เพื่อไทยเดินเกมพลิกสถานะจาก “จำเลยมาเป็นโจทก์” อ้างไม่ได้รับความเป็นธรรมฟ้องมวลชน เลือกใช้จุดแข็ง “ยิ่งลักษณ์” ถูกกระทำ โต้ข้อกฎหมายที่ให้ตัวเองได้ประโยชน์ แต่ไม่กล่าวถึงข้อเท็จจริง คราวนี้เลือกใช้ขุนพลเดินหน้าแทน นปช. ใช้โซเชียลกระจายข่าว ดันยิ่งลักษณ์ออกงานถี่ แฝงด้วยนัยยะทางการเมือง ชี้งานนี้เป้าหมายหลักช่วยยิ่งลักษณ์ ทิ้ง “บุญทรง” ตามยถากรรม เชื่อรัฐบาลอ่านเกมนี้ออก
การเดินเครื่องของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการดำเนินคดีทางแพ่งต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย จากการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ทำให้ทีมกฎหมายของยิ่งลักษณ์ผนึกกำลังกันตอบโต้ทั้งในนามส่วนตัวและพรรคเพื่อไทย พร้อมทั้งขนบรรดารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีของเพื่อไทยประสานเสียงไปในทิศทางเดียวกัน
ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนต่อเนื่องจนเดือนตุลาคมที่ผ่านมาและได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงพลเอกประยุทธ์มาแล้วเมื่อ 12 ตุลาคม 2558 และในเดือนพฤศจิกายนนางสาวยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงพลเอกประยุทธ์อีกครั้งเมื่อ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยการโต้แย้งประเด็นด้านกฎหมายที่รัฐบาลดำเนินการเอาผิดต่อตัวเธอ
จนนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาชี้แจงถึงสาเหตุที่ต้องดำเนินการทางกฎหมายต่อนางสาวยิ่งลักษณ์เมื่อ 16 พฤศจิกายน
“กรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริต มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกกล่าวหาเพียงคนเดียว สำหรับการลงโทษ ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ลงมติถอดถอน ทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์ถูกตัดสิทธิที่จะดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ส่วนการดำเนินคดีอาญา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยจะเริ่มไต่สวนพยานในเดือนมีนาคม 2559 และคาดว่าจะมีคำพิพากษาออกมาภายในเดือนธันวาคม 2559”
กลายเป็นช่องให้ทีมกฎหมายของนางสาวยิ่งลักษณ์ ออกมาตอบโต้ทีมกฎหมายของรัฐบาลในวันเดียวกัน ในนามของนางสาวยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงการดำเนินการของรัฐบาล 5 ข้อ
1.รัฐบาลเลือกใช้วิธีให้กระทรวงการคลังออกคำสั่งให้ชำระค่าเสียหายทั้งที่คดีอาญายังไม่เสร็จสิ้น เท่ากับว่ารัฐบาลใช้อำนาจตุลาการแทนศาล
2.เป็นคดีแรกที่นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งของประชาชนถูกยึดอำนาจ ถูกดำเนินคดี จากนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาเพื่อช่วยเหลือประชาชน
3.รัฐบาลต้องตอบกับพี่น้องประชาชนด้วยว่า การที่เลือกใช้วิธีให้กระทรวงการคลังออกคำสั่งให้ชำระค่าเสียหายนั้น ประชาชนได้ประโยชน์อย่างไร และจะรับประกันได้หรือไม่ว่า คณะกรรมการสอบสวนฯ ไม่อยู่ภายใต้การชี้นำ แต่สามารถใช้ดุลพินิจได้อย่างถูกต้องและเที่ยงธรรมเช่นศาล
4.โครงการรับจำนำข้าวได้จ่ายเงินตรงถึงมือชาวนาผ่าน ธ.ก.ส. ทุกบาททุกสตางค์
5.การเพิ่มประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดเป็น “พยานล่วงหน้า” ในคดีอาญา ถือเป็นข้อสังเกตที่เป็นนัยยะสำคัญว่าอาจนำผลการสอบสวนข้อเท็จจริงในคดีแพ่ง
“สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นข้อสังเกตที่ดิฉันขอฝากไว้กับพี่น้องประชาชนเพื่อพิจารณา คงไม่คาดหวังความเป็นธรรมจากรัฐบาลนี้อีกแล้ว ดังนั้นหากรัฐบาลตัดสินใจอย่างไร กรณีนี้ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่คงต้องจารึกในหัวใจของดิฉันและประชาชน และจะเป็นบรรทัดฐานที่นำไปใช้กับนายกรัฐมนตรีที่ดำเนินนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชนหลังจากนี้ต่อไป” นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์บนเฟซบุ๊กของเธอเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2558
นี่คือการฟ้องไปยังมวลชนของพรรคเพื่อไทยว่าเธอไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาลชุดนี้
จากนั้นนายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาตอบโต้นายวิษณุ เครืองาม ในวันรุ่งขึ้นว่า พระราชบัญญัติความรับผิดในทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 กรณีของนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่มีบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ที่ยึดอำนาจมาจากรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ โดยมีข้อกล่าวหาว่าโครงการรับจำนำข้าวทำให้ประเทศชาติเสียหาย อีกทั้งพลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจจากรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ถือเป็นคู่กรณีที่เป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองและมีส่วนได้เสียแล้วตามกฎหมาย
ขณะที่ นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการออกมาบิดเบือนของพรรคเพื่อไทย เป็นการใช้ทฤษฎีปลูกฝังชุดความคิดซ้ำเพื่อให้สังคมเข้าใจว่ารัฐบาลกลั่นแกล้งนางสาวยิ่งลักษณ์ว่าขนาดข้อเท็จจริงในตัวบทกฎหมายที่ตรวจสอบได้เขายังกล้าบิดเบือน แม้รัฐบาลจะยอมตามข้อเรียกร้อง แต่เขาก็จะหาข้อเรียกร้องใหม่ๆ เพื่อให้สังคมเข้าใจว่าตนเองถูกกลั่นแกล้งไม่ได้รับความเป็นธรรม
เพื่อไทยพลิกเกม “เปลี่ยนจำเลยเป็นโจทก์”
ผู้สันทัดกรณีทางการเมืองกล่าวว่า ตอนนี้ทางเพื่อไทยกำลังใช้วิธีการเปลี่ยนจำเลยให้กลับมาเป็นโจทก์ หมายถึงพรรคเพื่อไทยที่ตกอยู่ในสถานะจำเลย รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ อยู่ในสถานะโจทก์ ต้องพลิกสถานการณ์ให้กลับมาเป็นโจทก์แทนคือใช้กระบวนการต่างๆ ที่วางแผนมาเพื่อทำให้เพื่อไทยกลายมาเป็นโจทก์แทนจำเลย และกดให้รัฐบาลปัจจุบันจากสถานะโจทก์กลับลงไปเป็นจำเลยแทน
กรรมวิธีที่เพื่อไทยใช้นั้น พวกเขาเลือกใช้จุดแข็งที่มีอยู่ ทั้งในด้านบุคคลและสถานการณ์ที่ถูกรุกอยู่ในเวลานี้พลิกกลับมาเป็นจุดที่ใช้ต่อสู้กับรัฐบาล
เริ่มที่การชูความเป็นผู้หญิงของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเห็นได้ว่าหลังจากที่สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มเข้มข้นขึ้น คือเริ่มมีการดำเนินคดีกับนางสาวยิ่งลักษณ์มากขึ้น การปรากฏตัวของอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยในกิจกรรมต่างๆ ก็เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ เพื่อให้เธอยังอยู่ในสายตาของมวลชน
ประการที่ 2 ตอกย้ำเรื่องการเข้ามายึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นต้นเหตุให้รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยต้องพ้นสภาพไป พร้อมย้ำว่ารัฐบาลนี้ที่ไม่ได้มาจากระบอบประชาธิปไตย โดยไม่กล่าวถึงต้นเหตุว่าก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 นั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง และพรรคเพื่อไทยทำอะไรไว้บ้าง
ประการที่ 3 หยิบยกเรื่องการดำเนินคดีกับนางสาวยิ่งลักษณ์ว่า เป็นการกระทำเพื่อกลั่นแกล้งนางสาวยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นเพศหญิง จากรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ ที่ทำให้เธอต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ถูกดำเนินคดีอาญาและคดีแพ่งโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม เพื่อสร้างกระแสความสงสารให้กับฐานเสียงที่ยังคงรักพรรคเพื่อไทยอยู่
