มีโรงเรียนหลายโรงเรียนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ด้วยการพระราชทานพระราชทรัพย์ช่วยเหลือ และให้ความอุปถัมภ์ หรือทรงให้คำแนะนำ ทั้งยังได้เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนและพระราชทานพระบรมราโชวาทเพื่อสนับสนุนและเป็นกำลังใจแก่ครูและนักเรียนเป็นประจำ จึงเรียกโรงเรียนประเภทนี้ว่า โรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งมีทั้งโรงเรียนของรัฐบาลและโรงเรียนเอกชน ได้แก่
โรงเรียนจิตรลดา
โรงเรียนจิตรลดาตั้งอยู่ในบริเวณสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เป็นโรงเรียนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้นสำหรับพระราชโอรสและพระราชธิดา บุตรข้าราชบริพารในพระราชวัง ตลอดจนเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปได้ร่วมเรียนด้วย
ในตอนต้น ได้พิจารณาโปรดเกล้าฯ ให้เปิดสอนชั้นอนุบาลขึ้น ณ ห้องชั้นล่างของพระที่นั่งอุดร บริเวณพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๘ เนื่องด้วยมีพระราชประสงค์ให้ สมเด็จลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญาฯ ได้ทรงเรียนร่วมกับเด็กอื่นๆ อีก ๗ คน นับเป็นนักเรียนรุ่นแรกของโรงเรียนจิตรลดา ต่อมาเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาประทับ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอาคารเรียนชั้นเดียวในบริเวณสวนจิตรลดา และพระราชทานนามโรงเรียนว่า “โรงเรียนจิตรลดา” และได้จดทะเบียนเป็นโรงเรียนราษฎร์ เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ เปิดสอนนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลศึกษา ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔
ปีการศึกษา ๒๕๐๗ ได้ขออนุญาตกระทรวงศึกษาธิการขยายชั้นเรียนจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และในปีการศึกษา ๒๕๑๑ ได้ขยายชั้นเรียนจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมาจนถึงปัจจุบันโดยรับนักเรียนทั่วไป ตามกฎเกณฑ์ของโรงเรียนแต่ละปีการศึกษาเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนทั่วไปได้เข้ามาเรียนโดยมิได้เลือกชั้นวรรณะ ตามพระบรมราโชวาท “ให้โรงเรียนรับนักเรียนทั่วไปโดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์”
นักเรียนที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้ามาเรียนในโรงเรียนจิตรลดา ไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน เพราะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นค่าใช้จ่ายของโรงเรียน นอกจากนี้ยังได้พระราชทานอาหารว่างและอาหารกลางวันแก่คณะครูและนักเรียนด้วย
โรงเรียนราชวินิต
โรงเรียนราชวินิตจัดตั้งตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยทรงให้สำนักพระราชวังจัดตั้งโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ ประเภทโรงเรียนสหราษฎร์ระดับประถมศึกษา รับบุตรหลานของข้าราชการในราชสำนักโดยไม่เก็บค่าเล่าเรียน เปิดสอนชั้นเด็กเล็กถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๗ ขอครูจากกระทรวงศึกษาธิการมาช่วย ใช้งบประมาณจากเงินสวัสดิการของกองมหาดเล็ก สำนักพระราชวัง จำนวน
๑๐๐,๐๐๐ บาท สร้างอาคารเรียนในที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์บริเวณสวนเพาะชำ วังสวนกุหลาบ โดยมีคุณหญิงพวงรัตน์ วิเวกานนท์ เป็นผู้บริหารคนแรก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินในพิธีเปิดป้ายโรงเรียน เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๑ และ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อใช้ดอกผลเป็นทุนพระราชทานแก่นักเรียนที่เรียนดี มีความประพฤติเรียบร้อย
