สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม ประเทศชาติและพสกนิกรชาวไทย ได้ประสบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ นั่นคือ พระมหากษัตริย์ ผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา อย่างสูงสุด แก่พสกนิกรของพระองค์ และถึงพร้อมด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์ ดุจพระมหาชนก หากเพียงคนไทยทุกคน แบ่งปันความรัก ความปรารถนาดีต่อกัน แม้เพียงเศษเสี้ยวความรักของพระองค์ที่มีต่อประชาชนและแม้เพียงคนไทยทุกคน มีความเพียร สร้างความดี ทำคุณประโยชน์แก่ส่วนร่วม สังคม และประเทศชาติ แม้เพียงเศษเสี้ยวที่พระองค์ทรงมีแล้ว คนไทยก็จะเป็นคนที่มีความสุข ที่สุดในโลกประเทศไทย ก็จะเป็นประเทศที่มีความเจริญ มั่นคงที่สุดในโลก เช่นกัน
ในเวลานี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีพระราชบัณฑูร ให้จัดการพระราชพิธีพระบรมศพอย่างสมพระเกียรติและถูกต้องตามแบบแผนโบราณราชประเพณี รวมทั้งทรงรับสั่งให้ขอพระราชวินิจฉัย จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในเรื่องพิธีการ ตลอดจนการก่อสร้างพระเมรุและศาลาทรงธรรม สำหรับการประกอบพระราชพิธีพระบรมศพ จากที่ได้ทรงมีพระราชบัณฑูรไว้ก่อนแล้ว พร้อมทั้งดูแลทุกข์สุขประชาชนในช่วงนี้ให้ดีที่สุด
ทั้งนี้ รัฐบาลขอให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติภารกิจสำคัญยิ่งนี้ร่วมกับพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกภาคส่วน เพื่อให้การพระราชพิธีพระบรมศพ สมพระเกียรติ เทิดไว้ซึ่งพระเกียรติยศ และพระเกียรติภูมิอันสูงส่ง ผมและรัฐบาล ขอให้คำมั่น ที่จะปฏิบัติหน้าที่สานต่อพระราชภารกิจ และสนองพระปฐมบรมราชโองการ ที่ว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ด้วยความจงรักภักดี เสมอด้วยชีวิต ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และด้วยความวิริยะอุตสาหะ อย่างเต็มกำลังความสามารถและสติปัญญา รวมทั้งขอปฏิญาณตนว่า จักจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จนกว่าชีวิตจะหาไม่
รายการวันนี้เป็นต้นไป อาจจะมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงรูปแบบและชื่อรายการไปบ้าง แต่สาระสำคัญก็ยังคงมีเหมือนเดิม โดยผมจะนำสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทานไว้ ทั้งพระราชดำรัส พระราชดำริ และสิ่งที่ทรงทดลอง ทรงทำไว้ แล้วเกิดผลตลอดมาอย่างยั่งยืน ผมจะนำสิ่งที่รัฐบาลได้ยึดถือปฏิบัติ ใช้เป็นหลักการ และแนวทางในห้วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมาว่ามีความสอดคล้อง ต่อเนื่อง เชื่อมโยงและสนับสนุนกับวารการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติได้อย่างไร ทั้งนี้ก็เพื่อให้ประชาชนทราบว่า อนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จสวรรคตแล้ว แต่พระราชดำริคือแนวคิดและปรัชญาพระราชดำรัส คือ คำสั่งสอน ตักเตือน ให้สติ พระราชกรณียกิจชคือ หลักการทรงงาน และพระราชจริยวัตรของพระองค์ คือ การประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี แก่ปวงพสกนิกรชาวไทย ซึ่งจะยังคงอยู่คู่แผ่นดินไทยตลอดไป ด้วยพระองค์ได้ทรง พูดให้ได้คิด สอนให้เกิดปัญญาและทำให้เห็นประจักษ์ ด้วยพระองค์เองตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ศาสตร์พระราชาเหล่านั้น สามารถน้อมนำไปประยุกต์ใช้ ได้ในทุกระดับ ตั้งแต่การประกอบกิจวัตรประจำวันและสัมมาชีพของแต่ละบุคคล” ไปจนถึงการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนซึ่งเป็นแนวทางให้กับรัฐบาลและข้าราชการทุกคน
ทั้งนี้ ศาสตร์พระราชาซึ่งได้รับการยกย่อง ในเวทีระดับโลกและสอดคล้องกับ วาระของโลก คือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของ องค์การสหประชาชาติ SDG 2030 คือ อีก 15 ปีข้างหน้า ได้แก่ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย มากว่า 40 ปี และได้รับการเชิดชูสูงสุด จากองค์การสหประชาชาติ โดยนายโคฟี อันนัน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ทูลเกล้าถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุด ด้านการพัฒนามนุษย์ เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเห็นว่าเป็นปรัชญาที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันในตนเอง สู่ชุมชน สู่สังคม ในวงกว้างขึ้นในที่สุด โดยองค์การสหประชาชาติได้สนับสนุนให้ประเทศต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิกทั่วโลก ได้ยึดถือเป็นแนวทางสู่การพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน ในส่วนของรัฐบาลเองนั้น ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ของการบริหารบ้านเมือง ได้ส่งเสริมให้ประชาชน ได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ ในหลาย ๆ รูปแบบ เช่น การจัดทำบัญชีครัวเรือน เพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ สร้างความเข้มแข็งให้กับครอบครัว ซึ่งเป็นสถาบันสังคมที่เล็กที่สุด แต่เป็นสถาบันที่มีความสำคัญที่สุด เพราะเป็นหน่วยสังคมแรกที่เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนและหล่อหลอมชีวิตของคนในครอบครัวเป็นแหล่งผลิตคนเข้าสู่สังคมต่อไป
