xs
xsm
sm
md
lg

“ประยุทธ์” ขอบคุณเกษตรกรสู้ชีวิตด้วยความเสียสละ ยันไม่นิ่งนอนใจราคาข้าวตกต่ำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ประยุทธ์” ยันไม่นิ่งนอนใจปัญหาราคาข้าวตกต่ำ เร่งกำหนดมาตรการช่วยด่วน คาดไม่เกินสัปดาห์หน้าได้ข้อยุติ ขอบคุณเกษตรกรต่อสู้ชีวิตด้วยความเสียสละ ลั่นรับรู้ความทุกข์เสมอ จะร่วมทุกข์ไปด้วยกัน



วันนี้ (28 ต.ค.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่า ในนามของนายกรัฐมนตรี และปวงชนชาวไทยทุกคน พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติและซาบซึ้งเป็นอย่างสูง ที่ประมุขและผู้นำประเทศ รวมทั้งองค์การสหประชาชาติ ได้ร่วมแสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ด้วยการลงนามถวายความอาลัย การยืนสงบนิ่งไว้อาลัย และการลดธงครึ่งเสา การแสดงออกดังกล่าว นอกจากการแสดงออกดังกล่าว นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจและเห็นใจ ความรู้สึกของประชาชนชาวไทย ต่อการจากไปของพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นที่เคารพรักยิ่งของพสกนิกรไทย ซึ่งเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงการยกย่องในพระราชกรณียกิจ ที่ทรงทุ่มเท เพื่อประเทศชาติและประชาชน มาเป็นระยะเวลา 70 ปี ซึ่งยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในประวัติศาสตร์โลก รวมทั้งการยอมรับในหลักการทรงงานและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีคุณูปการอย่างยิ่ง ต่อมวลมนุษยชาติ ขอขอบคุณและขอชื่นชมพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ร่วมกันรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้และแสดงออกถึงความจงรักภักดีที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการร่วมใจกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ณ ท้องสนามหลวง และการทำดีเพื่อพ่อ ด้วยการทำหน้าที่จิตอาสาด้วย

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่ออีกว่า แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตแล้วแต่ศาสตร์พระราชายังคงอยู่คู่แผ่นดินไทย รวมทั้งแนวคิดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ได้พระราชทานไว้กว่า 40 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้พสกนิกรชาวไทย นำไปเป็นแนวทางการพัฒนาตนเองและครอบครัว ให้มีภูมิคุ้มกันที่มั่นคง ในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งล้วนมุ่งให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่าดำรงตนเป็นคนดี ทั้งคิดดี พูดดี ทำดี ยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม สุจริต มีวินัย และมีความสามัคคีปรองดองกัน เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง ให้มีความเจริญก้าวหน้า เป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป

นายกฯ กล่าวอีกว่า รัฐบาลได้อัญเชิญหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นปรัชญานำทางในการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมทั้ง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2560 ถึง พ.ศ. 2564 โดยมุ่งเน้นที่จะน้อมนำไปสู่การปฏิบัติ การพัฒนาอย่างยั่งยืน อย่างเป็นรูปธรรม ในทุกระดับ ด้วยการสร้างกลไกการขับเคลื่อน ซึ่งบูรณาการหลายหน่วยงาน

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวอีกว่า หากอนาคตข้างหน้าเศรษฐกิจดีขึ้น มีการจัดระบบการเสียภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลก็จะมีรายได้มากขึ้น ลงทุนได้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องกู้ยืมเงินจำนวนมาก ๆ อีก ประชาชนก็มีโอกาสได้รับสวัสดิการที่ดีขึ้น คุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่มก็ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะด้านการศึกษา การสาธารณสุข ค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลจะสามารถดูแลได้นั้น จะเพิ่มมากขึ้น มากกว่าในปัจจุบัน ตลอดจนรายได้ของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ตนเห็นใจทุกท่านจากใจจริง