โรงเรียนวังไกลกังวล
โรงเรียนไกลกังวล ตั้งอยู่ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นโรงเรียนที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรอานันทมหิดลมีพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งขึ้น เมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๑ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การศึกษาแก่บุตรหลานของเจ้าหน้าที่ผู้รักษาวังไกลกังวล ซึ่งมีอยู่จำนวนมากแต่ไม่มีสถานที่เล่าเรียน มีฐานะเป็นโรงเรียนราษฎร์ที่ได้ทรงอุปการะค่าใช้จ่ายจากเงินพระราชกุศลเป็นรายปี
โรงเรียนวังไกลกังวล เปิดสอนนักเรียนตั้งแต่ชั้นเด็กเล็กขึ้นไปจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ และเปิดสอนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้นเพิ่มเติมด้วย โรงเรียนวังไกลกังวลอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน และได้มีการพัฒนาปรับปรุงมาเป็นลำดับ
โรงเรียนราชประชาสมาสัย
โรงเรียนราชประชาสมาสัย ฝ่ายมัธยม รัชดาภิเษก ในพระบรมราชูปถัมภ์ สังกัดกองการมัธยมศึกษา กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่เลขที่ ๕๑ หมู่ที่ ๑ ถนนสุขสวัสดิ์ ตำบลบางจาก อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
โรงเรียนนี้ถือกำเนิดจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิราชประชาสมาสัย ในพระบรมราชูปถัมภ์จัดสร้างโรงเรียนสำหรับบุตรผู้ป่วยโรคเรื้อนที่เลี้ยงแยกจากบิดามารดาแต่แรกเกิด เพราะเด็กเหล่านี้ไม่ได้รับเชื้อโรคเรื้อน แต่มีพระราชบัญญัติควบคุมโรคติดต่อ บังคับมิให้เข้าโรงเรียนใดรับเข้าเป็นนักเรียน ซึ่งพระองค์ทรงเห็นว่าเพื่อความเป็นธรรม เด็กเหล่านี้ควรมีสิทธิเสรีภาพเช่นเดียวกับเด็กอื่นๆ และได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้สร้างอาคารในวงเงิน ๕ แสนบาท บนที่ดินราชพัสดุจำนวน ๓๒ ไร่ อีก ๕ แสนบาทให้ใช้สำหรับเลี้ยงโรงเรียนต่อไป
จดทะเบียนเป็นโรงเรียนราษฎร์ ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ พระราชทานชื่อ “โรงเรียนราชประชาสมาสัย” โดยมูลนิธิราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นเจ้าของ และ ท่านผู้หญิงดุษฎีมาลา มาลากุล ณ อยุธยา รองประธานกรรมการบริหารมูลนิธิเป็นผู้จัดการ เปิดรับนักเรียนรุ่นแรก ๔๐ คน มีครู ๓ คน ทรงรับนักเรียนเหล่านี้ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์อยู่ประจำที่โรงเรียน ต่อมาในวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้พระราชทานเงินส่วนพระองค์อีก ๑ ล้านบาท เพื่อสร้างอาคารหลังที่ ๒ และมีพระราชทานดำรัสสั่งให้รับเด็กทั่วไปเข้าเรียนได้ตามความสมัครใจ ดังนั้น ในปีการศึกษา ๒๕๐๘ โรงเรียนจึงได้รับนักเรียนไป-กลับในท้องถิ่นเข้ามาเรียนด้วยตามพระกระแสดำรัสสั่ง
โรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
โรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เดิมคือ โรงเรียนราชวิทยาลัย ตั้งขึ้นตามพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๐ ณ ตำบลบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ธนบุรี เป็นโรงเรียนรับนักเรียนประจำกินนอนมีวัตถุประสงค์จะฝึกอบรมนักเรียนให้มีความรู้เตรียมตัวไปศึกษาต่อมหาวิทยาลัยในยุโรป ต่อมาในปลายรัชกาลที่ ๕ ได้โอนมาสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีจุดมุ่งหมายที่ให้นักเรียนที่สำเร็จชั้นมัธยมศึกษาได้ศึกษาวิชากฎหมายต่อในชั้นอุดมศึกษา พร้อมทั้งได้มีพระบรมราชโองการให้โรงเรียนนี้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้ย้ายมาเปิดสอนที่อาคารใหม่ ตำบลบางขวาง จังหวัดนนทบุรี
ในรัชกาลที่ ๖ ได้มีประกาศให้โรงเรียนราชวิทยาลัยขึ้นต่อสภากรรมการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ ต่อมารัชกาลที่ ๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนราชวิทยาลัยรวมกับโรงเรียนมหาดเล็กหลวงเป็นโรงเรียนเดียวกันอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ พระราชทานนามว่า “โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย”
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ คณะครูและศิษย์เก่าได้ร่วมกันจัดตั้งและดำเนินกิจการโรงเรียนราชวิทยาลัยขึ้นใหม่ โดยได้รับความช่วยเหลือจากกระทรวงศึกษาธิการ ใช้สถานที่ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาสามพรานเดิม พร้อมทั้งได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานนามอักษรย่อพระปรมาภิไธย “ภ.ป.ร.” นำหน้าชื่อโรงเรียน จึงได้รับพระราชทานนามโรงเรียนว่า “โรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์” และทรงพระกรุณารับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นต้นมา ตลอดจนเสด็จพระราชดำเนินประกอบพิธีเปิดป้ายโรงเรียน เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๘
โรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์
โรงเรียนกำเนิดขึ้นจากพระเมตตาต่อเยาวชนที่อยู่ในท้องถิ่นห่างไกลบนภูเขา โดยพระราชทานพระราชทรัพย์ร่วมสร้างโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อสอนหนังสือให้แก่ชาวเขาและประชาชนไกลคมนาคม พระราชทานนามว่า “โรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์” เป็นอาคารเรียนถาวรสำหรับเด็กนักเรียนชาวเขา ในระดับก่อนประถมและประถมศึกษา ตั้งอยู่บริเวณชายแดนภาคเหนือ ซึ่งราษฎรส่วนใหญ่เป็นชาวเขา ทำให้เยาวชนชาวไทยภูเขาเหล่านี้ได้มีโอกาสเรียนรู้หนังสือไทย ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมไทย เป็นการสร้างสำนึกของความเป็นคนไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อความมั่นคงของชาติ
โรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนมีจำนวนทั้งสิ้น ๑๐ โรง ต่อมาเมื่อท้องถิ่นนั้นมีความเจริญขึ้น หน่วยราชการที่รับผิดชอบโดยตรงสามารถเข้าไปดำเนินการได้ ก็จะโอนให้กับส่วนราชการนั้นๆ รับไปดำเนินการต่อ ปัจจุบันโรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์ที่อยู่ในความดูแลของตำรวจตระเวนชายแดน มีจำนวน ๓ โรง เช่น โรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์ ๒ จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากจะดำเนินการจัดการเรียนการสอนในระดับก่อนประถมและประถมศึกษาแล้ว ยังมีโครงการตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโรงเรียนเหล่านี้ ได้แก่ โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน โครงการส่งเสริมคุณภาพทางการศึกษา โครงการฝึกอาชีพนักเรียน โครงการควบคุมโรคขาดสารไอโอดีน โครงการนักเรียนทุนในพระราชานุเคราะห์ โครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและโครงการสหกรณ์ในโรงเรียน ตชด.