กองทุนการออมแห่งชาติ กอช. ซึ่งนอกจากเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและความไม่ประมาทต่อความเสี่ยงในอนาคต ด้วยการวางแผนการออมเพื่อการเกษียณ ตั้งแต่ช่วงวัยทำงานแล้ว ยังเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ ในสังคมไทย ในการเข้าถึงระบบบำนาญของประเทศ สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ รายได้น้อยแต่ไม่มีระบบบำนาญใดๆ รองรับไม่เหมือนภาครัฐที่มีกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กบข. หรือภาคเอกชน ที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นต้น ซึ่งการส่งเสริมให้ประชาชน ได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ไปใช้ในระดับครอบครัว สามารถผ่อนคลายปัญหาระดับชาติได้นั้น สอดคล้องกับหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่าการแก้ปัญหาจากจุดเล็กกล่าวคือ การมองปัญหาในภาพรวมก่อนเสมอแต่การแก้ปัญหาจะเริ่มตั้งแต่จุดเล็กๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่มองข้าม
สำหรับการต่อยอด ขยายผลหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระดับภูมิภาค และระดับโลก ทั้งในเวทีจี 77 จี20 และเอซีดีที่ผ่านมานั้น รัฐบาลได้นำเสนอผลสำเร็จในการพึ่งพาตนเอง สร้างความเข้มแข็งในระดับฐานรากเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน มีความสมดุลในทุกมิติ รวมทั้งการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ผ่านศูนย์ศึกษาการพัฒนาต่างๆ อันเนื่องมาจากพระราชดำริทั้ง 6 แห่ง ตามภูมิภาคที่แตกต่าง ได้แก่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา ห้วยทราย จ.เพชรบุรี อ่าวคุ้งกระเบน จ.จันทบุรี ภูพาน จ.สกลนคร ห้วยฮ่องไคร้ จ.เชียงใหม่ และพิกุลทอง จ.นราธิวาส
อย่างไรก็ตาม หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไม่มีสูตรตายตัวนะครับ สำหรับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน เนื่องจากแต่ละประเทศมีบริบทขีดความสามารถ ข้อแตกต่างที่แตกต่างกันออกไป แต่ละประเทศจึงจำเป็นต้องประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตนเอง และสามารถแลกเปลี่ยน เรียนรู้ แบ่งปันประสบการณ์ และองค์ความรู้ซึ่งกันและกันได้ คือการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนชั้นปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เทคโนโลยี นวัตกรรม และพลังงานสีเขียว เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ทั้งนี้ รัฐบาลจะสืบสานพระราชปณิธานผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่มีมากกว่า 4 พันโครงการทั่วประเทศ ให้ยังคงอยู่ อีกทั้งได้ขยายศักยภาพ โดยนำหลักการบริหารของศูนย์การเรียนรู้ ประกอบกับการแฝงประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการยกระดับ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยมีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ของกระทรวงต่างๆ เช่น ศูนย์เรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ของกระทรวงศึกษาธิการ จำนวนมากกว่า 7 พันแห่งทั่วประเทศ ศูนย์การเรียนรู้ไอซีทีชุมชนของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จำนวน 2 พันกว่าแห่ง เพื่อรองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล นโยบายไทยแลนด์ 4.0 และการสร้างสมาร์ทฟาร์เมอร์ เป็นต้น ที่สำคัญก็คือ การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ระยะ 5 ปี 2559-2564 บทพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ประเทศมีระบบภูมิคุ้มกัน และสังคมไทยเป็นสังคมคุณภาพ
สำหรับศาสตร์พระราชาที่เกี่ยวกับน้ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสนพระราชหฤทัยเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำเป็นพิเศษ ทรงให้ความสำคัญในลักษณะน้ำคือชีวิต ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูก เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้ ไม่มีไฟฟ้าคนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้า ไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้
การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกหรือการชลประทานนั้น นับเป็นการที่มีความสำคัญ และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ มีการช่วยให้เกษตรกรทำการเพาะปลูกได้อย่างสมบูรณ์ตลอดปี
