นพ.วรงค์ชี้คำสั่งทางปกครองอายัดทรัพย์เป็นมิติใหม่การเมือง เตือนสตินักการเมือง-ข้าราชการทำอะไรนึกถึงประเทศชาติเป็นหลัก กระบวนการต่างๆ เป็นไปตามกฎหมาย “บุญทรง” ยังต่อสู้ได้ในชั้นศาลปกครอง คดีนี้ปูทางไปสู่ “ยิ่งลักษณ์” ที่ต้องชดใช้เช่นเดียวกัน แค่รอคลังสรุปตัวเลข ด้านนักกฎหมายประเมินหากทรัพย์ไม่พอชำระ ต้องถึงขั้นฟ้องล้มละลาย ถ้าเป็นกรณีทุจริตต้องรออีก 10 ปี แถมขัดคุณสมบัติสมัคร ส.ส.
งวดเข้ามาทุกขณะสำหรับคดีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีทั้งความผิดทางแพ่งและทางอาญา โดยในชั้นแรกเป็นขั้นตอนของการดำเนินการเอาผิดทางแพ่ง ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ กับผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับพวกในขณะนั้น
คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ประเมินความเสียหาย จากกรณีทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) 4 สัญญา จำนวน 6.2 ล้านตัน เป็นเงิน 2 หมื่นล้านบาท แยกเป็นการเรียกค่าเสียหายจากนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 1,770 ล้านบาท นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ 2,300 ล้านบาท พันตรีนายแพทย์วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศเรียกค่าเสียหายคนละ 4,000 ล้านบาท
ทั้งนี้นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ลงนามคำสั่งบังคับทางปกครองเพื่อเรียกค่าเสียหายกรณีการขายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับนักการเมืองและข้าราชการจำนวน 6 รายแล้ว โดยเป็นการลงนามแทนนายกรัฐมนตรี และในส่วนของ รมว.พาณิชย์ ได้มอบหมายให้ น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ลงนามแทน เมื่อ 19 กันยายน 2559
เดินหน้าเรียกค่าเสียหาย
เป็นอันว่ากระบวนการเรียกร้องค่าเสียหายจากนักการเมืองและข้าราชการในคดีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐเก๊เริ่มขึ้นแล้ว แม้จะมีความลังเลในการลงนามอยู่บ้างในช่วง 16 กันยายนที่ผ่านมา
ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการเพื่อส่งหนังสือแจ้งไปยังผู้ที่ถูกเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายทั้ง 6 ราย และตามขั้นตอนต้องชดใช้ค่าเสียหายภายใน 30 วัน หากครบ 30 วันแล้วยังเพิกเฉยจะส่งหนังสือแจ้งเตือนอีก 15 วัน หากยังไม่จ่ายอีกก็จะส่งเรื่องเข้าสู่ขั้นตอนการบังคับคดีต่อไป โดยมีกรมบังคับคดีที่จะไปดำเนินการอายัดทรัพย์ตามกฎหมาย
แน่นอนว่านายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ออกมาตอบโต้ถึงคำสั่งดังกล่าวว่าเป็นการกระทำที่ลัดขั้นตอน เป็นเรื่องที่จะล้มล้างกันในทางการเมืองให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องดับสูญสิ้นไป พร้อมทั้งยืนยันว่าจะดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้องจนกว่าจะถึงที่สุด แม้นว่าจะต้องไปต่อสู้กันในศาลกี่ศาลก็ตาม
จากบุญทรงสู่ยิ่งลักษณ์
นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ที่ติดตามเรื่องโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์มาตลอด กล่าวว่า ช่วงที่ยังไม่ชัดเจนการลงนามในคำสั่งทางปกครองของกระทรวงพาณิชย์ ทำให้คุณบุญทรงใช้โอกาสโจมตีกระบวนการดังกล่าว