“หากคนไทยทุกคนร่วมมือร่วมใจกัน ไม่ขัดแย้ง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ก็เชื่อได้ว่าเศรษฐกิจไทยในวันข้างหน้าจะมีการเจริญเติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง อย่างแน่นอน” นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า กรณีราคาข้าวตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวหอมมะลิ ที่มีข่าวราคาต่ำมากในภาคอีสาน ในปัจจุบัน และอาจจะมีในพื้นที่อื่น ๆ ทั้งนี้ เป็นผลจากการรับซื้อของโรงสี หรือพ่อค้าคนกลาง อาจจะเป็นเพราะข้าวมีความชื้นสูง เป็นผลกระทบจากน้ำท่วม ราคาข้าวในตลาดโลก การลดราคาแข่งขันกันของประเทศผู้ผลิตข้าว รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ กำลังกำหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ชาวนา ให้บรรเทาความเดือดร้อนให้ได้โดยเร็วที่สุด คาดว่าไม่เกินสัปดาห์หน้าจะเร่งให้มีการประชุมให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว เพื่อนำเสนอ ครม.รับทราบ และนำไปปฏิบัติได้ทันที

“ขอขอบคุณพี่น้องเกษตรกร ชาวนา ที่ได้ต่อสู้ชีวิตด้วยความอดทน เสียสละ ทั้งนี้ รัฐบาลและประชาชนรับรู้ความทุกข์ของท่านเสมอ เราจะร่วมทุกข์ไปกับท่าน” นายกฯ กล่าว

คำต่อคำ : รายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” 28 ตุลาคม 2559



สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ในนามของนายกรัฐมนตรี และปวงชนชาวไทยทุกคน พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติและซาบซึ้งเป็นอย่างสูง ที่ประมุขและผู้นำประเทศ รวมทั้งองค์การสหประชาชาติ ได้ร่วมแสดงความอาลัยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ด้วยการลงนามถวายความอาลัย การยืนสงบนิ่งไว้อาลัย และการลดธงครึ่งเสา การแสดงออกดังกล่าว นอกจากการแสดงออกดังกล่าว นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจและเห็นใจ ความรู้สึกของประชาชนชาวไทย ต่อการจากไปของพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นที่เคารพรักยิ่งของพสกนิกรไทย ซึ่งเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงการยกย่องในพระราชกรณียกิจ ที่ทรงทุ่มเท เพื่อประเทศชาติและประชาชน มาเป็นระยะเวลา 70 ปี ซึ่งยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในประวัติศาสตร์โลก รวมทั้งการยอมรับในหลักการทรงงานและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีคุณูปการอย่างยิ่ง ต่อมวลมนุษยชาติ ขอขอบคุณและขอชื่นชมพี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ร่วมกันรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้และแสดงออกถึงความจงรักภักดีที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการร่วมใจกันร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ณ ท้องสนามหลวง และการทำดีเพื่อพ่อ ด้วยการทำหน้าที่จิตอาสาด้วย

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้วแต่ศาสตร์พระราชายังคงอยู่คู่แผ่นดินไทย รวมทั้ง แนวคิดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ได้พระราชทานไว้ กว่า 40 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้พสกนิกรชาวไทย นำไปเป็นแนวทางการพัฒนาตนเองและครอบครัว ให้มีภูมิคุ้มกันที่มั่นคง ในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งล้วนมุ่งให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่าดำรงตนเป็นคนดี ทั้งคิดดี พูดดี ทำดี ยึดมั่นในคุณธรรม จริยธรรม สุจริต มีวินัย และมีความสามัคคีปรองดองกัน เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง ให้มีความเจริญก้าวหน้า เป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป ขอขอบคุณศูนย์คุณธรรม ภายใต้กำกับของกระทรวงวัฒนธรรมที่ได้จัดทำหนังสือเทิด ๙ ปกเกศ โดยรวบรวมพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท ด้านคุณธรรม 5 ประการ ได้แก่ ซื่อตรง วินัย รับผิดชอบ จิตอาสา และพอเพียง สำหรับประชาชนคนไทยได้รับรู้และน้อมนำ คติ คำสอน ของพ่อหลวง ซึ่งเป็นคุณธรรมอันประเสริฐไปปฏิบัติ นับเป็นการถวายความจงรักภักดี ด้วยการปฏิบัติบูชา เพื่อการสืบทอดให้สิ่งดีงาม ธำรงอยู่ในสังคมไทย อย่างมั่นคงสืบไป

สำหรับคุณธรรมด้านพอเพียงนั้น หมายถึง ความพอเพียงในการดำรงชีวิต แบบทางสายกลาง มีเหตุมีผล ใช้ความรู้ในการตัดสินใจอย่างรอบคอบ มีความพอประมาณ พอดี ไม่เบียดเบียนตนเอง สังคม สิ่งแวดล้อม ไม่ประมาท สร้างภูมิคุ้มกันที่ดี รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง

โดยรัฐบาลได้อัญเชิญหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นปรัชญานำทางในการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมทั้ง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2560 ถึง พ.ศ. 2564 โดยมุ่งเน้นที่จะน้อมนำไปสู่การปฏิบัติ การพัฒนาอย่างยั่งยืน อย่างเป็นรูปธรรม ในทุกระดับ ด้วยการสร้างกลไกการขับเคลื่อน ซึ่งบูรณาการหลายหน่วยงาน ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตัวย่อ กพย. มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทำงานในรูปแบบประชารัฐ เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ประกอบด้วยทุกกระทรวง ภาคเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นต้น และภาควิชาการ เช่น สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย มูลนิธิสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย อีกปัจจัยที่จะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ คือ การปฏิรูประบบการจัดทำและบริหารงบประมาณแผ่นดิน ในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ กล่าวคือ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันคิด ระดมสมอง ในการทำแผนงาน โครงการ กิจกรรม ในแผนงบประมาณ ที่มีความเชื่อมโยงกับหน่วยงานอื่น ๆ ให้ชัดเจน ให้ได้ข้อยุติ เป็นแผนงานระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ซึ่งสามารถต่อยอดไปถึงการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในระยะ 20 ปี ข้างหน้า จะต้องคำนึงถึงความเป็นอยู่ของประชาชน และสวัสดิการเป็นหลัก การดูแล ผู้ที่มีรายได้น้อย และผู้ที่อยู่ในสังคมสูงวัย ซึ่งเป็นประชากร ส่วนใหญ่ของประเทศ ทั้งวันนี้และในอนาคต จำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วน และแผนระยะสั้น 1 ปี ที่จะต้องเชื่อมโยง สอดคล้อง ต่อยอด ครอบคลุม เป็นการปฏิรูปในอีก 20 ปีข้างหน้า โดยนำเอกลักษณ์ที่แตกต่างของในแต่ละพื้นที่มาปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม ทันสมัย ให้มีการใช้เทคโนโลยีอย่างรู้เท่าทัน เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง เพิ่มมูลค่าให้สินค้า สร้างรายได้ให้กับประเทศ และวางแนวทางการพัฒนาประเทศในอนาคตไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการสร้างความเจริญก้าวหน้า อย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน พร้อมทั้งเดินหน้าประเทศไทย ตามแนวทางประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ตามหลักสากล ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงจะเป็นแนวทางการพัฒนา ที่นำไปสู่ความยั่งยืน ได้อย่างไรนั้น สิ่งสำคัญคือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ และการสร้างความเข้มแข็งจากภายในก่อน จากนั้นจึงจะประสานเชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจโลก รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก กล่าวคือ ให้เริ่มต้นจากการพึ่งพาตนเอง พึ่งพากันเอง และรวมกันเป็นกลุ่มอย่างมีพลัง จากนั้นต้องเติมองค์ความรู้ให้กับประชาชน ในการสร้างการรับรู้ เข้าใจ ถึงปัญหาที่ผ่านมา เข้าใจถึงแนวทางการพัฒนาในวันข้างหน้า และมีการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยลักษณะของ คนไทย 4.0 ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ก็คือ เมื่อไม่พอก็ต้องเติม เมื่อพอก็ต้องรู้จักหยุด เมื่อเกินก็ต้องรู้จักแบ่งปัน จึงจะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ผ่านปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สามารถสร้างความเข้มแข็งไปด้วยกัน ทุกคนมีโอกาสรับประโยชน์จากการที่เราสร้างมันขึ้นมา ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ก้าวออกไปอย่างยั่งยืน เคียงบ่าเคียงไหล่ เติบโตไปด้วยกัน