ในปัจจุบันพื้นที่การเพาะปลูกนอกเขตชลประทาน ซึ่งต้องอาศัยน้ำฝน และน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นหลักเท่านั้นทำให้พืชได้รับน้ำไม่สม่ำเสมอตามที่พืชต้องการ อีกทั้งความผันแปรเนื่องจากฝนตกไม่พอเหมาะกับความต้องการ เป็นผลให้ผลผลิตที่ได้รับไม่ดีเท่าที่ควร ตัวอย่างโครงการเช่น โครงการฝนหลวง เนื่องจากทรงเห็นว่าภาวะแห้งแล้งมีความถี่ และมีแนวโน้มน่าจะรุนแรงยิ่งขึ้นตามลำดับ นอกจากความผันแปรและความคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติแล้ว การตัดไม้ทำลายป่ายังเป็นสาเหตุให้สภาพแวดล้อมธรรมชาติเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พระองค์ทรงใช้เวลา 14 ปี ในการวิเคราะห์วิจัยทบทวนเอกสารรายงานรายงานผลการศึกษา และข้อมูลต่างๆ ก่อนที่จะทดลองในท้องฟ้าเป็นครั้งแรกปี 2512 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งพระองค์ทรงติดตามการปฏิบัติการฝนหลวงด้วยพระองค์เองโดยตลอด และได้พระราชทานตั้งศูนย์ฝนหลวงพิเศษพร้อมทั้งพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และคำแนะนำอยู่เสมอ
โครงการแก้มลิงเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยทั่วไปที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครเมื่อ 2538 โดยให้จัดหาสถานที่เก็บกักน้ำตามจุดต่างๆ เพื่อรองรับน้ำฝนไว้ชั่วคราว แล้วบริหารจัดการแก้มลิงทั้งระบบอย่างบูรณาการ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์สำหรับเป็นแหล่งน้ำอุปโภคบริโภคของประชาชน แหล่งน้ำเพื่อการอุตสาหกรรมและการเกษตรในพื้นที่ชลประทาน แหล่งประมงน้ำจืดขนาดใหญ่และแหล่งเพาะพันธุ์ปลา ช่วยป้องกันอุทกภัยพื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริคลองลัดโพธิ์ เป็นการบริหารจัดการน้ำโดยบูรณาการงานของหลายหน่วยงาน ช่วยลดระยะทางการไหลของแม่น้ำเจ้าพระยา จาก 18 กิโลเมตร ให้เหลือเพียง 600 เมตร นอกจากนี้ ยังใช้ผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานน้ำรวมอยู่ในโครงการเดียวกันด้วย นับว่า 1 โครงการได้ประโยชน์ 2 ประการ
ทั้งนี้ รัฐบาลได้น้อมนำแนวทางการแก้ปัญหาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกมาจัดทำเป็นแผนบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการทั้งระบบ ระยะยาว 12 ปี ซึ่งเป็นการบริหารจัดการน้ำตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง อาทิ น้ำบาดาลช่วยภัยแล้ง น้ำบาดาลการเกษตร ขุดสระน้ำในไร่นา ประปาหมู่บ้าน ประปาโรงเรียน เป็นต้น โดยดูแลการใช้น้ำทั้งน้ำกิน น้ำใช้ น้ำสำหรับป้อนแหล่งผลิต ทั้งภาคเกษตรกรรม และอุตสาหกรรม รวมทั้งน้ำในการผลักดันน้ำเค็มอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อจะรักษาสมดุลในระบบนิเวศด้วย
นอกจากนั้น เรายังมีมาตรการเสริมเพื่อให้การบริหารจัดการน้ำ ทั้งในเขตและนอกเขตชลประทาน มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ Agri Map เข้ามาช่วยในกระบวนการโซนนิ่ง การทำเกษตรแปลงใหญ่ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืช การทำไร่นาสวนผสมเป็นต้น ก็สามารถติดตามได้ในศูนย์ของกระทรวงเกษตรฯ จำนวน 882 ศูนย์ ที่ได้จัดตั้งทั่วไปในทุกภาค ทุกพื้นที่ของประเทศไทยในเวลานี้ ไปศึกษา ไปแลกเปลี่ยน หรือไปสอบถาม นำวิทยาการใหม่ๆ ที่เขาเตรียมไว้ให้พวกเราทุกคนมาช่วยกันนำไปใช้ มันจะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเรื่องน้ำ เรื่องการปลูกพืช ไม่ว่าจะราคาพืชตกต่ำ กระทรวงเกษตรฯ ได้แก้ปัญหาทั้งวงจร
ในเรื่องน้ำก็มีกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย รวมความไปถึงเรื่องจัดที่ดิน ต่างๆเหล่านั้น มีผลผูกพันทั้งสิ้น เรื่องน้ำ เรื่องการเกษตร เรื่องการบุกรุกทำลายป่า การจัดที่ดิน ราคาพืชผลทางการเกษตร เหล่านี้ เป็นห่วงโซ่ที่เชื่อมโยงทั้งปัญหา และผลสำเร็จ หากเราทำดีๆ นำแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาดำเนินการ
ในเรื่องของฝนหลวงนั้น ย้อนกลับมานิดหนึ่งว่า เราก็ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ใช้สิทธิบัตรฝนหลวงแล้ว 4 ประเทศ ที่พระราชทานให้ ได้แก่ ออสเตรเลีย แทนซาเนีย โอมาน และจอร์แดน ขณะนี้ก็กำลังเตรียมการกับภูฏานด้วย
พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ประชาชนทุกคน อีกทั้งจิตอาสาที่ร่วมกับรัฐบาล และหน่วยงานของทางราชการในการอำนวยความสะดวก และให้บริการแก่พี่น้องประชาชนที่ต่างมีความประสงค์จะเดินทางมายังพระบรมมหาราชวัง ทั้งนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลหัวเฉียว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี นักเรียนจากโรงเรียนจิตรลดา โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง นักศึกษาวิชาทหาร จากโรงเรียนวัดน้อยนพคุณ โรงเรียนโยธินบูรณะ โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี ลูกเสือเนตรนารี จากสถาบันการศึกษาต่างๆ อีกมาก ซึ่งผมอาจจะกล่าวไม่ได้ทั้งหมดครบถ้วน ต้องขอโทษด้วย ขอบคุณทุกคนนะครับ รวมทั้งมูลนิธิ องค์กรเอกชน บริษัทห้างร้าน พี่น้องประชาชน และดารานักแสดง ที่ได้มาช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทั้งช่วยแจกจ่ายอาหาร เครื่องดื่ม เก็บขยะ รักษาความสะอาด ดูแลการจราจร จัดระเบียบแถว จัดดอกไม้ พยุง ดูแลผู้สูงอายุ เข็นรถคนพิการ และช่วยอำนวยความสะดวกตามกำลังความสามารถ มีการให้บริการตัดผม บริการทางการแพทย์ ตลอดจนแจกจ่ายสิ่งของที่จำเป็น โดยช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝน ก็เกรงว่าพี่น้องจะเป็นไข้ หลายคนที่มาอาจจะมีโรคประจำตัว ก็กรุณา ถ้าเป็นเด็กก็ใส่ที่อยู่-ชื่อผู้ปกครองในกระเป๋าของเด็กไว้ด้วย เผื่อพลัดหลง