โรงเรียนร่มเกล้า
โรงเรียนร่มเกล้าแห่งแรก คือ โรงเรียนร่มเกล้า บ้านหนองแคน ตำบลหนองแคน อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เดิมชื่อโรงเรียนบ้านหนองแคน เปิดทำการสอนครั้งแรกในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ เพียงชั้นเดียวมาตั้งแต่วันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๖ โดยใช้ศาลาวัดบ้านหนองแคนเป็นสถานที่เรียน ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ คณะครูและผู้ปกครองได้ร่วมมือกันก่อสร้างอาคารเรียนชั่วคราว ๑ หลัง ในที่ดินซึ่งประชาชนได้บริจาคให้จำนวน ๑๐ ไร่ เป็นกระต๊อบยาว มุงด้วยหญ้าแฝก พื้นห้องเป็นดิน และด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอู่หัว ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จำนวน ๙๒,๐๖๓ บาท ให้ก่อสร้างอาคารเรียนถาวรหลังแรก ขนาด ๕ ห้องเรียน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จพระราชดำเนินเปิดอาคารเรียน เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ และได้พระราชทานนามโรงเรียนว่า “โรงเรียนร่มเกล้า” เปิดทำการสอนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑-๔
ในสมัยนั้น บ้านหนองแคนเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม เป็นที่ชุมชนของผู้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกับรัฐบาล ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่บนเทือกเขาภูพาน โรงเรียนบางโรงเรียนต้องปิดไป เพราะเยาวชนส่วนใหญ่ถูกชักจูงไปเข้าป่า พันเอกอาทิตย์ กำลังเอก ผู้บังคับการกรมผสมที่ ๒๓ ปฏิบัติการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในย่านนั้น ได้กราบบังคมทูลสร้างโรงเรียนที่บ้านหนองแคน เพื่อให้การศึกษาป้องกันมิให้เยาวชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวกระโซ่และภูไท ต้องถูกชักจูงเข้าป่า
การก่อสร้างโรงเรียนร่มเกล้าเป็นไปอย่างยากลำบาก ได้รับการขัดขวางจาก ผกค. ทำลายเส้นทางการลำเลียงสิ่งของและเครื่องมือที่ใช้ในการก่อสร้าง และมีการลอบยิงผู้ที่เข้าไปสร้างโรงเรียน แต่ชาวบ้านได้หันกลับเข้ามาให้ความร่วมมือ เมื่อทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการก่อสร้างโรงเรียน และในทันทีที่โรงเรียนสร้างเสร็จเพียง ๒ วัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ ไปเปิดโรงเรียนท่ามกลางความวิตกของผู้ที่มาเฝ้ารับเสด็จ ซึ่งในพื้นที่นั้น เป็นเวลานับสิบปีแล้วที่ยังไม่เคยมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปนอกจากทหาร และก่อนหน้านั้นเพียง ๒ วันก็ยังมีการยิงกันอยู่ แต่ความสงบร่มเย็นก็เกิดขึ้นในวันที่พระองค์ท่านเสด็จฯ
โรงเรียนสงเคราะห์เด็กยากจน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาสงเคราะห์เด็กยากจนขาดที่พึ่งและเด็กในถิ่นกันดาร ให้ได้รับการศึกษาตามควรแก่อัตภาพจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งคณะกรรมการดำเนินการ มีสมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณณสิริ) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ครั้งยังดำรงสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระวันรัตเป็นประธาน เพื่อดำเนินการจัดตั้งโรงเรียนขึ้นในวัด เป็นประเภทโรงเรียนราษฎร์
สมเด็จพระวันรัตเป็นเจ้าของในนามคณะกรรมการ และมีพรราชประสงค์ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้จัดการในโรงเรียนของแต่ละจังหวัด ขอความร่วมมือจากคณะสงฆ์ช่วยอุปถัมภ์ อาราธนาพระภิกษุผู้ทรงคุณวุฒิมาช่วยสอน สำหรับทุนทรัพย์ในการจัดตั้งและดำเนินกิจการ เป็นทุนทรัพย์พระราชทานส่วนหนึ่ง และทุนที่ได้รับบริจาคโดยเสด็จ