ประการที่ 4 ตอกย้ำว่าการเรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่งนั้น จะเป็นครั้งแรกที่นายกรัฐมนตรีถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ทั้งๆ ที่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา
ประการที่ 5 การดำเนินคดีในเรื่องโครงการรับจำนำข้าว เท่ากับเป็นการฟ้องไปยังชาวนาทั่วประเทศว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ต้องการยกระดับรายได้ของชาวนา ช่วยให้ชาวนาขายข้าวได้ในราคาสูงกว่าตลาดเกือบเท่าตัว เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้นนั้นเป็นสิ่งผิด
ทำงานเป็นทีม
เรื่องนี้เป็นเกมที่พรรคเพื่อไทยงัดออกมาเล่น ไม่ได้มีเป้าหมายในการต่อสู้ในทางกฎหมายจริงๆ เพียงแต่อ้างถึงเรื่องกฎหมายที่กำลังถูกเล่นงานอยู่ว่า ถูกกลั่นแกล้งจากรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ ถือว่าเป็นเกมที่ทักษิณ ชินวัตร ถนัด เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยใช้วิธีการแบบนี้มาก่อน อย่างกรณีที่ดินรัชดา มีการวางแผนกันทำงานอย่างเป็นขบวนการ ด้วยการดึงเอาตัวละครหลักอย่างระดับอดีตนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีในสังกัดออกมาตอบโต้รัฐบาล
เลือกอดีตรัฐมนตรีที่มีความรู้ด้านกฎหมายอย่างนายวัฒนา เมืองสุข เข้ามาพูดเฉพาะประเด็นที่จะเป็นประโยชน์กับนางสาวยิ่งลักษณ์ หรือเลือกนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง พูดเรื่องประโยชน์ของโครงการจำนำข้าวว่าเป็นผลดีกับเศรษฐกิจ ทำให้คุณภาพชีวิตชาวนาดีขึ้น รวมถึงนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีพลังงาน ที่ขออนุญาต คสช.ไปร่วมงานประจำปีการประชุมสมาชิกสภาคองเกรส ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ตามที่ได้รับเชิญ นัยยะกึ่งขู่รัฐบาลไปในตัว
ประเด็นการให้ข้อมูลเพื่อหักล้างกันทางกฎหมายนั้น ถามว่าคนทั่วไปรู้แค่ไหนว่าใครพูดหมด พูดไม่หมด ใครบิดเบือนหรือไม่ หรือเลือกที่จะพูดแค่ส่วนที่ตัวเองได้ประโยชน์ เพราะข้อกฎหมายเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก ทางเพื่อไทยจึงใช้จุดนี้เลือกพูดเฉพาะในมุมที่ได้เปรียบเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่วางไว้เป็นพอ แน่นอนว่าคนที่รักชอบพรรคเพื่อไทยอยู่แล้วก็ต้องเชื่อเป็นธรรมดา
เลือกโต้เฉพาะที่ได้เปรียบ
กรรมวิธีของทางเพื่อไทย ใช้สื่ออย่างเฟซบุ๊กนามของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เห็นได้จากจดหมายเปิดผนึกถึงพลเอกประยุทธ์ทั้ง 2 ครั้ง เป้าหมายหลักคือ เพื่อกระจายข่าว แจ้ง หรือฟ้องไปยังฐานเสียง นอกจากนี้ภายใต้จดหมายเปิดผนึกยังมีการดึงเอาหัวข้อหลักๆ มาทำกราฟิก เพื่อให้เกิดการแชร์ข้อมูลหรือข้อความที่ทางยิ่งลักษณ์ต้องการจะสื่อ
แม้กระทั่งการเดินทางไปพื้นที่ต่างๆ ก็จะโพสต์รูปพร้อมคำอธิบาย รวมไปถึงการแสดงความเห็นในกรณีเลือกตั้งในพม่า ซึ่งในหลายกรณีถือว่ามีนัยยะในทางการเมือง อย่างเมื่อ 19 พฤศจิกายน นางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางไปทอดกฐินที่พิจิตร มีการมอบข้าวสารจำนวน 2,700 ถุง ให้แก่นักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ เป็นโครงการอาหารกลางวัน พบว่ามีชาวบ้านจำนวนหนึ่งสวมเสื้อยืดลายการ์ตูน สกรีนข้อความว่า “ครอบครัวของฉันในวันที่ไม่มีโครงการรับจำนำข้าว” จากนั้นได้เดินทางต่อไปยังจังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นจังหวัดหลักที่พรรคเพื่อไทยมีฐานเสียงอยู่
“ทีมงานของคุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย เลือกข้อความที่ต้องการนำเสนอเพื่อสร้างผลบวกให้กับนางสาวยิ่งลักษณ์และสร้างภาพลบให้กับรัฐบาล เป็นการส่งข้อความออกไปยังฐานเป้าหมาย ใช้การให้ข้อมูลทางเดียว คือชี้ให้เห็นว่าถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรม มีการจงใจล้างบางพรรคเพื่อไทย”
แต่ไม่ได้ให้ข้อเท็จจริงว่าการเข้ามาบริหารประเทศของนางสาวยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยทำสิ่งที่ผิดพลาดหรือเกิดความเสียหายหรือเกิดการทุจริตอะไรบ้าง ตัดเรื่องการตรวจสอบที่มีมูลทิ้งหรือพยายามบิดเรื่องไปว่าถูกกลั่นแกล้ง ระบุเพียงอย่างเดียวว่าชาวนาได้ประโยชน์ เงินถึงมือชาวนาทุกบาททุกสตางค์
ทีมงานเขาต้องการให้นำเอาข้อมูลเหล่านี้ไปกระจายต่อและนำไปแจ้งต่อฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นแค่เจตนาเพื่อบอกกล่าวข่าวสารหรือต้องการค่อยๆ ปลุกกระแสฐานเสียงให้รวมตัวกันมากขึ้น ย่อมเป็นไปได้ทั้งสิ้น เพราะระดับผู้นำตามหมู่บ้านก็ยังทำกิจกรรมรักษาฐานเสียงอยู่
นี่คือการทำสงครามข้อมูลข่าวสารที่พรรคเพื่อไทยมีความชำนาญและเลือกนำมาใช้ในเวลานี้
ทุ่มช่วย “ยิ่งลักษณ์”-ทิ้ง “บุญทรง”
สถานการณ์ในตอนนี้ที่นางสาวยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยออกมาเคลื่อนไหวมากขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลได้ผ่อนคลายความเข้มงวดลงจากเดิมไปมาก อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะคดีความต่างๆ เริ่มงวดเข้ามาทุกขณะ แน่นอนว่าย่อมไม่เป็นผลดีกับนางสาวยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย จึงต้องออกมาตอบโต้รัฐบาล
เพียงแต่งานนี้เลือกที่จะใช้กลุ่มแกนนำของพรรคเป็นหลัก เพราะต้องใช้เรื่องข้อมูลทางเศรษฐกิจและกฎหมายเข้ามาหักล้างกับรัฐบาล อีกทั้งทีมที่ออกมาชุดนี้ดูดีกว่าชุดของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ภาพลักษณ์ไม่สู้ดีนัก และยังมีความขัดแย้งกันในเรื่องแนวคิดกับกลุ่มคนเสื้อแดง เห็นได้จากการนัดใส่เสื้อแดงเพื่อให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์เมื่อ 1 พฤศจิกายนที่ประธาน นปช.อย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ ไม่เห็นด้วยกับคนเสื้่อแดงในพื้นที่ภาคเหนือ
หากสังเกตให้ดีจะพบว่าการออกมาตอบโต้รัฐบาลจะเน้นไปที่การปกป้องนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นหลัก แม้จะมีระดับรัฐมนตรีที่ถูกดำเนินคดีจำนำข้าวเหมือนกันอย่างนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แต่ดูเหมือนว่าทางพรรคเพื่อไทยคงจะปล่อยให้นายบุญทรงสู้ตามลำพัง
ปัญหาคดีอาญาของนางสาวยิ่งลักษณ์คือ จะตัดสินเมื่อไหร่ หากยึดจากคำพูดของนายวิษณุ เครืองาม ว่าประมาณเดือนธันวาคม 2559 ทีมงานกฎหมายก็ต้องหาวิธีการยืดเวลา อย่างเช่นการขอเพิ่มพยานหรือกรรมวิธีอื่น เพื่อให้พ้นจากรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ไปก่อน และหากเปิดให้มีการเลือกตั้งตามปกติแล้วพรรคเพื่อไทยได้กลับมาอีกครั้ง เรื่องต่างๆ ที่เกิดกับนางสาวยิ่งลักษณ์ก็จะจบง่ายขึ้น
ความพยายามของพรรคเพื่อไทยทั้งหมดในเวลานี้ จึงต้องพยายามเปลี่ยนสถานะจากจำเลยให้กลับมาเป็นโจทก์เพื่อกล่าวหารัฐบาล ซึ่งตอนนี้ก็สามารถกล่าวหารัฐบาลได้ในหลายประเด็น ทั้งเรื่องไม่ได้รับความยุติธรรม รัฐบาลใช้อำนาจแทนศาล หรือกำลังจะเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่อดีตนายกรัฐมนตรีถูกดำเนินคดี เพื่อปลุกมวลชนที่นิ่งเงียบไปหลังจากถูกยึดอำนาจให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยถูกรังแก พยายามยืดอายุของคดีความออกไปให้นานที่สุด