ในส่วนของผู้เจ็บป่วย มีโรคประจำตัว เช่น ความดัน โรคลมชัก โรคเบาหวาน อะไรก็แล้วแต่ กรุณามีรายละเอียดใส่กระเป๋าเสื้อเอาไว้ด้วย เผื่อมีอะไรขึ้นมาจะได้แก้ไขได้ทันเวลา มีอย่างอื่นอีกมากนะครับที่อยากให้ทุกคนช่วยกัน สร้างการเรียนรู้ว่าเราจะดูแลตัวเองและดูแลคนอื่นได้อย่างไร ใช้เวลาช่วงนี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เราจะพยายามดูแลพี่น้องประชาชนจากทั่วประเทศ ซึ่งนับวันก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะเดินทางมาแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ บริเวณท้องสนามหลวง
สิ่งดีๆ เหล่านี้ผมเห็นว่าเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีแด่พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย เป็นการเสียสละ เป็นการทำดีเพื่อส่วนรวม เพื่อผู้อื่น เพื่อสังคม ที่เรียกว่าเผื่อแผ่แบ่งปันนะครับ ที่สำคัญก็คือการเป็นผู้ให้ เหมือนอย่างที่พ่อหลวงของเราทรงเป็นผู้ให้แก่พสกนิกรของพระองค์ตลอดพระชนม์ชีพ ตลอด 70 ปีของการทรงงาน
ผมอยากให้พี่น้องประชาชนคนไทยมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ช่วยเหลือ แบ่งปัน ทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า การทำดีสามารถกระทำได้ทุกวัน และกับทุกคนนะครับ
ระมัดระวังเรื่องความขัดแย้งด้วยนะครับ อย่ากระทบกระทั่งกันอีกเลย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม พูดจากันดีๆ นะครับ
ในส่วนของการมีจิตสาธารณะนั้น เป็นสิ่งที่พึงประสงค์ในเวลานี้สำหรับประเทศไทย เพราะเป็นการแสดงออกโดยความสมัครใจ ด้วยศักยภาพของตนเอง เป็นการสะท้อนถึงความเป็นผู้เจริญ ผู้มีอารยะ และมีคุณค่า
หน่วยงานภาครัฐไม่สามารถประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ได้เลย ถ้าหากปราศจากพลังประชารัฐ ด้วยการสนับสนุน การร่วมมือ จากภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ในสังคมที่หลากหลายเรายอมรับว่าย่อมมีความคิดเห็นที่แตกต่างผสมปนเปกันอยู่ แต่การตัดสินความเห็นต่างว่าผิดทีเดียวนั้น คงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง มันต้องมีเหตุผล มีหลักการและเหตุผล มีการตรวจสอบ และข้อสำคัญก็คือ สังคมมีกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว หากทุกคนเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน รวมทั้งเคารพกระบวนการของศาลสถิตยุติธรรม สังคมก็จะมีแต่ความสงบสุข ไม่มีความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่กับประชาชน หรือว่าใครก็แล้วแต่ เราจะต้องไม่ตั้งศาลเตี้ย ไม่ตัดสินปัญหาด้วยกำลัง แต่ควรใช้สติและใช้กฎหมายบ้านเมือง เจ้าหน้าที่ดูแลด้วยนะครับ อย่าให้มีการกระทบกระทั่งกันเป็นอันขาด ต้องระงับโดยทันที และต้องสอบสวนว่ามันเรื่องอะไรกัน ให้ได้ข้อมูลที่แท้จริง แล้วก็กรุณาแพร่ ประชาสัมพันธ์ให้สังคมทราบด้วย เพราะบางทีแพร่แต่โซเชียลมีเดีย บางเรื่องก็จริง บางเรื่องก็ไม่จริง บางเรื่องก็ตัดสินคนโน้นถูก คนนี้ผิด ซึ่งมันทำให้อันตรายเกิดขึ้นในสังคมของบ้านเราในเวลานี้ ในช่วงเวลาที่เปลี่ยนผ่าน
ผมอยากให้ทุกคนรวมพลังใจที่จะร่วมกันพัฒนาประเทศให้ก้าวต่อไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อสืบสานแนวทางพระราชดำริ และสานต่อพระราชปณิธาน ด้วยความรู้รัก สามัคคี ของคนในชาติ มุ่งมั่น ตั้งใจ ขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านนี้มีข้อมูลข่าวสารที่ทุกคนติดตามกันอยู่ในหลายๆ แง่มุมนะครับ ผมขอให้ยึดถือช่องทางการสื่อสารของรัฐบาล ตามจอภาพข้างล่างนี้ (1. สายด่วน 1111 ศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) 2. สายด่วน 1567 ศูนย์ดำรงธรรม (ทั่วประเทศ 3. เว็บไซต์รัฐบาลไทย http://www.thaigov.go.th/ 4. เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลข่าวสารงานพระบรมศพฯ กรมประชาสัมพันธ์ http://wwwprd.go.th/ โทรศัพท์ 0 2618 3600 อัตโนมัติ 10 คู่สาย โทรสาร 0 2618 2957) เป็นสำคัญ อย่าหลงเชื่อ หลงแชร์ ข้อมูลข่าวสารที่ไม่มั่นใจ ไม่สามารถอ้างอิงแหล่งที่มาได้ เนื่องจากหลายเรื่องมีความอ่อนไหว หลายเรื่องสร้างความสับสน เพราะการแชร์ในสิ่งที่ไม่รู้และไม่จริง นอกจากอาจผิดกฎหมายแล้ว อาจสร้างความเสียหายให้กับสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราทุกคน รวมทั้งประเทศชาติด้วย
สุดท้ายนี้ ในนามของรัฐบาล ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนคนไทยทั่วทั้งประเทศอีกครั้ง ที่ได้ร่วมกัน ทั้งร่วมมือ ร่วมใจ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน กุมมือกัน ผ่านห้วงเวลาแห่งความโศกเศร้าอย่างแสนสาหัสในครั้งนี้ กลับสู่สติที่มั่นคง และก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน ด้วยปัญญา ด้วยพลัง และด้วยจิตใจอันเข้มแข็งแน่วแน่ ที่จะสืบสานพระราชปณิธานแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระองค์ผู้เป็นที่รัก เทิดทูน ของพวกเราทุกคน พระองค์ทอดพระเนตรพวกเราอยู่จากเบื้องบนลงมา และพระองค์ทรงอยู่ในทุกอณูของแผ่นดิน ผืนน้ำ และอากาศนะครับ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