คุณบุญทรงพยายามที่จะบอกว่า รัฐบาลใช้มาตรา 44 เพื่อต้องการยึดทรัพย์นั้น คำสั่งที่ 56/2559 เป็นการให้อำนาจกับกรมบังคับคดีในการเข้ามามีอำนาจบังคับทางปกครอง เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามคําสั่งหรือคําพิพากษา นั่นหมายความว่าหากมีการยื่นเรื่องขอทุเลาต่อศาลปกครอง ซึ่งคุณบุญทรงก็ยื่นเรื่องต่อศาลแน่ ดังนั้นก็ต้องรอคำพิพากษาของศาลปกครองก่อน ทุกอย่างเปิดโอกาสให้กระบวนการยุติธรรมเข้ามาตัดสิน
ส่วนเรื่องที่ชี้แจงว่าการขายข้าวจีทูจี ไม่เกิดความเสียหาย ได้รับเงินครบถ้วนนั้น เป็นคนละเรื่องกันเนื่องจากมีการตรวจสอบแล้วว่าไม่ได้มีการขายข้าวไปยังตัวแทนของจีน ไม่มีการส่งข้าวออกไปจริงตามที่เคยกล่าวไว้
นายแพทย์วรงค์ กล่าวต่อไปว่า คดีของบุญทรงจะนำไปสู่คดีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถูกเรียกร้องค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวเช่นเดียวกัน เพียงแต่ยังไม่มีการสรุปตัวเลขและยังไม่มีการลงนามในคำสั่งทางปกครอง ซึ่งก่อนหน้านั้นคณะกรรมการความรับผิดทางแพ่งซึ่งมี นายมนัส แจ่มเวหา เป็นประธาน ได้รับสำนวนการสอบความรับผิดทางละเมิดที่นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้นคือ นายสมหมาย ภาษี ได้ร่วมกันลงนามแต่งตั้งขึ้น โดยมี นายจิรชัย มูลทองโร่ย รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งคณะกรรมการชุดของจิรชัยได้ทำการสอบสวนมาอย่างต่อเนื่องและกำหนดมูลค่าความเสียหายที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะต้องรับผิดจำนวนประมาณ 2.8 แสนล้านบาท
จากนั้นมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมาเป็นนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ตัวเลขความรับผิดลดลงมาเหลือ 1.78 แสนล้านบาท และลงมาเหลือ 3.57 หมื่นล้านบาท จนทำให้มีการท้วงติงจากหลายฝ่าย รวมถึงสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ทำให้คณะกรรมการของกระทรวงการคลังต้องนำกลับไปพิจารณาใหม่ ซึ่งคดีทางปกครองของนางสาวยิ่งลักษณ์จะเป็นไปในรูปแบบเดียวกับนายบุญทรง
กติกาใหม่นักการเมือง
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในการเรียกร้องให้นักการเมืองและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ต้องรับผิดกับโครงการที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศนั้น ทำให้สังคมเกิดการตื่นตัว คนที่ทุจริตต้องได้รับโทษและยังเป็นการเตือนไปยังนักการเมืองทุกพรรคการเมืองที่จะใช้อำนาจโดยไม่ฟังใครเหมือนเดิมอีกต่อไปไม่ได้ และเป้าหมายในการทำงานต้องเป็นไปเพื่อความยั่งยืน คำนึงถึงอนาคตของประเทศเป็นหลัก
สำหรับข้าราชการที่ต้องทำงานร่วมกับนักการเมือง จากนี้ไปไม่ต้องเกรงกลัวนักการเมือง แต่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ ทำงานเพื่อปกป้องประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชนจริงๆ อะไรที่ไม่ถูกต้องหรือทำแล้วจะเกิดความเสียหายกับประเทศให้แสดงความไม่เห็นด้วยที่จะต้องปฏิบัติตาม อย่าหวังเรื่องความก้าวหน้าหรือการเลื่อนตำแหน่งจากนักการเมือง เมื่อนั้นแล้วคนในสังคมจะให้ความคุ้มครอง
ทรัพย์ไม่ถึง-ฟ้องล้มละลาย
นักกฎหมายจากคณะนิติศาสตร์รายหนึ่งกล่าวว่า คำสั่งทางปกครองที่บังคับให้ต้องชดใช้ค่าเสียหายต่อรัฐที่เกิดขึ้นนั้น คุณบุญทรงและพวกมีเวลา 30 วันหลังจากรับหนังสือคำสั่งทางปกครอง หากเพิกเฉยจะมีหนังสือเตือนอีก 15 วัน หากยังไม่จ่ายกรมบังคับคดีจะดำเนินการอายัดทรัพย์