นโยบายไทยแลนด์ 4.0 จะเป็นกลไกสำคัญปฏิรูปประเทศ ที่มีเป้าหมายชัดเจน คือ การนำพาประเทศพ้น กับดัก 3 เรื่องด้วยกัน ก็คือ 1. กับดักรายได้ปานกลาง 2. กับดักความเหลื่อมล้ำ 3. กับดักความไม่สมดุล ผ่านโมเดลขับเคลื่อนสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ด้วย 3 เครื่องยนต์ใหม่ ก็คือ 1. สร้างความมั่นคง โดยการ ระเบิดจากข้างใน 2. สร้างความมั่งคั่ง โดยการเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน และสร้างความยั่งยืน โดยการพัฒนาที่รักษาสมดุล ในด้านมิติเศรษฐกิจและสังคม โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย หรือที่เรียกว่า การพัฒนาสีเขียว ยกตัวอย่างเช่น การสร้างความเข้มแข็ง ระดับฐานราก โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันอังคารที่ผ่านมา ได้อนุมัติให้ดำเนินการโครงการยกระดับหมู่บ้าน 74,000 กว่าหมู่บ้าน ทั่วประเทศตามแนวทางประชารัฐ โดยจัดสรรงบประมาณ 250,000 บาทต่อหมู่บ้าน อันเป็นการขยายผลจากโครงการเดิม ที่ผ่านมา คือ 1. โครงการตำบลละ 5 ล้านบาท 2. โครงการหมู่บ้านละ 200,000 บาท ในปีงบประมาณที่ผ่านมา ทั้งนี้ จากรายงานการสำรวจความพึงพอใจของประชาชน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า ประชาชนมากกว่าร้อยละ 90 มีความพึงพอใจในระดับสูง เนื่องจากได้รับประโยชน์โดยตรงมีส่วนร่วมในการเสนอโครงการ ดังนั้น จึงถือว่าเป็นการต่อยอดความสำเร็จดังกล่าว โดยโครงการในปีงบประมาณ 2560 นี้ ในเบื้องต้นจะมีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการ 90 วัน ภายใต้กรอบงบประมาณ 2.5 แสนบาทต่อหมู่บ้าน

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้โครงการมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชนระดับฐานราก ผมได้สั่งการเพิ่มเติมก็คือ ต้องไม่ใช่การจัดซื้อครุภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ไม่ใช่การลงทุน แต่ควรเป็นการใช้จ่ายเพื่อชุมชน ส่วนรวม เช่น ลานตากข้าว ตากมัน หรือโรงสี หรือเครื่องจักรเครื่องมือขนาดเล็ก เพื่อการเกษตร หรืออื่นๆ ที่ประชาชนต้องการ เป็นต้น ไม่เป็นการใช้เงินแบบเบี้ยหัวแตก คือแตกแยกกระจายเป็นเล็ก ๆ น้อย ๆ โครงการ ซึ่งเงินตรงนี้มีจำนวนไม่มากนัก ก็ควรจะเป็นใช้ประโยชน์เพื่อการส่วนรวม อย่าให้กระจายกันออกไปไม่เป็นชิ้นเป็นอันนะครับ

ที่สำคัญก็คือ การมีส่วนร่วม ตั้งแต่การคิดโครงการ การจัดทำแผนงานที่ชัดเจน ไปจนถึงร่วมบริหารจัดการในรูปแบบของสหกรณ์ เป็นต้น หากประชาชนเข้าใจร่วมมือรัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนโครงการเหล่านั้นอย่างต่อเนื่องในทุกพื้นที่ของประเทศในระยะต่อไป

กว่า 2 ปีของการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐบาลได้ประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยยึดถือหลักการทรงงานของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ ทำตามขั้นตอน ดังพระบรมราโชวาสวันที่ 18 กรกฎาคม 2557 กล่าวโดยสรุป ก็คือ ให้เริ่มต้นจากสิ่งที่จำเป็นของประชาชนที่สุดก่อนแก่การสาธารณสุข การดูแลตัวเองขั้นต้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลให้ตนเองไม่เจ็บป่วย มีสุขภาพที่แข็งแรง เมื่อประชาชนมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงแล้ว ก็จะสามารถทำประโยชน์ด้านอื่น ๆ ต่อไปได้ จากนั้นจะเป็นเรื่องของสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และสิ่งจำเป็นการในการประกอบอาชีพ อาทิ ถนน แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร การอุปโภคบริโภคที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชน ทั้งนี้ โดยต้องไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการให้ความรู้ทางวิชาการ และเทคโนโลยีที่เรียบง่าย เน้นการปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ และเกิดประโยชน์สูงสุด

ตัวอย่างนโยบายด้านสังคมที่ผ่านมา เช่น 1. การพัฒนาและวางระบบการดูแลสุขภาพ เช่น ทีมหมอครอบครัว 1 ทีมดูแลประชาชน 1 หมื่นคน ระบบการรักษาพยาบาลฉุกเฉินใช้สิทธิได้ทุกโรงพยาบาล บริการแพทย์ฉุกเฉินสายด่วน 1669 ขยายการบริการแพทย์แผนไทย การใช้สมุนไพรไทยในการรักษาพยาบาลขั้นต้นก่อนที่จะไปสู่การใช้ยาแผนปัจจุบัน และมีการสร้างนวัตกรรมยาโดยภูมิปัญญาไทย เป็นต้น