ในเวลานี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีพระราชบัณฑูร ให้จัดการพระราชพิธีพระบรมศพอย่างสมพระเกียรติและถูกต้องตามแบบแผนโบราณราชประเพณี รวมทั้งทรงรับสั่งให้ขอพระราชวินิจฉัย จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในเรื่องพิธีการ ตลอดจนการก่อสร้างพระเมรุและศาลาทรงธรรม สำหรับการประกอบพระราชพิธีพระบรมศพ จากที่ได้ทรงมีพระราชบัณฑูรไว้ก่อนแล้ว พร้อมทั้งดูแลทุกข์สุขประชาชนในช่วงนี้ให้ดีที่สุด
ทั้งนี้ รัฐบาลขอให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติภารกิจสำคัญยิ่งนี้ร่วมกับพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกภาคส่วน เพื่อให้การพระราชพิธีพระบรมศพ สมพระเกียรติ เทิดไว้ซึ่งพระเกียรติยศ และพระเกียรติภูมิอันสูงส่ง ผมและรัฐบาล ขอให้คำมั่น ที่จะปฏิบัติหน้าที่สานต่อพระราชภารกิจ และสนองพระปฐมบรมราชโองการ ที่ว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ด้วยความจงรักภักดี เสมอด้วยชีวิต ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และด้วยความวิริยะอุตสาหะ อย่างเต็มกำลังความสามารถและสติปัญญา รวมทั้งขอปฏิญาณตนว่า จักจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จนกว่าชีวิตจะหาไม่
รายการวันนี้เป็นต้นไป อาจจะมีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงรูปแบบและชื่อรายการไปบ้าง แต่สาระสำคัญก็ยังคงมีเหมือนเดิม โดยผมจะนำสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทานไว้ ทั้งพระราชดำรัส พระราชดำริ และสิ่งที่ทรงทดลอง ทรงทำไว้ แล้วเกิดผลตลอดมาอย่างยั่งยืน ผมจะนำสิ่งที่รัฐบาลได้ยึดถือปฏิบัติ ใช้เป็นหลักการ และแนวทางในห้วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมาว่ามีความสอดคล้อง ต่อเนื่อง เชื่อมโยงและสนับสนุนกับวารการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติได้อย่างไร ทั้งนี้ก็เพื่อให้ประชาชนทราบว่า อนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จสวรรคตแล้ว แต่พระราชดำริคือแนวคิดและปรัชญาพระราชดำรัส คือ คำสั่งสอน ตักเตือน ให้สติ พระราชกรณียกิจชคือ หลักการทรงงาน และพระราชจริยวัตรของพระองค์ คือ การประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี แก่ปวงพสกนิกรชาวไทย ซึ่งจะยังคงอยู่คู่แผ่นดินไทยตลอดไป ด้วยพระองค์ได้ทรง พูดให้ได้คิด สอนให้เกิดปัญญาและทำให้เห็นประจักษ์ ด้วยพระองค์เองตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ศาสตร์พระราชาเหล่านั้น สามารถน้อมนำไปประยุกต์ใช้ ได้ในทุกระดับ ตั้งแต่การประกอบกิจวัตรประจำวันและสัมมาชีพของแต่ละบุคคล” ไปจนถึงการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนซึ่งเป็นแนวทางให้กับรัฐบาลและข้าราชการทุกคน
ทั้งนี้ ศาสตร์พระราชาซึ่งได้รับการยกย่อง ในเวทีระดับโลกและสอดคล้องกับ วาระของโลก คือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของ องค์การสหประชาชาติ SDG 2030 คือ อีก 15 ปีข้างหน้า ได้แก่ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย มากว่า 40 ปี และได้รับการเชิดชูสูงสุด จากองค์การสหประชาชาติ โดยนายโคฟี อันนัน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ทูลเกล้าถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุด ด้านการพัฒนามนุษย์ เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเห็นว่าเป็นปรัชญาที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันในตนเอง สู่ชุมชน สู่สังคม ในวงกว้างขึ้นในที่สุด โดยองค์การสหประชาชาติได้สนับสนุนให้ประเทศต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิกทั่วโลก ได้ยึดถือเป็นแนวทางสู่การพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน ในส่วนของรัฐบาลเองนั้น ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ของการบริหารบ้านเมือง ได้ส่งเสริมให้ประชาชน ได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ ในหลาย ๆ รูปแบบ เช่น การจัดทำบัญชีครัวเรือน เพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ สร้างความเข้มแข็งให้กับครอบครัว ซึ่งเป็นสถาบันสังคมที่เล็กที่สุด แต่เป็นสถาบันที่มีความสำคัญที่สุด เพราะเป็นหน่วยสังคมแรกที่เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนและหล่อหลอมชีวิตของคนในครอบครัวเป็นแหล่งผลิตคนเข้าสู่สังคมต่อไป