คดีนี้กรมบังคับคดีคงไม่สามารถดำเนินการอายัดทรัพย์ได้ตามกรอบเวลาแน่ เพราะทางผู้ถูกกล่าวโทษต้องยื่นเรื่องนี้ต่อศาลปกครอง ทำให้ต้องมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงกันอีกครั้ง จนกว่าศาลปกครองจะมีคำพิพากษาออกมา
เมื่อผลเป็นอันสิ้นสุด กรณีของคุณบุญทรงเป็นหน้าที่ของกรมบังคับคดีที่ต้องตรวจสอบทรัพย์สินของผู้ที่ถูกกล่าวโทษว่ามีสินทรัพย์อะไรบ้าง ส่วนที่ไม่ใช่เงินสดจะต้องนำไปขายทอดตลาดเพื่อให้ได้เงินมาแล้วคืนให้กับต้นทางคือกระทรวงพาณิชย์
ในกรณีทรัพย์ที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อมูลค่าที่เรียกชำระ ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการฟ้องล้มละลาย หากเป็นกรณีทั่วไปผู้ถูกฟ้องล้มละลายใช้เวลา 3 ปีที่จะกลับมาสู่สภาวะปกติ แต่หากเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องกระทำการโดยทุจริตใช้เวลา 10 ปี ที่จะกลับมาสู่สถานะบุคคลปกติ
คุณบุญทรงโดนเรียก 1.77 พันล้านบาท คุณภูมิ สาระผล 2.3 พันล้านบาท ที่เหลือ 4 คน คนละ 4 พันล้านบาท โอกาสที่จะเรียกเก็บได้ตามจำนวนนั้นคงเป็นไปได้ยาก
เชื่อว่ารัฐบาลปัจจุบันคงไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เงิน 2 หมื่นล้านบาท แต่การดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่สร้างความเสียหายกับรัฐจะเป็นตัวอย่างให้กับนักการเมืองและข้าราชการในครั้งต่อๆ ไปมากกว่า และเป็นการแสดงความจริงใจให้เห็นว่ารัฐบาลของพลเอกประยุทธ์เข้ามาแล้วดำเนินการในเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจัง
นอกจากนี้การที่นักการเมืองถูกดำเนินคดีทางปกครองและไม่สามารถนำทรัพย์มาชำระหนี้ให้กับรัฐได้ตามจำนวน ท้ายที่สุดจะต้องตกอยู่ในสถานะบุคคลล้มละลายที่จะกลายเป็นอีกลักษณะต้องห้ามหนึ่งของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
“บุญทรง-ยิ่งลักษณ์” ยังมีอีกหลายคดี
อย่างไรก็ตามกรณีของนายบุญทรงนั้นเป็นเพียงแค่ 4 สัญญาของการระบายข้าวแบบจีทูจี แต่ยังมีอีก 8 สัญญาที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะมีการชี้มูลความผิดต่อไป และยังมีคดีอาญาที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีก
เช่นเดียวกันคดีความรับผิดของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เนื่องจากตำแหน่งนายกฯ ไม่ได้สังกัดกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ทางกระทรวงการคลังเป็นต้นทางจะมีการแจ้งตัวเลขความรับผิดออกมาในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ และคดีอาญาที่อยู่ในขั้นตอนการไต่สวนพยานอาจจะต้องรอไปราวกลางปี 2560
การดำเนินการทางปกครองด้วยการให้ผู้กระทำผิดต้องชดใช้ค่าเสียหายกับประเทศ นับเป็นมิติใหม่ที่เกิดขึ้นกับนักการเมือง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยมีกรณีการให้ชดใช้ค่าเสียหายคดีทุจริตรถดับเพลิง กรุงเทพมหานครมาก่อนหน้านี้แล้ว
ดังนั้นจากนี้ไปทั้งนักการเมืองและข้าราชการคงไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจโดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากภาคประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่เตือนในเรื่องความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากโครงการประชานิยมได้เหมือนที่ผ่านมา เพราะจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นนอกเหนือไปจากการติดคุก นั่นคือการยึดทรัพย์ที่คงไม่มีนักการเมืองคนไหนหรือข้าราชการรายใดอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง
งวดเข้ามาทุกขณะสำหรับคดีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีทั้งความผิดทางแพ่งและทางอาญา โดยในชั้นแรกเป็นขั้นตอนของการดำเนินการเอาผิดทางแพ่ง ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ กับผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับพวกในขณะนั้น
คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ประเมินความเสียหาย จากกรณีทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) 4 สัญญา จำนวน 6.2 ล้านตัน เป็นเงิน 2 หมื่นล้านบาท แยกเป็นการเรียกค่าเสียหายจากนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ 1,770 ล้านบาท นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ 2,300 ล้านบาท พันตรีนายแพทย์วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศเรียกค่าเสียหายคนละ 4,000 ล้านบาท
ทั้งนี้นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ลงนามคำสั่งบังคับทางปกครองเพื่อเรียกค่าเสียหายกรณีการขายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับนักการเมืองและข้าราชการจำนวน 6 รายแล้ว โดยเป็นการลงนามแทนนายกรัฐมนตรี และในส่วนของ รมว.พาณิชย์ ได้มอบหมายให้ น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ลงนามแทน เมื่อ 19 กันยายน 2559
เดินหน้าเรียกค่าเสียหาย
เป็นอันว่ากระบวนการเรียกร้องค่าเสียหายจากนักการเมืองและข้าราชการในคดีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐเก๊เริ่มขึ้นแล้ว แม้จะมีความลังเลในการลงนามอยู่บ้างในช่วง 16 กันยายนที่ผ่านมา
ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการเพื่อส่งหนังสือแจ้งไปยังผู้ที่ถูกเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายทั้ง 6 ราย และตามขั้นตอนต้องชดใช้ค่าเสียหายภายใน 30 วัน หากครบ 30 วันแล้วยังเพิกเฉยจะส่งหนังสือแจ้งเตือนอีก 15 วัน หากยังไม่จ่ายอีกก็จะส่งเรื่องเข้าสู่ขั้นตอนการบังคับคดีต่อไป โดยมีกรมบังคับคดีที่จะไปดำเนินการอายัดทรัพย์ตามกฎหมาย
แน่นอนว่านายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ออกมาตอบโต้ถึงคำสั่งดังกล่าวว่าเป็นการกระทำที่ลัดขั้นตอน เป็นเรื่องที่จะล้มล้างกันในทางการเมืองให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องดับสูญสิ้นไป พร้อมทั้งยืนยันว่าจะดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีกับทุกคนที่เกี่ยวข้องจนกว่าจะถึงที่สุด แม้นว่าจะต้องไปต่อสู้กันในศาลกี่ศาลก็ตาม
จากบุญทรงสู่ยิ่งลักษณ์
นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ที่ติดตามเรื่องโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์มาตลอด กล่าวว่า ช่วงที่ยังไม่ชัดเจนการลงนามในคำสั่งทางปกครองของกระทรวงพาณิชย์ ทำให้คุณบุญทรงใช้โอกาสโจมตีกระบวนการดังกล่าว
คุณบุญทรงพยายามที่จะบอกว่า รัฐบาลใช้มาตรา 44 เพื่อต้องการยึดทรัพย์นั้น คำสั่งที่ 56/2559 เป็นการให้อำนาจกับกรมบังคับคดีในการเข้ามามีอำนาจบังคับทางปกครอง เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามคําสั่งหรือคําพิพากษา นั่นหมายความว่าหากมีการยื่นเรื่องขอทุเลาต่อศาลปกครอง ซึ่งคุณบุญทรงก็ยื่นเรื่องต่อศาลแน่ ดังนั้นก็ต้องรอคำพิพากษาของศาลปกครองก่อน ทุกอย่างเปิดโอกาสให้กระบวนการยุติธรรมเข้ามาตัดสิน