2. การพัฒนาระบบสวัสดิการ และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เช่น (1) การพัฒนาที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อย 2.7 ล้านครัวเรือน เช่น ชุมชนดินแดง ปทุมธานีโมเดล ชุมชนริมคลองลาดพร้าว เป็นต้น (2) การเพิ่มเงินอุดหนุนเด็ก คนพิการ ผู้สูงอายุ (3)การเปิดศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ สายด่วน 1111 และศูนย์ดำรงธรรมสายด่วน1567 เป็นต้น

3. การปฏิรูปการศึกษา เช่น (1) อาชีวศึกษาแบบทวิภาคี (2) การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (3) การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ทั่วประเทศ เช่น ศูนย์เรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ของกระทรวงศึกษาธิการกว่า 7 พันแห่งทั่วประเทศ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 882 แห่งทั่วประเทศ และศูนย์การเรียนรู้ไอซีทีชุมชนของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 2 พันกว่าแห่งทั่วประเทศ เป็นต้น

สำหรับตัวอย่างนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ผ่านมา เช่น 1. การบริหารจัดการน้ำทั้งระบบอย่างบูรณาการ ทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง น้ำเสีย พื้นที่เก็บกักน้ำแก้มลิง ซึ่งยังคงต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง สำหรับโครงการขนาดใหญ่เพื่อให้เกิดการเก็บกักน้ำให้มากขึ้น มีการระบายน้ำให้รวดเร็วขึ้นในพื้นที่ตอนบน ซึ่งมีผลกระทบมาในพื้นที่ตอนล่าง และภาคกลาง กำลังพิจารณาดำเนินการอยู่ ทั้งนี้เพื่อจะทำให้เกิดความยั่งยืนให้ได้ในอนาคต

2. ในเรื่องของการทวงคืนผืนป่า การฟื้นฟูป่า การจัดหาพื้นที่ทำกิน ป่าชุมชน เกษตรแปลงใหญ่ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการปลูกพืชตามความสมัครใจ Smart Farmer เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรอินทรีย์ เกษตรยั่งยืน เน้นในเรื่องของการลดการใช้ปุ๋ยเคมี ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ไม่เป็นภัยต่อชีวิต ไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มมูลค่าของสินค้า

3. การวิจัยและพัฒนา การสร้างนวัตกรรม เช่น เมืองนวัตกรรมอาหาร Food Innopolish แปรรูปผลิตภัณฑ์เกษตรกรรม ทุนวิจัยและพัฒนาที่ตรงกับความต้องการของประเทศ เพื่อนำไปสู่สายพานการผลิต เพื่อใช้เองในประเทศ เพื่อลดการสั่งซื้อจากต่างประเทศ

4. การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการคมนาคม บก น้ำ อากาศ และด้านไอซีที โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต เราต้องดำเนินการให้ทั่วถึงทุกพื้นที่ให้ได้อย่างรวดเร็ว

5. บริษัทประชารัฐ รู้รักสามัคคีประเทศไทย จำกัด วิสาหกิจเพื่อสังคม สหกรณ์การเกษตร ตลาดชุมชน การยกระดับโอท็อป เอสเอ็มอี สตาร์ทอัพสู่ตลาดโลก และตลาดออนไลน์ เป็นต้น ซึ่งได้รับความร่วมมือจากบริษัทเอกชนหลายบริษัทเป็นอย่างดี ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยอีกครั้ง

6. เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีการกำหนด 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เป็นต้น จะเป็นการสร้างห่วงโซ่ใหม่เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ เพื่อจะมีงบประมาณในการดูแลประชาชน มีการพัฒนาประเทศอย่างพอเพียงในอนาคต