กองทุนการออมแห่งชาติ กอช. ซึ่งนอกจากเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันและความไม่ประมาทต่อความเสี่ยงในอนาคต ด้วยการวางแผนการออมเพื่อการเกษียณ ตั้งแต่ช่วงวัยทำงานแล้ว ยังเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ ในสังคมไทย ในการเข้าถึงระบบบำนาญของประเทศ สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ รายได้น้อยแต่ไม่มีระบบบำนาญใดๆ รองรับไม่เหมือนภาครัฐที่มีกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กบข. หรือภาคเอกชน ที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นต้น ซึ่งการส่งเสริมให้ประชาชน ได้น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ไปใช้ในระดับครอบครัว สามารถผ่อนคลายปัญหาระดับชาติได้นั้น สอดคล้องกับหลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่าการแก้ปัญหาจากจุดเล็กกล่าวคือ การมองปัญหาในภาพรวมก่อนเสมอแต่การแก้ปัญหาจะเริ่มตั้งแต่จุดเล็กๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่มองข้าม
สำหรับการต่อยอด ขยายผลหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในระดับภูมิภาค และระดับโลก ทั้งในเวทีจี 77 จี20 และเอซีดีที่ผ่านมานั้น รัฐบาลได้นำเสนอผลสำเร็จในการพึ่งพาตนเอง สร้างความเข้มแข็งในระดับฐานรากเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน มีความสมดุลในทุกมิติ รวมทั้งการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ผ่านศูนย์ศึกษาการพัฒนาต่างๆ อันเนื่องมาจากพระราชดำริทั้ง 6 แห่ง ตามภูมิภาคที่แตกต่าง ได้แก่ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา ห้วยทราย จ.เพชรบุรี อ่าวคุ้งกระเบน จ.จันทบุรี ภูพาน จ.สกลนคร ห้วยฮ่องไคร้ จ.เชียงใหม่ และพิกุลทอง จ.นราธิวาส
อย่างไรก็ตาม หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไม่มีสูตรตายตัวนะครับ สำหรับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน เนื่องจากแต่ละประเทศมีบริบทขีดความสามารถ ข้อแตกต่างที่แตกต่างกันออกไป แต่ละประเทศจึงจำเป็นต้องประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับตนเอง และสามารถแลกเปลี่ยน เรียนรู้ แบ่งปันประสบการณ์ และองค์ความรู้ซึ่งกันและกันได้ คือการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนชั้นปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เทคโนโลยี นวัตกรรม และพลังงานสีเขียว เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ทั้งนี้ รัฐบาลจะสืบสานพระราชปณิธานผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่มีมากกว่า 4 พันโครงการทั่วประเทศ ให้ยังคงอยู่ อีกทั้งได้ขยายศักยภาพ โดยนำหลักการบริหารของศูนย์การเรียนรู้ ประกอบกับการแฝงประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการยกระดับ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยมีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ของกระทรวงต่างๆ เช่น ศูนย์เรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ของกระทรวงศึกษาธิการ จำนวนมากกว่า 7 พันแห่งทั่วประเทศ ศูนย์การเรียนรู้ไอซีทีชุมชนของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จำนวน 2 พันกว่าแห่ง เพื่อรองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล นโยบายไทยแลนด์ 4.0 และการสร้างสมาร์ทฟาร์เมอร์ เป็นต้น ที่สำคัญก็คือ การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ระยะ 5 ปี 2559-2564 บทพื้นฐานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ประเทศมีระบบภูมิคุ้มกัน และสังคมไทยเป็นสังคมคุณภาพ
สำหรับศาสตร์พระราชาที่เกี่ยวกับน้ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสนพระราชหฤทัยเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำเป็นพิเศษ ทรงให้ความสำคัญในลักษณะน้ำคือชีวิต ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า หลักสำคัญว่าต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้ น้ำเพื่อการเพาะปลูก เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ถ้าไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้ ไม่มีไฟฟ้าคนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้า ไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้
การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเพาะปลูกหรือการชลประทานนั้น นับเป็นการที่มีความสำคัญ และเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ มีการช่วยให้เกษตรกรทำการเพาะปลูกได้อย่างสมบูรณ์ตลอดปี
ในปัจจุบันพื้นที่การเพาะปลูกนอกเขตชลประทาน ซึ่งต้องอาศัยน้ำฝน และน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นหลักเท่านั้นทำให้พืชได้รับน้ำไม่สม่ำเสมอตามที่พืชต้องการ อีกทั้งความผันแปรเนื่องจากฝนตกไม่พอเหมาะกับความต้องการ เป็นผลให้ผลผลิตที่ได้รับไม่ดีเท่าที่ควร ตัวอย่างโครงการเช่น โครงการฝนหลวง เนื่องจากทรงเห็นว่าภาวะแห้งแล้งมีความถี่ และมีแนวโน้มน่าจะรุนแรงยิ่งขึ้นตามลำดับ นอกจากความผันแปรและความคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติแล้ว การตัดไม้ทำลายป่ายังเป็นสาเหตุให้สภาพแวดล้อมธรรมชาติเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พระองค์ทรงใช้เวลา 14 ปี ในการวิเคราะห์วิจัยทบทวนเอกสารรายงานรายงานผลการศึกษา และข้อมูลต่างๆ ก่อนที่จะทดลองในท้องฟ้าเป็นครั้งแรกปี 2512 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งพระองค์ทรงติดตามการปฏิบัติการฝนหลวงด้วยพระองค์เองโดยตลอด และได้พระราชทานตั้งศูนย์ฝนหลวงพิเศษพร้อมทั้งพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และคำแนะนำอยู่เสมอ