เชื่อว่ารัฐบาลก็ทราบถึงเรื่องนี้ดีว่าทางเพื่อไทยกำลังเดินเกมอย่างไร น่าจะมีวิธีการในการรับมือ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามหลักกฎหมายและบ้านเมืองจะได้เดินหน้าต่อไป
การเดินเครื่องของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการดำเนินคดีทางแพ่งต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย จากการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ทำให้ทีมกฎหมายของยิ่งลักษณ์ผนึกกำลังกันตอบโต้ทั้งในนามส่วนตัวและพรรคเพื่อไทย พร้อมทั้งขนบรรดารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีของเพื่อไทยประสานเสียงไปในทิศทางเดียวกัน
ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนต่อเนื่องจนเดือนตุลาคมที่ผ่านมาและได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงพลเอกประยุทธ์มาแล้วเมื่อ 12 ตุลาคม 2558 และในเดือนพฤศจิกายนนางสาวยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงพลเอกประยุทธ์อีกครั้งเมื่อ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยการโต้แย้งประเด็นด้านกฎหมายที่รัฐบาลดำเนินการเอาผิดต่อตัวเธอ
จนนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาชี้แจงถึงสาเหตุที่ต้องดำเนินการทางกฎหมายต่อนางสาวยิ่งลักษณ์เมื่อ 16 พฤศจิกายน
“กรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริต มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกกล่าวหาเพียงคนเดียว สำหรับการลงโทษ ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ลงมติถอดถอน ทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์ถูกตัดสิทธิที่จะดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ส่วนการดำเนินคดีอาญา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยจะเริ่มไต่สวนพยานในเดือนมีนาคม 2559 และคาดว่าจะมีคำพิพากษาออกมาภายในเดือนธันวาคม 2559”
กลายเป็นช่องให้ทีมกฎหมายของนางสาวยิ่งลักษณ์ ออกมาตอบโต้ทีมกฎหมายของรัฐบาลในวันเดียวกัน ในนามของนางสาวยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงการดำเนินการของรัฐบาล 5 ข้อ
1.รัฐบาลเลือกใช้วิธีให้กระทรวงการคลังออกคำสั่งให้ชำระค่าเสียหายทั้งที่คดีอาญายังไม่เสร็จสิ้น เท่ากับว่ารัฐบาลใช้อำนาจตุลาการแทนศาล
2.เป็นคดีแรกที่นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งของประชาชนถูกยึดอำนาจ ถูกดำเนินคดี จากนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาเพื่อช่วยเหลือประชาชน
3.รัฐบาลต้องตอบกับพี่น้องประชาชนด้วยว่า การที่เลือกใช้วิธีให้กระทรวงการคลังออกคำสั่งให้ชำระค่าเสียหายนั้น ประชาชนได้ประโยชน์อย่างไร และจะรับประกันได้หรือไม่ว่า คณะกรรมการสอบสวนฯ ไม่อยู่ภายใต้การชี้นำ แต่สามารถใช้ดุลพินิจได้อย่างถูกต้องและเที่ยงธรรมเช่นศาล
4.โครงการรับจำนำข้าวได้จ่ายเงินตรงถึงมือชาวนาผ่าน ธ.ก.ส. ทุกบาททุกสตางค์
5.การเพิ่มประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดเป็น “พยานล่วงหน้า” ในคดีอาญา ถือเป็นข้อสังเกตที่เป็นนัยยะสำคัญว่าอาจนำผลการสอบสวนข้อเท็จจริงในคดีแพ่ง
“สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นข้อสังเกตที่ดิฉันขอฝากไว้กับพี่น้องประชาชนเพื่อพิจารณา คงไม่คาดหวังความเป็นธรรมจากรัฐบาลนี้อีกแล้ว ดังนั้นหากรัฐบาลตัดสินใจอย่างไร กรณีนี้ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่คงต้องจารึกในหัวใจของดิฉันและประชาชน และจะเป็นบรรทัดฐานที่นำไปใช้กับนายกรัฐมนตรีที่ดำเนินนโยบายเพื่อช่วยเหลือประชาชนหลังจากนี้ต่อไป” นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์บนเฟซบุ๊กของเธอเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2558