7. การจดสิทธิบัตร การขึ้นบัญชีนวัตกรรม เป็นต้น ทั้งนี้ผลจากการบริหารราชการแผ่นดิน ห้วง 2 ปี ที่ผ่านมา ภายใต้ศาสตร์พระราชา แม้ว่าสถานการณ์ล่าสุด เศรษฐกิจไทยจะยังไม่เติบโตเด่นชัด เนื่องจากปัจจัยภายนอกประเทศ จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และการปรับตัวเชิงโครงสร้างภายในประเทศ ซึ่งต้องใช้เวลา แต่ก็เริ่มมีสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในหลายภาคส่วน เช่น (1) ภาคการเกษตร ผลผลิตและสินค้าการเกษตรดีขึ้นกว่าปีก่อนในบางชนิด โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร เดือนกันยายน 2559 ขยายตัวโดยรวมร้อยละ 4.0 จากเดือนเดียวกันปีที่แล้ว หลังจากติดลบมาหลายเดือน เนื่องจากผลลผลิตมันสำปะหลัง และข้าวโพด ที่มีการเก็บเกี่ยวได้มากขึ้น สำหรับด้านราคาดัชนีสินค้าการเกษตรโดยรวม เดือนกันยายน 2559 ขยายตัวถึงร้อยละ 8.0 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว

(2) ภาคอุตสาหกรรม ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือนสิงหาคม 2559 ในภาพรวมขยายตัวร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว จากการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าอุตสาหกรรมอาหารที่ขยายตัวดีขึ้น

(3) การค้าระหว่างประเทศ ภาพรวมมูลค่าส่งออกสินค้า เดือนกันยายน 2559 ขยายตัวกว่าร้อยละ 3.4 ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 และการส่งออกไปยังตลาดสำคัญของไทย โดยเฉพาะสหภาพยุโรป จีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ยังคงมีการขยายตัวได้ดี

(4) ภาคการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวเดือนสิงหาคม 2559 มีจำนวนกว่า 2.87 ล้านคน ขยายตัวกว่าร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีที่แล้ว ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวจากเอเชียมากที่สุด เช่น จีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น และลาว เป็นต้น

สำหรับภาครัฐ ในห้วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้มีเม็ดเงินกระจายลงสู่เศรษฐกิจอย่างทั่วถึง ซึ่งการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ทั้งปีงบประมาณ 2559 เบิกจ่ายได้สูงกว่าปีงบประมาณก่อนหน้า ร้อยละ 7.9 แบ่งเป็นรายจ่ายประจำเบิกจ่ายได้สูงขึ้นร้อยละ 5.1 ส่วนรายจ่ายลงทุนเบิกจ่ายได้สูงขึ้นร้อยละ 34.4 สำหรับหนี้สาธารณะยังคงอยู่ในระดับไม่สูง คือ ร้อยละ 42.6 ของจีดีพี ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2559 ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของจีดีพี ซึ่งเป็นกรอบของความยั่งยืนทางการคลังของประเทศ

นอกจากนี้ ผลจากการที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจในการประกอบกิจการเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ล่าสุด ธนาคารโลกได้จัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจปี 2017 ให้ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 46 จาก 190 ประเทศทั่วโลก หรือดีขึ้นจากปีที่แล้ว 3 อันดับ เนื่องจากเห็นว่ารัฐบาลมีการปรับปรุงขั้นตอนกระบวนการสำหรับการเริ่มธุรกิจในประเทศ ให้สะดวกและทันสมัยมากยิ่งขึ้น เช่น ระบบชำระเงิน การเข้าถึงสินเชื่อ และการแก้ไขปัญหาล้มละลาย เป็นต้น

ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะกลาง และระยะยาว ได้รับรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาพัฒน์ ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลัง ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ 2559 และปีหน้า 2560 จะเติบโตใกล้เคียงกันที่ประมาณร้อยละ 3 ซึ่งหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง หรือปฏิรูปเศรษฐกิจไทยใดๆเลย ก็คาดว่าเศรษฐกิจไทยอีก 5 - 10 ปี ก็จะเติบโตได้ในระดับน้อยๆ เช่นที่ผ่านมา เพราะเศรษฐกิจโลกเศรษฐกิจภายนอกมีความผันผวนและยังไม่มีแนวโน้มจะกลับมาแข็งแกร่งเช่นเดิม ดังนั้นรัฐบาลนี้จึงได้พยายามมาโดยตลอดที่จะทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างยั่งยืน ที่ไม่ใช่การเติบโตตัวเลขจีดีพี แต่เป็นการเติบโตที่กระจายสู่ทุกภาคส่วน ทุกภูมิภาคของประเทศ ไม่กระจุกตัวเฉพาะในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือภาคใดภาคหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เราจำเป็นต้องรักษาเสถียรภาพของรัฐบาล ทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง ให้เป็นปกติให้ได้ อย่างเช่นในปัจจุบัน