โครงการแก้มลิงเพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยทั่วไปที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครเมื่อ 2538 โดยให้จัดหาสถานที่เก็บกักน้ำตามจุดต่างๆ เพื่อรองรับน้ำฝนไว้ชั่วคราว แล้วบริหารจัดการแก้มลิงทั้งระบบอย่างบูรณาการ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์สำหรับเป็นแหล่งน้ำอุปโภคบริโภคของประชาชน แหล่งน้ำเพื่อการอุตสาหกรรมและการเกษตรในพื้นที่ชลประทาน แหล่งประมงน้ำจืดขนาดใหญ่และแหล่งเพาะพันธุ์ปลา ช่วยป้องกันอุทกภัยพื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริคลองลัดโพธิ์ เป็นการบริหารจัดการน้ำโดยบูรณาการงานของหลายหน่วยงาน ช่วยลดระยะทางการไหลของแม่น้ำเจ้าพระยา จาก 18 กิโลเมตร ให้เหลือเพียง 600 เมตร นอกจากนี้ ยังใช้ผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานน้ำรวมอยู่ในโครงการเดียวกันด้วย นับว่า 1 โครงการได้ประโยชน์ 2 ประการ
ทั้งนี้ รัฐบาลได้น้อมนำแนวทางการแก้ปัญหาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกมาจัดทำเป็นแผนบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการทั้งระบบ ระยะยาว 12 ปี ซึ่งเป็นการบริหารจัดการน้ำตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง อาทิ น้ำบาดาลช่วยภัยแล้ง น้ำบาดาลการเกษตร ขุดสระน้ำในไร่นา ประปาหมู่บ้าน ประปาโรงเรียน เป็นต้น โดยดูแลการใช้น้ำทั้งน้ำกิน น้ำใช้ น้ำสำหรับป้อนแหล่งผลิต ทั้งภาคเกษตรกรรม และอุตสาหกรรม รวมทั้งน้ำในการผลักดันน้ำเค็มอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อจะรักษาสมดุลในระบบนิเวศด้วย
นอกจากนั้น เรายังมีมาตรการเสริมเพื่อให้การบริหารจัดการน้ำ ทั้งในเขตและนอกเขตชลประทาน มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ Agri Map เข้ามาช่วยในกระบวนการโซนนิ่ง การทำเกษตรแปลงใหญ่ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืช การทำไร่นาสวนผสมเป็นต้น ก็สามารถติดตามได้ในศูนย์ของกระทรวงเกษตรฯ จำนวน 882 ศูนย์ ที่ได้จัดตั้งทั่วไปในทุกภาค ทุกพื้นที่ของประเทศไทยในเวลานี้ ไปศึกษา ไปแลกเปลี่ยน หรือไปสอบถาม นำวิทยาการใหม่ๆ ที่เขาเตรียมไว้ให้พวกเราทุกคนมาช่วยกันนำไปใช้ มันจะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเรื่องน้ำ เรื่องการปลูกพืช ไม่ว่าจะราคาพืชตกต่ำ กระทรวงเกษตรฯ ได้แก้ปัญหาทั้งวงจร
ในเรื่องน้ำก็มีกระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย รวมความไปถึงเรื่องจัดที่ดิน ต่างๆเหล่านั้น มีผลผูกพันทั้งสิ้น เรื่องน้ำ เรื่องการเกษตร เรื่องการบุกรุกทำลายป่า การจัดที่ดิน ราคาพืชผลทางการเกษตร เหล่านี้ เป็นห่วงโซ่ที่เชื่อมโยงทั้งปัญหา และผลสำเร็จ หากเราทำดีๆ นำแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาดำเนินการ
ในเรื่องของฝนหลวงนั้น ย้อนกลับมานิดหนึ่งว่า เราก็ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ใช้สิทธิบัตรฝนหลวงแล้ว 4 ประเทศ ที่พระราชทานให้ ได้แก่ ออสเตรเลีย แทนซาเนีย โอมาน และจอร์แดน ขณะนี้ก็กำลังเตรียมการกับภูฏานด้วย
พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ประชาชนทุกคน อีกทั้งจิตอาสาที่ร่วมกับรัฐบาล และหน่วยงานของทางราชการในการอำนวยความสะดวก และให้บริการแก่พี่น้องประชาชนที่ต่างมีความประสงค์จะเดินทางมายังพระบรมมหาราชวัง ทั้งนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลหัวเฉียว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี นักเรียนจากโรงเรียนจิตรลดา โรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ โรงเรียนสตรีวัดระฆัง นักศึกษาวิชาทหาร จากโรงเรียนวัดน้อยนพคุณ โรงเรียนโยธินบูรณะ โรงเรียนวิมุตยารามพิทยากร วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี ลูกเสือเนตรนารี จากสถาบันการศึกษาต่างๆ อีกมาก ซึ่งผมอาจจะกล่าวไม่ได้ทั้งหมดครบถ้วน ต้องขอโทษด้วย ขอบคุณทุกคนนะครับ รวมทั้งมูลนิธิ องค์กรเอกชน บริษัทห้างร้าน พี่น้องประชาชน และดารานักแสดง ที่ได้มาช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทั้งช่วยแจกจ่ายอาหาร เครื่องดื่ม เก็บขยะ รักษาความสะอาด ดูแลการจราจร จัดระเบียบแถว จัดดอกไม้ พยุง ดูแลผู้สูงอายุ เข็นรถคนพิการ และช่วยอำนวยความสะดวกตามกำลังความสามารถ มีการให้บริการตัดผม บริการทางการแพทย์ ตลอดจนแจกจ่ายสิ่งของที่จำเป็น โดยช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝน ก็เกรงว่าพี่น้องจะเป็นไข้ หลายคนที่มาอาจจะมีโรคประจำตัว ก็กรุณา ถ้าเป็นเด็กก็ใส่ที่อยู่-ชื่อผู้ปกครองในกระเป๋าของเด็กไว้ด้วย เผื่อพลัดหลง
ในส่วนของผู้เจ็บป่วย มีโรคประจำตัว เช่น ความดัน โรคลมชัก โรคเบาหวาน อะไรก็แล้วแต่ กรุณามีรายละเอียดใส่กระเป๋าเสื้อเอาไว้ด้วย เผื่อมีอะไรขึ้นมาจะได้แก้ไขได้ทันเวลา มีอย่างอื่นอีกมากนะครับที่อยากให้ทุกคนช่วยกัน สร้างการเรียนรู้ว่าเราจะดูแลตัวเองและดูแลคนอื่นได้อย่างไร ใช้เวลาช่วงนี้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เราจะพยายามดูแลพี่น้องประชาชนจากทั่วประเทศ ซึ่งนับวันก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะเดินทางมาแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ บริเวณท้องสนามหลวง
สิ่งดีๆ เหล่านี้ผมเห็นว่าเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีแด่พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย เป็นการเสียสละ เป็นการทำดีเพื่อส่วนรวม เพื่อผู้อื่น เพื่อสังคม ที่เรียกว่าเผื่อแผ่แบ่งปันนะครับ ที่สำคัญก็คือการเป็นผู้ให้ เหมือนอย่างที่พ่อหลวงของเราทรงเป็นผู้ให้แก่พสกนิกรของพระองค์ตลอดพระชนม์ชีพ ตลอด 70 ปีของการทรงงาน
ผมอยากให้พี่น้องประชาชนคนไทยมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ช่วยเหลือ แบ่งปัน ทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า การทำดีสามารถกระทำได้ทุกวัน และกับทุกคนนะครับ
ระมัดระวังเรื่องความขัดแย้งด้วยนะครับ อย่ากระทบกระทั่งกันอีกเลย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม พูดจากันดีๆ นะครับ
ในส่วนของการมีจิตสาธารณะนั้น เป็นสิ่งที่พึงประสงค์ในเวลานี้สำหรับประเทศไทย เพราะเป็นการแสดงออกโดยความสมัครใจ ด้วยศักยภาพของตนเอง เป็นการสะท้อนถึงความเป็นผู้เจริญ ผู้มีอารยะ และมีคุณค่า
หน่วยงานภาครัฐไม่สามารถประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ได้เลย ถ้าหากปราศจากพลังประชารัฐ ด้วยการสนับสนุน การร่วมมือ จากภาคประชาชน ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ในสังคมที่หลากหลายเรายอมรับว่าย่อมมีความคิดเห็นที่แตกต่างผสมปนเปกันอยู่ แต่การตัดสินความเห็นต่างว่าผิดทีเดียวนั้น คงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง มันต้องมีเหตุผล มีหลักการและเหตุผล มีการตรวจสอบ และข้อสำคัญก็คือ สังคมมีกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว หากทุกคนเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน รวมทั้งเคารพกระบวนการของศาลสถิตยุติธรรม สังคมก็จะมีแต่ความสงบสุข ไม่มีความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่กับประชาชน หรือว่าใครก็แล้วแต่ เราจะต้องไม่ตั้งศาลเตี้ย ไม่ตัดสินปัญหาด้วยกำลัง แต่ควรใช้สติและใช้กฎหมายบ้านเมือง เจ้าหน้าที่ดูแลด้วยนะครับ อย่าให้มีการกระทบกระทั่งกันเป็นอันขาด ต้องระงับโดยทันที และต้องสอบสวนว่ามันเรื่องอะไรกัน ให้ได้ข้อมูลที่แท้จริง แล้วก็กรุณาแพร่ ประชาสัมพันธ์ให้สังคมทราบด้วย เพราะบางทีแพร่แต่โซเชียลมีเดีย บางเรื่องก็จริง บางเรื่องก็ไม่จริง บางเรื่องก็ตัดสินคนโน้นถูก คนนี้ผิด ซึ่งมันทำให้อันตรายเกิดขึ้นในสังคมของบ้านเราในเวลานี้ ในช่วงเวลาที่เปลี่ยนผ่าน
ผมอยากให้ทุกคนรวมพลังใจที่จะร่วมกันพัฒนาประเทศให้ก้าวต่อไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อสืบสานแนวทางพระราชดำริ และสานต่อพระราชปณิธาน ด้วยความรู้รัก สามัคคี ของคนในชาติ มุ่งมั่น ตั้งใจ ขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน
ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านนี้มีข้อมูลข่าวสารที่ทุกคนติดตามกันอยู่ในหลายๆ แง่มุมนะครับ ผมขอให้ยึดถือช่องทางการสื่อสารของรัฐบาล ตามจอภาพข้างล่างนี้ (1. สายด่วน 1111 ศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) 2. สายด่วน 1567 ศูนย์ดำรงธรรม (ทั่วประเทศ 3. เว็บไซต์รัฐบาลไทย http://www.thaigov.go.th/ 4. เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลข่าวสารงานพระบรมศพฯ กรมประชาสัมพันธ์ http://wwwprd.go.th/ โทรศัพท์ 0 2618 3600 อัตโนมัติ 10 คู่สาย โทรสาร 0 2618 2957) เป็นสำคัญ อย่าหลงเชื่อ หลงแชร์ ข้อมูลข่าวสารที่ไม่มั่นใจ ไม่สามารถอ้างอิงแหล่งที่มาได้ เนื่องจากหลายเรื่องมีความอ่อนไหว หลายเรื่องสร้างความสับสน เพราะการแชร์ในสิ่งที่ไม่รู้และไม่จริง นอกจากอาจผิดกฎหมายแล้ว อาจสร้างความเสียหายให้กับสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราทุกคน รวมทั้งประเทศชาติด้วย
สุดท้ายนี้ ในนามของรัฐบาล ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนคนไทยทั่วทั้งประเทศอีกครั้ง ที่ได้ร่วมกัน ทั้งร่วมมือ ร่วมใจ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน กุมมือกัน ผ่านห้วงเวลาแห่งความโศกเศร้าอย่างแสนสาหัสในครั้งนี้ กลับสู่สติที่มั่นคง และก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน ด้วยปัญญา ด้วยพลัง และด้วยจิตใจอันเข้มแข็งแน่วแน่ ที่จะสืบสานพระราชปณิธานแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระองค์ผู้เป็นที่รัก เทิดทูน ของพวกเราทุกคน พระองค์ทอดพระเนตรพวกเราอยู่จากเบื้องบนลงมา และพระองค์ทรงอยู่ในทุกอณูของแผ่นดิน ผืนน้ำ และอากาศนะครับ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