นี่คือการฟ้องไปยังมวลชนของพรรคเพื่อไทยว่าเธอไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาลชุดนี้
จากนั้นนายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาตอบโต้นายวิษณุ เครืองาม ในวันรุ่งขึ้นว่า พระราชบัญญัติความรับผิดในทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 กรณีของนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่มีบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ที่ยึดอำนาจมาจากรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ โดยมีข้อกล่าวหาว่าโครงการรับจำนำข้าวทำให้ประเทศชาติเสียหาย อีกทั้งพลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจจากรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ถือเป็นคู่กรณีที่เป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองและมีส่วนได้เสียแล้วตามกฎหมาย
ขณะที่ นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการออกมาบิดเบือนของพรรคเพื่อไทย เป็นการใช้ทฤษฎีปลูกฝังชุดความคิดซ้ำเพื่อให้สังคมเข้าใจว่ารัฐบาลกลั่นแกล้งนางสาวยิ่งลักษณ์ว่าขนาดข้อเท็จจริงในตัวบทกฎหมายที่ตรวจสอบได้เขายังกล้าบิดเบือน แม้รัฐบาลจะยอมตามข้อเรียกร้อง แต่เขาก็จะหาข้อเรียกร้องใหม่ๆ เพื่อให้สังคมเข้าใจว่าตนเองถูกกลั่นแกล้งไม่ได้รับความเป็นธรรม
เพื่อไทยพลิกเกม “เปลี่ยนจำเลยเป็นโจทก์”
ผู้สันทัดกรณีทางการเมืองกล่าวว่า ตอนนี้ทางเพื่อไทยกำลังใช้วิธีการเปลี่ยนจำเลยให้กลับมาเป็นโจทก์ หมายถึงพรรคเพื่อไทยที่ตกอยู่ในสถานะจำเลย รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ อยู่ในสถานะโจทก์ ต้องพลิกสถานการณ์ให้กลับมาเป็นโจทก์แทนคือใช้กระบวนการต่างๆ ที่วางแผนมาเพื่อทำให้เพื่อไทยกลายมาเป็นโจทก์แทนจำเลย และกดให้รัฐบาลปัจจุบันจากสถานะโจทก์กลับลงไปเป็นจำเลยแทน
กรรมวิธีที่เพื่อไทยใช้นั้น พวกเขาเลือกใช้จุดแข็งที่มีอยู่ ทั้งในด้านบุคคลและสถานการณ์ที่ถูกรุกอยู่ในเวลานี้พลิกกลับมาเป็นจุดที่ใช้ต่อสู้กับรัฐบาล
เริ่มที่การชูความเป็นผู้หญิงของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเห็นได้ว่าหลังจากที่สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มเข้มข้นขึ้น คือเริ่มมีการดำเนินคดีกับนางสาวยิ่งลักษณ์มากขึ้น การปรากฏตัวของอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยในกิจกรรมต่างๆ ก็เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ เพื่อให้เธอยังอยู่ในสายตาของมวลชน
ประการที่ 2 ตอกย้ำเรื่องการเข้ามายึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นต้นเหตุให้รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยต้องพ้นสภาพไป พร้อมย้ำว่ารัฐบาลนี้ที่ไม่ได้มาจากระบอบประชาธิปไตย โดยไม่กล่าวถึงต้นเหตุว่าก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 นั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง และพรรคเพื่อไทยทำอะไรไว้บ้าง
ประการที่ 3 หยิบยกเรื่องการดำเนินคดีกับนางสาวยิ่งลักษณ์ว่า เป็นการกระทำเพื่อกลั่นแกล้งนางสาวยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นเพศหญิง จากรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ ที่ทำให้เธอต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี ถูกดำเนินคดีอาญาและคดีแพ่งโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม เพื่อสร้างกระแสความสงสารให้กับฐานเสียงที่ยังคงรักพรรคเพื่อไทยอยู่