พระราชกุศลโดยทางราชการ องค์รัฐวิสาหกิจ และพ่อค้าประชาชน อีกส่วนหนึ่ง ปัจจุบันมี ๓ โรงเรียน
โรงเรียนแรกคือ โรงเรียนมัธยมวัดศรีจันทร์ประดิษฐ์ จัดตั้งขึ้นโดยสืบเนื่องจากวันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอสองพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคโดยเรือพระที่นั่งชื่อ “เศษกระดาน” ตามแม่น้ำเจ้าพระยามาถึงหมู่บ้านคลองคอต่อ ตำบลบางปูใหม่ จังหวัดสมุทรปราการ ทอดพระเนตรเห็นเรือประมงแล่นเข้าคลอง จึงเสด็จฯ ตามจนสุดคลองพบถนนสุขุมวิท สองฟากคลองมีหมู่บ้านชาวประมงตั้งอยู่ ชาวบ้านส่วนใหญ่มีฐานะยากจนจนพากันเข้ามาเฝ้าฯ และทูลเกล้าฯ ถวายสิ่งของที่พอจะหาได้ เช่น กุ้ง หอยปู ปลา
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถมีพระราชเสาวนีย์ถามถึงความเป็นอยู่และการศึกษาของเด็ก ชาวบ้านกราบบังคมทูลขอพระราชทานให้สร้างโรงเรียนมัธยมขึ้น เพื่อสงเคราะห์เด็กขัดสนในหมู่บ้านให้มีที่เรียนต่อจากชั้นประถมศึกษา
หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะกรรมการจัดสร้างโรงเรียนสงเคราะห์เด็กยากจน มีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณณสิริมหาเถระ) แต่ยังดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จวันรัต เป็นประธานกรรมการ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนสร้างโรงเรียนเริ่มแรก ๔๐๐,๐๐๐ บาท และมีผู้บริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลอีกส่วนหนึ่ง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินวางศิลาฤกษ์อาคารเรียน เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๒ อาคารเป็น
ทรงไทย ๒ ชั้น มี ๘ ห้องเรียน ชื่อตึก ภ.ป.ร. ราคา ๑,๓๐๐,๐๐๐ บาท เปิดสอนเมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๓ ตั้งแต่ชั้น ม.๑ - ม. ๓ เก็บค่าบำรุงการศึกษาปีละ ๑,๐๒๐ บาท ผู้ใดขัดสนก็ยื่นเรื่องราวขอทุนโดยเสนอตามความเป็นจริง และมีคณะกรรมการรับรอง
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดให้คณะกรรมการรับโรงเรียนนันทบุรีวิทยา อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน และโรงเรียนวัดบึงเหล็ก อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เข้าอยู่ในโครงการโรงเรียนสงเคราะห์เด็กยากจนนี้ด้วย
สำหรับโรงเรียนนันทบุรีวิทยา ยกเว้นไม่เก็บค่าล่าเรียนถึงร้อยละ ๘๐ ของนักเรียนทั้งหมด แจกชุดนักเรียนให้นักเรียนที่ยากจนและจัดหนังสือให้ยืมเรียน รวมทั้งมอบทุนการศึกษาให้นักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ ซึ่งสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ถึง ๑๖ คน ส่วนโรงเรียนวัดบึงเหล็ก จัดการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายให้เปล่าทั้งหมด
โรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือตามความจำเป็นเร่งด่วน
ในคราวที่คณะกรรมการ และคณะกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ประจำจังหวัดต่างๆ พร้อมด้วยคณะบุคคลต่างๆ เข้าเฝ้าฯ ทูลเก้าฯ ถวายเงินกับน้อมเกล้าฯ ถวายรถยนต์โดยเสด็จพระราชกุศลสมทบทุนมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ณ ศาลาดุสิตดาลัย วันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่า