สำหรับงานต่าง ๆ ที่ได้เริ่มต้นไว้แล้ว รวมถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในด้านเศรษฐกิจ เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ การพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก การปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรอย่างครบวงจร ทั้งการพัฒนาเกษตรแปลงใหญ่ การพัฒนาแหล่งน้ำ ปรับปรุงดิน การพัฒนาพันธุ์พืชและสัตว์ และการต่อยอดนวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้า ทั้งสินค้าเกษตร และสินค้าอุตสาหกรรม การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้มีคุณภาพดีขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและทำรายได้ให้แก่ประเทศได้มากขึ้น การพัฒนาแรงงาน และการศึกษา ให้ตอบโจทย์ความต้องการของภาคเอกชน และเพื่อการพัฒนาประเทศในอนาคต เป็นต้น

หลายงานทั้งหมดที่กล่าวมานั้น รัฐบาลได้น้อมนำพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา มาเป็นแนวทางในการดำเนินงาน เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งในพื้นที่ ประชาชนมีส่วนร่วม และได้ประโยชน์จากการพัฒนาอย่างแท้จริง ให้มีความอยู่ดีกินดี

นอกจากนั้น รัฐบาลมีโครงการให้เอกชนร่วมลงทุนจีดีพี ในหลายโครงการก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ลดภาระงบประมาณ เพราะเราต้องก่อสร้าง ต้องมีการลงทุนเพื่ออนาคตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดึงดูดการลงทุน ซึ่งก็จะเป็นการส่งเสริมและอำนวยความสะดวก รวมทั้งลดต้นทุนการผลิตให้ทั้งภาคเอกชน และภาคประชาชน เรามีรายได้ไม่เพียงพอต่อการลงทุนใหญ่ภาครัฐ เสียภาษียังไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เราจำเป็นต้องกู้เงินบางส่วน มีการร่วมทุนกับเอกชนบางส่วน ซึ่งจำนวนหนี้สาธารณะในวันนี้ ล้วนเป็นหนี้ที่จะก่อให้เกิดรายได้เพื่อสร้างความเข้มเข็งให้อนาคตให้กับประเทศ และเราก็สามารถควบคุมให้ได้ในระดับที่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของจีดีพี

หากอนาคตข้างหน้าเศรษฐกิจเราดีขึ้น มีการจัดระบบการเสียภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลก็จะมีรายได้มากขึ้น ลงทุนได้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องกู้ยืมเงินจำนวนมากๆ อีก ประชาชนก็มีโอกาสได้รับสวัสดิการที่ดีขึ้น คุณภาพชีวิตของประชาชนทุกกลุ่มก็ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะด้านการศึกษา การสาธารณสุข ค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลจะสามารถดูแลได้นั้น จะเพิ่มมากขึ้น มากกว่าในปัจจุบัน ตลอดจนรายได้ของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ผมเห็นใจทุกท่านนะครับ จากใจจริงของรัฐบาลและของผมเอง

ทั้งนี้ หากคนไทยทุกคนร่วมมือร่วมใจกัน ไม่ขัดแย้ง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ก็เชื่อได้ว่าเศรษฐกิจไทยในวันข้างหน้าจะมีการเจริญเติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง อย่างแน่นอน

สำหรับการเชื่อมโยงศาสตร์พระราชาในเรื่องหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้น ถือว่ารัฐบาลประสบความสำเร็จในการสร้างความตระหนักและการยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งในการประชุม จี-77 จี-20 และ ACD โดยนานาประเทศต่างเห็นพ้องกันว่า หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงถือเป็นแนวทางหนึ่งที่สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ยกตัวอย่างเช่น (1) ศูนย์เรียนรู้โครงการตามราชประสงค์หุบกะพง เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดน้ำกินน้ำใช้ และขาดที่ดินทำกิน ซึ่งมีการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอย่างง่ายๆ เพื่อขจัดความยากจน สามารถใช้ชีวิตได้อย่างพอเพียง ก่อให้เกิดเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง บรรลุเป้าหมายที่ 1 ของ SDG คือการยุติความยากจนทุกรูปแบบ ในทุกพื้นที่