ประการที่ 4 ตอกย้ำว่าการเรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่งนั้น จะเป็นครั้งแรกที่นายกรัฐมนตรีถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ทั้งๆ ที่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา
ประการที่ 5 การดำเนินคดีในเรื่องโครงการรับจำนำข้าว เท่ากับเป็นการฟ้องไปยังชาวนาทั่วประเทศว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ต้องการยกระดับรายได้ของชาวนา ช่วยให้ชาวนาขายข้าวได้ในราคาสูงกว่าตลาดเกือบเท่าตัว เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้นนั้นเป็นสิ่งผิด
ทำงานเป็นทีม
เรื่องนี้เป็นเกมที่พรรคเพื่อไทยงัดออกมาเล่น ไม่ได้มีเป้าหมายในการต่อสู้ในทางกฎหมายจริงๆ เพียงแต่อ้างถึงเรื่องกฎหมายที่กำลังถูกเล่นงานอยู่ว่า ถูกกลั่นแกล้งจากรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ ถือว่าเป็นเกมที่ทักษิณ ชินวัตร ถนัด เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยใช้วิธีการแบบนี้มาก่อน อย่างกรณีที่ดินรัชดา มีการวางแผนกันทำงานอย่างเป็นขบวนการ ด้วยการดึงเอาตัวละครหลักอย่างระดับอดีตนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีในสังกัดออกมาตอบโต้รัฐบาล
เลือกอดีตรัฐมนตรีที่มีความรู้ด้านกฎหมายอย่างนายวัฒนา เมืองสุข เข้ามาพูดเฉพาะประเด็นที่จะเป็นประโยชน์กับนางสาวยิ่งลักษณ์ หรือเลือกนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง พูดเรื่องประโยชน์ของโครงการจำนำข้าวว่าเป็นผลดีกับเศรษฐกิจ ทำให้คุณภาพชีวิตชาวนาดีขึ้น รวมถึงนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีพลังงาน ที่ขออนุญาต คสช.ไปร่วมงานประจำปีการประชุมสมาชิกสภาคองเกรส ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ตามที่ได้รับเชิญ นัยยะกึ่งขู่รัฐบาลไปในตัว
ประเด็นการให้ข้อมูลเพื่อหักล้างกันทางกฎหมายนั้น ถามว่าคนทั่วไปรู้แค่ไหนว่าใครพูดหมด พูดไม่หมด ใครบิดเบือนหรือไม่ หรือเลือกที่จะพูดแค่ส่วนที่ตัวเองได้ประโยชน์ เพราะข้อกฎหมายเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก ทางเพื่อไทยจึงใช้จุดนี้เลือกพูดเฉพาะในมุมที่ได้เปรียบเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่วางไว้เป็นพอ แน่นอนว่าคนที่รักชอบพรรคเพื่อไทยอยู่แล้วก็ต้องเชื่อเป็นธรรมดา
เลือกโต้เฉพาะที่ได้เปรียบ
กรรมวิธีของทางเพื่อไทย ใช้สื่ออย่างเฟซบุ๊กนามของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เห็นได้จากจดหมายเปิดผนึกถึงพลเอกประยุทธ์ทั้ง 2 ครั้ง เป้าหมายหลักคือ เพื่อกระจายข่าว แจ้ง หรือฟ้องไปยังฐานเสียง นอกจากนี้ภายใต้จดหมายเปิดผนึกยังมีการดึงเอาหัวข้อหลักๆ มาทำกราฟิก เพื่อให้เกิดการแชร์ข้อมูลหรือข้อความที่ทางยิ่งลักษณ์ต้องการจะสื่อ
แม้กระทั่งการเดินทางไปพื้นที่ต่างๆ ก็จะโพสต์รูปพร้อมคำอธิบาย รวมไปถึงการแสดงความเห็นในกรณีเลือกตั้งในพม่า ซึ่งในหลายกรณีถือว่ามีนัยยะในทางการเมือง อย่างเมื่อ 19 พฤศจิกายน นางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางไปทอดกฐินที่พิจิตร มีการมอบข้าวสารจำนวน 2,700 ถุง ให้แก่นักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ เป็นโครงการอาหารกลางวัน พบว่ามีชาวบ้านจำนวนหนึ่งสวมเสื้อยืดลายการ์ตูน สกรีนข้อความว่า “ครอบครัวของฉันในวันที่ไม่มีโครงการรับจำนำข้าว” จากนั้นได้เดินทางต่อไปยังจังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นจังหวัดหลักที่พรรคเพื่อไทยมีฐานเสียงอยู่
“ทีมงานของคุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย เลือกข้อความที่ต้องการนำเสนอเพื่อสร้างผลบวกให้กับนางสาวยิ่งลักษณ์และสร้างภาพลบให้กับรัฐบาล เป็นการส่งข้อความออกไปยังฐานเป้าหมาย ใช้การให้ข้อมูลทางเดียว คือชี้ให้เห็นว่าถูกกลั่นแกล้ง ไม่ได้รับความเป็นธรรม มีการจงใจล้างบางพรรคเพื่อไทย”