“... ผู้ที่ประสบภัยโดยเฉพาะพวกเด็กๆ ได้สูญเสียทั้งโรงเรียนทั้งผู้อุปการะ ฉะนั้นได้ตั้งนโยบายที่จะช่วยเหลือเด็กที่เป็นกำพร้าจากภัยธรรมชาติเรานั้น เลยตั้งโรงเรียนและได้อุปการะเด็กให้มีที่เรียน และมีผู้ปกครองก็คือมูลนิธิ ให้สามารถที่จะเรียนตั้งแต่ชั้นเล็กๆ จนกระทั่งจบโรงเรียนชั้นมัธยม มีบางรายก็ได้สนับสนุนจนกระทั่งถึงขั้นอุดมศึกษาและเลยไปก็ได้...”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์พระบรมราชูปถัมภ์ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอาคารเรียนของโรงเรียนซึ่งได้รับความเสียหาย เนื่องจากอุทกภัยและวาตภัย และพระราชทานนามโรงเรียนเหล่านี้ว่าโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ เรียงตามลำดับตามการก่อสร้างก่อนหลัง
โรงเรียนราชประชานุเคราะห์รุ่นแรก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินจากมูลนิธิราชประชานุเคราะห์สร้างและบูรณะซ่อมแซม คือโรงเรียนที่ได้รับความกระทบกระเทือนจากวาตภัยครั้งใหญ่ที่ภาคใต้ในปีพ.ศ. ๒๕๐๖ จำนวน ๑๒ โรงเรียนกระจายอยู่ใน ๖ จังหวัด
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๑๓ เกิดน้ำป่าไหลท่วมบ้านเรือนราษฎรตำบลท่าแฝก อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรและทอดพระเนตรโรงเรียนบ้านงอมศักดิ์ ทรงเห็นว่ามีสภาพสุดโทรมมากจึงได้พระราชทานเงิน ๑๕,๐๐๐ บาทให้ผู้ใหญ่ซ่อมอาคารเรียน แต่ราษฎรได้พร้อมใจกันโดยเสด็จพระราชกุศลช่วยสร้างโรงเรียนหลังใหม่ โดยย้ายไปอยู่บนเนินในหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังได้พระราชทานเงินปีละ ๒๐,๐๐๐ บาท
ให้แก่ทางโรงเรียนเพื่อโครงการอาหารกลางวัน ตามแผนพัฒนาโรงเรียนราชประชานุเคราะห์อีกส่วนหนึ่งด้วย โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๑๓
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินจากมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ร่วมกับจังหวัดประสบภัย จัดสร้างโรงเรียนประชาบาลที่ถูกพายุพัดพัง และอุทกภัยเพิ่มขึ้นอีก ๓ จังหวัด รวม ๕ โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๑๔ จังหวัดหนองคาย และราชประชานุเคราะห์ ๑๕ จังหวัดเชียงราย ซึ่งได้รับความเสียหาย เนื่องจากประสบภัยในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ราชประชานุเคราะห์ ๑๖, ๑๗, ๑๘ จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งได้รับความเสียหายจากวาตภัยในปี พ.ศ. ๒๕๑๔
สำหรับโรงเรียนบ้านปลายแหลม ตำบลตะลุมพุก อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราชนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินจากมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ จัดสร้างอาคารเรียนเพิ่มเติมใน พ.ศ. ๒๕๒๙ และพระราชทานชื่อโรงเรียนนี้ใหม่ว่า "โรงเรียนราชประชานุเคราะห์" ไม่มีหมายเลขกำกับ เนื่องจากถือว่าเป็นสถานที่ต้นเหตุพระราชทานกำเนิดมูลนิธิราชประชานุเคราะห์
การรับเด็กที่เรียนในโรงเรียนราชประชานุเคราะห์แต่ละแห่ง มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๑๙ จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดตั้งใน พ.ศ. ๒๕๓๒ และโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๐ จังหวัดชุมพร จัดตั้งในพ.ศ. ๒๕๓๓ เป็นโรงเรียนที่กรมสามัญศึกษา ร่วมกับมูลนิธิราชประชานุเคราะห์จัดตั้งขึ้นเพื่อให้โอกาสทางการศึกษาแก่บุตรของผู้ประสบอุทกภัย วาตภัยและขาดโอกาสทางการศึกษาในจังหวัดภาคใต้
โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๑, ๒๒ ตั้งขึ้นที่อำเภอแม่ลาน้อยและอำเภอแม่ปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอนเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นโรงเรียนที่กรมสามัญศึกษา มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ และกองทัพภาคที่ ๓ ร่วมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อรับเด็กชาวไทยภูเขาที่อยู่ตามแนวชายแดน
โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๓ จังหวัดพิษณุโลก และโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวัดพะเยา จัดตั้งขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นโรงเรียนที่กรมสามัญศึกษาจัดตั้งขึ้นโดยมติคณะรัฐมนตรีเพื่อเด็กยากจน เด็กที่มาจากครอบครัวประสบปัญหาทางสังคม ครอบครัวแตกแยก ครอบครัวที่พ่อแม่ติดยาเสพติด เด็กที่มาจากครอบครัวประกอบอาชีพที่ไม่พึงประสงค์ การคัดเลือกเด็กเข้าเรียนกระทำ ด้วยความรอบคอบ กลั่นกรองด้วยครู ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นผู้ทราบสภาพแท้จริงของครอบครัวเด็กเป็นอย่างดีนอกจากนี้ใน พ.ศ. ๒๕๓๙ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๓ ได้รับนักเรียนในโครงการ "เสมาพัฒนาชีวิต" ตามนโยบายกรมสามัญศึกษา จากจังหวัดพะเยา จำนวน ๑๑๒ คน ซึ่งโรงเรียนให้การดูแลอย่างใกล้ชิด และจัดทำกิจกรรมต่างๆ ให้นักเรียนได้เพิ่มพูนความรู้ และมีคุณภาพต่อไป
โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๕, ๒๖, ๒๗, ๒๘, ๒๙ ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดแพร่ ลำพูน หนองคาย ยโสธร และศรีสะเกษ ตามลำดับ เป็นโรงเรียนที่กรมสามัญศึกษาจัดตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามิ่งมงคลวโรกาสที่เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติครบ ๕๐ ปี บางส่วนเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้าชาวอีสานที่พ่อแม่ไปรับจ้างทำงานในจังหวัดภาคใต้ และเสียชีวิตลงเนื่องจากพายุเกย์ที่จังหวัดชุมพรและบางส่วนเป็นเด็กยากจนในพื้นที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิราชประชานุเคราะห์สนับสนุนกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการตั้ง
งบประมาณก่อสร้างโดยขอให้ทางกองทัพภาคที่ ๓ ได้เป็นผู้ดำเนินการ่อสร้างโรงเรียน ราชประชานุเคราะห์ ๒๕ และ ๒๖ และกองทัพภาคที่ ๒ ดำเนินการก่อสร้างโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๗, ๒๘ และ ๒๙ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ทั้ง ๕ แห่งนี้ ได้จัดตั้งขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๓๗ โดยเริ่มรับนักเรียนมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๘
เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นที่มีพระราชดำริโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนในพื้นที่ต่างๆ ที่ห่างไกลและทุรกันดาร พื้นที่เสี่ยงอันตราย พื้นที่ประสบภัยธรรมชาติและในพื้นที่หลายๆ แหล่ง เพื่อให้โอกาสแก่เยาวชนที่ขาดโอกาสทางการศึกษา ได้พัฒนาให้มีชีวิตที่ดีขึ้น พระมหากรุณาธิคุณนี้เป็นที่ประจักษ์ และเป็นแรงกระตุ้นก่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจจากฝ่ายต่างๆ ทั้งรัฐและประชาชน ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยมีพระราชดำริเป็นหลักชัยสำคัญ
__________________________________________________________
ข้อมูล : หนังสือ “ทศพิธราชธรรมแห่งรัชกาลที่ ๙ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช” เรียบเรียงโดย “โรม บุนนาค” / สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์