(2) ธนาคารอาหาร เป็นกิจกรรมจากกองทุนอาหารกลางวันแบบยั่งยืน ให้นักเรียนทุกคนนำไปลงทุน เพื่อประกอบอาชีพทำการเกษตรและปศุสัตว์ขนาดเล็ก โดยโรงเรียนจะรับซื้อผลผลิตกลับมาเป็นอาหารกลางวันของนักเรียน รายได้ของนักเรียนสามารถเกื้อกูลฐานะทางครอบครัว และใช้ในการศึกษาเพิ่มเติม นับว่า เป็นการเรียนรู้ในการประกอบอาชีพอย่างครบวงจร ภายใต้หลักการเกษตรทฤษฎีใหม่ บรรลุเป้าหมายที่ 2 ของ SDG ในเรื่องการยุติความหิวโหย มีความมั่นคงทางอาหาร การยกระดับโภชนาการ และส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืน

(3) โรงเรียนพระดาบส จัดให้มีการสอนวิชาชีพหลักสูตร 1 ปี มุ่งให้สามารถนำไปประกอบอาชีพได้จริง เสริมด้วยทักษะชีวิต ให้สามารถดำรงตนได้อย่างเหมาะสม บนพื้นฐานแห่งความรู้ มีวินัย ขยันหมั่นเพียร มีความรับผิดชอบ เป็นต้น บรรลุเป้าหมายที่ 4 ของ SDG คือการให้การศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต

(4) กังหันชัยพัฒนา เป็นการเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำ ลดกลิ่น น้ำไม่เน่าเสีย เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำได้ บรรลุเป้าหมายที่ 6 ของ SDG คือการจัดให้มีน้ำที่ถูกสุขลักษณะ และมีการบริหารจัดการน้ำที่ยั่งยืน

(5) บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินการตามรูปแบบวิสาหกิจเพื่อสังคม บนกลไกประชารัฐ ที่ไม่มุ่งเน้นผลกำไรจากการประกอบการ แต่ได้รับปันผลในรูปแบบการพัฒนาชุมชนที่ตนอาศัยอยู่ บรรลุเป้าหมายที่ 10 ของ SDG คือการลดความไม่เสมอภาคภายในและระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ เป็นแต่เพียงตัวอย่างเท่านั้น ผมเห็นว่า หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีความเป็นสากลในตัวเอง เปรียบเสมือนวัคซีนที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันจากโรคที่เกิดจากความประมาท ความไม่แน่นอน และความเสื่อมโทรม อันสืบเนื่องมาจากผลกระทบทางลบด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งประเทศไทยยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะสามารถแบ่งปันตัวอย่างการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ใช่ของใคร หรือประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ทุกประเทศต้องร่วมมือกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

สุดท้ายนี้ สำหรับกรณีราคาข้าวตกต่ำในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวหอมมะลิ ที่มีข่าวราคาต่ำมากในภาคอีสาน ในปัจจุบัน และอาจจะมีในพื้นที่อื่น ๆ ทั้งนี้ เป็นผลจากการรับซื้อของโรงสี หรือพ่อค้าคนกลาง อาจจะเป็นเพราะข้าวมีความชื้นสูง เป็นผลกระทบจากน้ำท่วม ราคาข้าวในตลาดโลก การลดราคาแข่งขันกันของประเทศผู้ผลิตข้าว รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ กำลังกำหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ชาวนา ให้บรรเทาความเดือดร้อนให้ได้โดยเร็วที่สุด คาดว่า ไม่เกินสัปดาห์หน้าจะเร่งให้มีการประชุมให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว เพื่อนำเสนอ ครม. รับทราบ และนำไปปฏิบัติได้ทันที

ขอขอบคุณพี่น้องเกษตรกร ชาวนา ที่ได้ต่อสู้ชีวิตด้วยความอดทน เสียสละ ทั้งนี้ รัฐบาลและประชาชนรับรู้ความทุกข์ของท่านเสมอ เราจะร่วมทุกข์ไปกับท่าน รวมทั้งราคาลองกองที่ตกต่ำ รัฐบาล โดยกระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมกับบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี (ประเทศไทย) จำกัด ได้ใช้พื้นที่ตลาดคลองผดุงฯ ข้างทำเนียบรัฐบาล นำผลิตผลชาวสวนลองกองจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส มาจำหน่าย รวมทั้งการแปรรูปลองกองเป็นน้ำลองกอง ไอศกรีมลองกอง เพื่อเพิ่มมูลค่า อาหารพื้นเมืองปักษ์ใต้ และสินค้าโอทอปอีกด้วย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่สนใจได้มาช่วยกันอุดหนุนด้วยนะครับ ขอขอบคุณครับ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น