แต่ไม่ได้ให้ข้อเท็จจริงว่าการเข้ามาบริหารประเทศของนางสาวยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยทำสิ่งที่ผิดพลาดหรือเกิดความเสียหายหรือเกิดการทุจริตอะไรบ้าง ตัดเรื่องการตรวจสอบที่มีมูลทิ้งหรือพยายามบิดเรื่องไปว่าถูกกลั่นแกล้ง ระบุเพียงอย่างเดียวว่าชาวนาได้ประโยชน์ เงินถึงมือชาวนาทุกบาททุกสตางค์
ทีมงานเขาต้องการให้นำเอาข้อมูลเหล่านี้ไปกระจายต่อและนำไปแจ้งต่อฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นแค่เจตนาเพื่อบอกกล่าวข่าวสารหรือต้องการค่อยๆ ปลุกกระแสฐานเสียงให้รวมตัวกันมากขึ้น ย่อมเป็นไปได้ทั้งสิ้น เพราะระดับผู้นำตามหมู่บ้านก็ยังทำกิจกรรมรักษาฐานเสียงอยู่
นี่คือการทำสงครามข้อมูลข่าวสารที่พรรคเพื่อไทยมีความชำนาญและเลือกนำมาใช้ในเวลานี้
ทุ่มช่วย “ยิ่งลักษณ์”-ทิ้ง “บุญทรง”
สถานการณ์ในตอนนี้ที่นางสาวยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยออกมาเคลื่อนไหวมากขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลได้ผ่อนคลายความเข้มงวดลงจากเดิมไปมาก อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะคดีความต่างๆ เริ่มงวดเข้ามาทุกขณะ แน่นอนว่าย่อมไม่เป็นผลดีกับนางสาวยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย จึงต้องออกมาตอบโต้รัฐบาล
เพียงแต่งานนี้เลือกที่จะใช้กลุ่มแกนนำของพรรคเป็นหลัก เพราะต้องใช้เรื่องข้อมูลทางเศรษฐกิจและกฎหมายเข้ามาหักล้างกับรัฐบาล อีกทั้งทีมที่ออกมาชุดนี้ดูดีกว่าชุดของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ภาพลักษณ์ไม่สู้ดีนัก และยังมีความขัดแย้งกันในเรื่องแนวคิดกับกลุ่มคนเสื้อแดง เห็นได้จากการนัดใส่เสื้อแดงเพื่อให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์เมื่อ 1 พฤศจิกายนที่ประธาน นปช.อย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ ไม่เห็นด้วยกับคนเสื้่อแดงในพื้นที่ภาคเหนือ
หากสังเกตให้ดีจะพบว่าการออกมาตอบโต้รัฐบาลจะเน้นไปที่การปกป้องนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นหลัก แม้จะมีระดับรัฐมนตรีที่ถูกดำเนินคดีจำนำข้าวเหมือนกันอย่างนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แต่ดูเหมือนว่าทางพรรคเพื่อไทยคงจะปล่อยให้นายบุญทรงสู้ตามลำพัง
ปัญหาคดีอาญาของนางสาวยิ่งลักษณ์คือ จะตัดสินเมื่อไหร่ หากยึดจากคำพูดของนายวิษณุ เครืองาม ว่าประมาณเดือนธันวาคม 2559 ทีมงานกฎหมายก็ต้องหาวิธีการยืดเวลา อย่างเช่นการขอเพิ่มพยานหรือกรรมวิธีอื่น เพื่อให้พ้นจากรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ไปก่อน และหากเปิดให้มีการเลือกตั้งตามปกติแล้วพรรคเพื่อไทยได้กลับมาอีกครั้ง เรื่องต่างๆ ที่เกิดกับนางสาวยิ่งลักษณ์ก็จะจบง่ายขึ้น
ความพยายามของพรรคเพื่อไทยทั้งหมดในเวลานี้ จึงต้องพยายามเปลี่ยนสถานะจากจำเลยให้กลับมาเป็นโจทก์เพื่อกล่าวหารัฐบาล ซึ่งตอนนี้ก็สามารถกล่าวหารัฐบาลได้ในหลายประเด็น ทั้งเรื่องไม่ได้รับความยุติธรรม รัฐบาลใช้อำนาจแทนศาล หรือกำลังจะเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่อดีตนายกรัฐมนตรีถูกดำเนินคดี เพื่อปลุกมวลชนที่นิ่งเงียบไปหลังจากถูกยึดอำนาจให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยถูกรังแก พยายามยืดอายุของคดีความออกไปให้นานที่สุด
เชื่อว่ารัฐบาลก็ทราบถึงเรื่องนี้ดีว่าทางเพื่อไทยกำลังเดินเกมอย่างไร น่าจะมีวิธีการในการรับมือ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามหลักกฎหมายและบ้านเมืองจะได้เดินหน้าต่อไป