ส่วนเรื่องที่ชี้แจงว่าการขายข้าวจีทูจี ไม่เกิดความเสียหาย ได้รับเงินครบถ้วนนั้น เป็นคนละเรื่องกันเนื่องจากมีการตรวจสอบแล้วว่าไม่ได้มีการขายข้าวไปยังตัวแทนของจีน ไม่มีการส่งข้าวออกไปจริงตามที่เคยกล่าวไว้
นายแพทย์วรงค์ กล่าวต่อไปว่า คดีของบุญทรงจะนำไปสู่คดีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ถูกเรียกร้องค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวเช่นเดียวกัน เพียงแต่ยังไม่มีการสรุปตัวเลขและยังไม่มีการลงนามในคำสั่งทางปกครอง ซึ่งก่อนหน้านั้นคณะกรรมการความรับผิดทางแพ่งซึ่งมี นายมนัส แจ่มเวหา เป็นประธาน ได้รับสำนวนการสอบความรับผิดทางละเมิดที่นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้นคือ นายสมหมาย ภาษี ได้ร่วมกันลงนามแต่งตั้งขึ้น โดยมี นายจิรชัย มูลทองโร่ย รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งคณะกรรมการชุดของจิรชัยได้ทำการสอบสวนมาอย่างต่อเนื่องและกำหนดมูลค่าความเสียหายที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะต้องรับผิดจำนวนประมาณ 2.8 แสนล้านบาท
จากนั้นมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมาเป็นนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ตัวเลขความรับผิดลดลงมาเหลือ 1.78 แสนล้านบาท และลงมาเหลือ 3.57 หมื่นล้านบาท จนทำให้มีการท้วงติงจากหลายฝ่าย รวมถึงสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ทำให้คณะกรรมการของกระทรวงการคลังต้องนำกลับไปพิจารณาใหม่ ซึ่งคดีทางปกครองของนางสาวยิ่งลักษณ์จะเป็นไปในรูปแบบเดียวกับนายบุญทรง
กติกาใหม่นักการเมือง
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในการเรียกร้องให้นักการเมืองและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ต้องรับผิดกับโครงการที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศนั้น ทำให้สังคมเกิดการตื่นตัว คนที่ทุจริตต้องได้รับโทษและยังเป็นการเตือนไปยังนักการเมืองทุกพรรคการเมืองที่จะใช้อำนาจโดยไม่ฟังใครเหมือนเดิมอีกต่อไปไม่ได้ และเป้าหมายในการทำงานต้องเป็นไปเพื่อความยั่งยืน คำนึงถึงอนาคตของประเทศเป็นหลัก
สำหรับข้าราชการที่ต้องทำงานร่วมกับนักการเมือง จากนี้ไปไม่ต้องเกรงกลัวนักการเมือง แต่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ ทำงานเพื่อปกป้องประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชนจริงๆ อะไรที่ไม่ถูกต้องหรือทำแล้วจะเกิดความเสียหายกับประเทศให้แสดงความไม่เห็นด้วยที่จะต้องปฏิบัติตาม อย่าหวังเรื่องความก้าวหน้าหรือการเลื่อนตำแหน่งจากนักการเมือง เมื่อนั้นแล้วคนในสังคมจะให้ความคุ้มครอง
ทรัพย์ไม่ถึง-ฟ้องล้มละลาย
นักกฎหมายจากคณะนิติศาสตร์รายหนึ่งกล่าวว่า คำสั่งทางปกครองที่บังคับให้ต้องชดใช้ค่าเสียหายต่อรัฐที่เกิดขึ้นนั้น คุณบุญทรงและพวกมีเวลา 30 วันหลังจากรับหนังสือคำสั่งทางปกครอง หากเพิกเฉยจะมีหนังสือเตือนอีก 15 วัน หากยังไม่จ่ายกรมบังคับคดีจะดำเนินการอายัดทรัพย์
คดีนี้กรมบังคับคดีคงไม่สามารถดำเนินการอายัดทรัพย์ได้ตามกรอบเวลาแน่ เพราะทางผู้ถูกกล่าวโทษต้องยื่นเรื่องนี้ต่อศาลปกครอง ทำให้ต้องมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงกันอีกครั้ง จนกว่าศาลปกครองจะมีคำพิพากษาออกมา
