรัพย์ในโรงเรียนในพระองค์ และโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ เช่น โรงเรียนจิตรลดา โรงเรียนวังไกลกังวล โรงเรียนราชวินิต โรงเรียนราชประชาสมาสัย แล้วเสด็จฯ ไปพระราชทานทุนเหล่านี้ด้วยพระองค์เอง พระราชทานทุนละ 500 บาท 700 บาท หรือ 900 บาท ตามแต่ระเบียบว่าด้วยทุนพระราชทานที่คณะกรรมการบริหารทุนโรงเรียนเหล่านั้นกำหนดไว้ และเมื่อสำเร็จการศึกษาจะได้เป็นพลเมืองดี มีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป

7.3 รางวัลพระราชทานแก่นักเรียนและโรงเรียนดีเด่น

โดยพระองค์ท่านทรงมีพระราชปรารภพระราชทานแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (หม่อมหลวง ปิ่น มาลากุล) เมื่อคราวเสด็จฯ ทรงเปิดงานศิลปหัตถกรรมนักเรียน ณ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2506 ความว่า

“…มีนักเรียนจำนวนมาก ซึ่งมีความประพฤติดีและมีความมานะพยายามศึกษาเล่าเรียนได้ผลดี รวมทั้งโรงเรียนซึ่งจัดการศึกษาดี นักเรียนและโรงเรียนที่มีคุณสมบัติดังกล่าวสมควรจะได้รับพระราชทานรางวัล”

กระทรวงศึกษาธิการได้ประชุมพิจารณาดำเนินการเรื่องนี้ โดยเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาจัดทำรางวัลพระราชทานให้แก่นักเรียนที่สอบประโยคมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.ศ.5) ได้คะแนนสูงสุดทั้ง 3 แผนก และโรงเรียนที่นักเรียนสอบประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายได้คะแนนมากที่สุด 9 โรงเรียนแรกได้พระราชทานโล่ชมเชยเป็นรางวัล
ขณะเดียวกัน พระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มหลักเกณฑ์รางวัลพระราชทานสำหรับระดับประถมศึกษา เพิ่มรางวัลชมเชยเป็น 12 รางวัล พระราชทานแก่นักเรียนในภาคศึกษาทั้ง 12 ภาค ภาคละ 1 คน รางวัลสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา เพิ่มโล่รางวัลสำหรับพระราชทานแก่โรงเรียนที่ได้รับพระราชทานติดต่อกันถึง 3 ปี การพระราชทานรางวัลนี้ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2508 จนถึงปัจจุบัน โดยได้ปรับปรุงแก้ไขให้มีรางวัลพระราชทานให้เป็นไปตามประกาศและการประเมินของกระทรวงศึกษาธิการที่พิจารณาตัดสินให้รับพระราชทานรางวัลด้วย

8. ทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย

นอกจากนี้ พระองค์ท่านยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย แบ่งเป็น 10 ประเภท อาทิ ทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) และมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย (มมร.) ทุนการศึกษาระดับเปรียญธรรม 6, 7, 8 และ 9 กำกับดูแลโดยกองบาลีสนามหลวง ทุนหน่วยปฏิบัติการพระธรรมทูตดีเด่น กำกับดูแลโดยกองงานพระธรรมทูต ทุนสำนักเรียนและสำนักศาสนศึกษาดีเด่น ส่งเสริมสำนักเรียนและสำนักศาสนศึกษาในแต่ละเขตปกครองคณะสงฆ์ที่มีผลงานดีเด่น กำกับดูแลโดยกองบาลีสนามหลวง

โดยพระองค์ท่านได้พระราชทานทุนปฐมฤกษ์ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2547 จำนวน 13 ล้านบาท และต่อมามีการบริจาคเพิ่มเติมเข้ามาจากผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาจำนวนหนึ่ง ปัจจุบันนี้การตั้งโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ในปี 2559 นี้ นับเป็นปีที่ 13 ที่ถวายแก่พระภิกษุสามเณรที่ได้รับคัดเลือกจากกองบาลีสนามหลวง 163 ทุน, พระธรรมทูต 9 ทุน, โรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญดีเด่น 9 ทุน, ศูนย์เผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ 16 ทุน, มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 222 ทุน, มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย 36 ทุน รวมทุนที่จัดถวายแก่พระภิกษุสามเณรทั้งสิ้น 456 ทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 9,875,000 บาท

9. ทุนเศรษฐกิจพอเพียง

เป็นพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง “พัฒนาเยาวชนให้เป็นคนดี และคนเก่ง สู่เส้นทางความสำเร็จ ตามแนวทาง หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนนักเรียน โรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้มีโอกาสศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี โดยผู้ที่ได้รับทุนนอกจากจะได้ศึกษาวิชาการในมหาวิทยาลัยแล้ว ยังได้รับโอกาสในการร่วมกิจกรรม การศึกษาถึงคุณค่าของโครงการตามพระราชดำริต่าง ๆ รวมทั้งหลักการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

โครงการทุนเศรษฐกิจพอเพียงก่อตั้งโดยมูลนิธิสำนักงานทรัพย์สินฯ ประเดิมทุน ต่อมาภาคเอกชนผู้มีจิตศรัทธาหลายแห่งร่วมบริจาคสมทบทุน มาจนถึงปัจจุบันมีนักเรียนทุนในโครงการนี้จำนวน 6 รุ่น 152 คน ในหลากสาขาวิชาชีพ ส่วนใหญ่เป็นครู และมีแพทย์ 1 คน โดยผู้ที่ได้รับทุน ประกอบไปด้วย ค่าเล่าเรียนตลอดหลักสูตร ค่าครองชีพเดือนละ 8,000 บาท ค่าอุปกรณ์การเรียนปีละ 10,000 บาท

โดย 9 ทุนที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานมานั้นทำให้นักเรียนทุนเหล่านี้ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ซึ่งหลายๆ คนก็กลับมาทำงานรับใช้บ้านเมืองเพื่อสร้างความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนตามพระราชปณิธานของพระองค์ที่พระราชทานในด้านการศึกษาให้กับนักเรียนทุน

กำลังโหลดความคิดเห็น