หลังจากยึกยักอยู่พักใหญ่ ในที่สุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ และปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางสาวชุติมา บุณยประภัศร ก็ยอมลงนามในหนังสือคำสั่งทางปกครอง เรียกค่าเสียหายกรณีขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือ จีทูจี จากนักการเมืองและข้าราชการรวม 6 นาย
นางอภิรดี ลงนามแทนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ส่วนนางสาวชุติมา ลงนามแทน นางอภิรดี ทั้งสองคนจำต้อง “ สังหารเพื่อนรักให้ตักษัย” เพราะ 3 ใน 6 คนนั้น เป็นข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ รุ่นพี่รุ่นน้อง เห็นหน้าเห็นหลังกันในฐานะเพื่อนร่วมงาน
แต่ในฐานะผู้รับผิดชอบ ไม่อาจหลีกเลี่ยงการลงดาบในครั้งนี้ได้
ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ ทั้ง 3 คน สังกัดกรมการค้าต่างประเทศ คือ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดี นายทิฆัมพร นาทวรฑัต อดีตรองอธิบดี และนายอัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ โดยเรียกค่าเสียหายคนละ 4,000 ล้านบาท มากกว่านักการเมือง ที่ตัวเองยอมเป็นมือเป็นไม้ให้ถึงเท่าตัว
นักการเมืองอีก 3 คนคือ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ โดนเรียกค่าเสียหาย 1,770 ล้านบาท นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ 2,300 ล้านบาท และ พ.ต.น.พ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ 4,000 ล้านบาท
รวมค่าสียหายทั้งสิ้น 20,000 ล้านบาท ข้าราชการโดนไปเกินครึ่ง
ทั้ง 6 คน มีสิทธิร้องต่อศาลปกครอง ให้ยกเลิกคำสั่งเรียกค่าเสียหายนี้ และขอให้ศาลออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ระงับการเรียกค่าเสียหายไว้ก่อน จนกว่าจะพิจารณาคดีเสร็จ หากศาลปกครองเห็นว่า คำสั่งเรียกค่าเสียหายนี้ ชอบธรรมแล้ว ทั้ง 6 คน ต้องหาเงินมาจ่ายค่าเสียหายให้รัฐ ถ้าไม่มีก็ต้องโดนยึดทรัพย์ ซึ่ง นายกรัฐมนตรี ใช้ อำนาจ ตาม ม 44 ออกคำสั่งมารอไว้แล้ว ให้กรมบังคับคดีเป็นผู้ยึดทรัพย์
คดีขายช้าวจีทูจีเก๊นี้ เป็นหนึ่งในสองคดี ทุจริตโครงการจำนำข้าว สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ถูกฟ้องเป็นคดีอาญา ต่อ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อีกคดีหนึ่ง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลยเพียงคนเดียวถูกฟ้องในข้อหา ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว
ทั้งสองคดี อยู่ระหว่างการไต่สวนของศาล ส่วนคำสั่งเรียกค่าเสียหาย เป็นคำสั่งทางปกครอง เอาผิดเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำให้เกิดความเสียหาย โดยไม่จำเป็นต้องรอผลคดีอาญา หากเจ้าตัวไม่เห็นด้วย ก็ให้ไปฟ้องศาลปกครองเอา
สัญญาขายข้าวจีทูจีเก๊ ให้กับประเทศจีน ในคดีนี้มี 4 สัญญา ปริมาณ ข้าว 6.2 ล้านตัน มุลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท ที่เรียกว่า จีทูจีเก๊ ก็เพราะไม่มีการส่งออกข้าวออกไปยังประเทศจีนจริง ข้าวทั้ง 6.2 ล้านตันนั้น ถูกขายให้บริษัทของนายอภิชาต จันทร์สกุล หรือเสี่ยเปี๋ยง ซึ่งเป็นจำเลยคนหนึ่งในคดีอาญา
การแอบอ้างว่า ขายข้าวแบบจีทูจี ก็เพื่อจะได้ขายข้าวให้เสี่ยเปี๋ยงในราคาที่เสี่ยเปี๋ยง พอใจ โดยไม่ต้องมีกาปรระมูล ข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ทั้งสามคน มีหน้าที่รับผิดชอบในการขายข้าวแบบจีทูจี และเป็นคู่สัญญาในสัญญาทั้ง 4 ฉบับ จึงถือว่า รู้เห็น เป็นใจ ยอมเป็นมือเป็นไม้ ให้นักการเมืองโกงข้าว
ข้าราชการเป็นคนทำงาน หากไม่ทำตามคำสั่งนักการเมือง เพราะไม่ถูกต้อง การทุจริตก็จะไม่เกิดขึ้น นักการเมืองโกงได้ ก็เพราะข้าราชการยอมเป็นมือเป็นไม้ เพราะความกลัว หรือเห็นแก่ตำแหน่ง เห็นแก่ผลประโยชน์
คงจะจำกันได้ ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่มีการทำโครงการรับจำนำข้าว กระทรวงพาณิชย์ ไม่ยอมเปิดเผยว่า การขายข้าวจีทูจีนั้น ขายให้กับประเทศใดบ้าง โดยอ้างว่าเป็นความลับ บ่อยครั้งที่นายมนัส และนายฑิฆัมพร ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ยืนยันความโปร่งใสในการขายข้าวแบบจีทูจี
หากมีการขายข้าวแบบจีทูจีจริง ไม่ใช่จีทูจีเก๊ คงไม่ใช่เรื่องยาก ที่ทั้งสองคนจะหาเอกสารการส่งข้าว การชำระเงิน ที่ถูกต้องตามมาตรฐานจีทูจีมายืนยัน ต่อ ปปปช. ไม่ใช่เอกสารที่มีพิรุธ ผิดปกติจากธรรมเนียมปฏิบัติของการขายข้าวแบบจีทูจี จนถูกจับได้ว่า เป็นจีทูจีเก๊
ชะตากรรมของข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ทั้ง 3 คน ที่ต้องจ่ายค่าเสียหายคนละ4 พันล้านบาท และยังไม่รู้ว่า จะต้องรับโทษทางคดีอาญาด้วยหรือไม่ เป็นผลแห่งการกระทำของตัวเอง และเป็นบทเรียนราคาแพงของ การยอมตนเป็นมือเป็นไม้ให้นักกาเรมือง