เมื่อผลเป็นอันสิ้นสุด กรณีของคุณบุญทรงเป็นหน้าที่ของกรมบังคับคดีที่ต้องตรวจสอบทรัพย์สินของผู้ที่ถูกกล่าวโทษว่ามีสินทรัพย์อะไรบ้าง ส่วนที่ไม่ใช่เงินสดจะต้องนำไปขายทอดตลาดเพื่อให้ได้เงินมาแล้วคืนให้กับต้นทางคือกระทรวงพาณิชย์
ในกรณีทรัพย์ที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อมูลค่าที่เรียกชำระ ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการฟ้องล้มละลาย หากเป็นกรณีทั่วไปผู้ถูกฟ้องล้มละลายใช้เวลา 3 ปีที่จะกลับมาสู่สภาวะปกติ แต่หากเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องกระทำการโดยทุจริตใช้เวลา 10 ปี ที่จะกลับมาสู่สถานะบุคคลปกติ
คุณบุญทรงโดนเรียก 1.77 พันล้านบาท คุณภูมิ สาระผล 2.3 พันล้านบาท ที่เหลือ 4 คน คนละ 4 พันล้านบาท โอกาสที่จะเรียกเก็บได้ตามจำนวนนั้นคงเป็นไปได้ยาก
เชื่อว่ารัฐบาลปัจจุบันคงไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เงิน 2 หมื่นล้านบาท แต่การดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่สร้างความเสียหายกับรัฐจะเป็นตัวอย่างให้กับนักการเมืองและข้าราชการในครั้งต่อๆ ไปมากกว่า และเป็นการแสดงความจริงใจให้เห็นว่ารัฐบาลของพลเอกประยุทธ์เข้ามาแล้วดำเนินการในเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจัง
นอกจากนี้การที่นักการเมืองถูกดำเนินคดีทางปกครองและไม่สามารถนำทรัพย์มาชำระหนี้ให้กับรัฐได้ตามจำนวน ท้ายที่สุดจะต้องตกอยู่ในสถานะบุคคลล้มละลายที่จะกลายเป็นอีกลักษณะต้องห้ามหนึ่งของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
“บุญทรง-ยิ่งลักษณ์” ยังมีอีกหลายคดี
อย่างไรก็ตามกรณีของนายบุญทรงนั้นเป็นเพียงแค่ 4 สัญญาของการระบายข้าวแบบจีทูจี แต่ยังมีอีก 8 สัญญาที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะมีการชี้มูลความผิดต่อไป และยังมีคดีอาญาที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีก
เช่นเดียวกันคดีความรับผิดของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เนื่องจากตำแหน่งนายกฯ ไม่ได้สังกัดกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ทางกระทรวงการคลังเป็นต้นทางจะมีการแจ้งตัวเลขความรับผิดออกมาในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ และคดีอาญาที่อยู่ในขั้นตอนการไต่สวนพยานอาจจะต้องรอไปราวกลางปี 2560
การดำเนินการทางปกครองด้วยการให้ผู้กระทำผิดต้องชดใช้ค่าเสียหายกับประเทศ นับเป็นมิติใหม่ที่เกิดขึ้นกับนักการเมือง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยมีกรณีการให้ชดใช้ค่าเสียหายคดีทุจริตรถดับเพลิง กรุงเทพมหานครมาก่อนหน้านี้แล้ว
ดังนั้นจากนี้ไปทั้งนักการเมืองและข้าราชการคงไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจโดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากภาคประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่เตือนในเรื่องความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากโครงการประชานิยมได้เหมือนที่ผ่านมา เพราะจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นนอกเหนือไปจากการติดคุก นั่นคือการยึดทรัพย์ที่คงไม่มีนักการเมืองคนไหนหรือข้าราชการรายใดอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง
