ยุคบริโภคนิยม คนหันมาให้ความสนใจอาชีพ “นักขาย” มากขึ้น โดยเฉพาะจบวิศวะ-แพทย์ เบนเข็มงานขาย ความรู้เฉพาะทาง สร้างแต้มต่อรายได้ล้ำหน้ากว่าคนที่ไม่ได้จบการศึกษาเฉพาะทาง เผยช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยพยายามดึงคนระดับหัวกะทิมาทำงานขายประสบความสำเร็จจนต่างชาติทึ่ง ด้านบริษัทจัดหางานยอมรับกระแสคนขายที่เป็น Specialist เป็นที่ต้องการของตลาด แจงโอกาสทองนักขายมาถึงแล้วหลังเปิดเออีซี ปลายปีนี้ ปัจจุบันมีการดึงนักขายคนไทยไปประจำในต่างประเทศจนเติบโตเป็นระดับหัวหน้า
โลกยุคนี้เปลี่ยนไป คนที่จบปริญญาสายแพทย์ วิศวกรรม เบนเข็มทำงานการขายมากมาย อาชีพพนักงานขายไม่ใช่คนจบ ปวช. ปวส. เหมือนในอดีตที่ผ่านมาแล้ว และจากผลสำรวจ 8 สายงานที่มีรายได้ดีที่สุดของประเทศไทยประจำปี 2558 ของ แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย บริษัทในธุรกิจการให้บริการการจ้างระดับโลก ชี้ให้เห็นว่าอาชีพการขายและสายงานการตลาด สร้างรายได้ดีเป็นอันดับที่ 2 รองจากตำแหน่งการเงินและการบัญชีที่เป็นอันดับ 1 ดังนั้นรายได้จึงเป็นแรงจูงใจที่สำคัญดึงให้คนเข้าสู่ความเป็นนักขายมากขึ้น
โดยรายได้ของสายการขายและการตลาด ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายขายและการตลาด มีรายได้ถึง 420,000 บาท/เดือน และตำแหน่งระดับปฏิบัติการ มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่15,000 - 60,000 บาท/เดือน
นอกจากนี้ การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 31 ธันวาคม 2558 นับว่าเป็นโอกาสทองสำหรับคนที่เรียนจบทางสายวิชาการเฉพาะด้านที่ต้องการเปลี่ยนสายงานมาทำงานด้านขายอีกด้วย
ทั้งนี้มีตัวอย่างของสัตวแพทย์ที่ไม่เอาดีทางการเป็นสัตวแพทย์ แต่เลือกที่จะมาเป็นนักขายจนประสบความสำเร็จ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำและมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เรียกว่า ความรู้เฉพาะด้าน คือ แต้มต่อให้เขานำมาต่อยอดในงานขายได้อย่างดีที่สุด
บริษัทจัดหางานมองเทรนด์งานขาย
น.ส.สุธิดา กาญจนกันติกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า เหตุผล 2 ประการที่ช่วยผลักดันให้กระแสของคนที่เรียนจบสายวิชาการเฉพาะด้าน เบนเข็มมาทำงานด้านการขายนั้น ประการแรก คือ รายได้ ทั้งหมดของงานขาย แบ่งเป็นเงินเดือน และคอมมิชชั่น ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน ค่าเสื่อมยานพาหนะ ค่าโทรศัพท์ เบี้ยขยันและโอที และอื่นๆ ซึ่งงานขายบางผลิตภัณฑ์ค่าคอมมิชชั่นค่อนข้างสูงมาก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่งานขายเป็นงานที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ
ประการที่สอง คือ ความคิดในการเปลี่ยนสายอาชีพ ถือว่าเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆ โดยเฉพาะการเปลี่ยนสายงานเฉพาะด้านมาเป็นนักขายนั้น ถือเป็นความท้าทายมาก
ที่สำคัญในการเปลี่ยนสายงานของตัวเอง มาเป็นนักขาย Specialist นั้นนอกจากปัจจัยทางด้านรายได้และความท้าทายแล้ว ยังต้องเสริมทางทักษะการขายและทัศนคติที่ควรจะมี คือ ชอบนำเสนอ ไม่ชอบอยู่กับที่ ชอบการเจรจาต่อรอง รักงานบริการ และมีคุณสมบัติในการโน้มน้าวใจได้ดี มีความอดทน สนใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ชอบแก้ปัญหา รักความอิสระ ชอบการแข่งขันและความท้าทาย
สำหรับศัพท์ที่ใช้กันมากในเวลานี้ เพื่อเรียกตำแหน่งต่างๆ ในงานกลุ่มการขาย ที่ตามเทรนด์มีทั้ง Sales Representative และพนักงานที่ปรึกษา (Sales Consultant) พนักงานพัฒนาธุรกิจ (Product Development) พนักงานดูแลลูกค้า (Key Account Executive )
ส่วนพฤติกรรมการเปลี่ยนสายงานในปัจจุบันนั้น มีทั้งคนที่ทำงานมาระยะหนึ่ง บางคนเป็นวิศวกรหรือแพทย์ก็ตาม เมื่อทำงานไปถึงจุดจุดหนึ่งอาจจะรู้สึกเบื่อจึงอยากหาความท้าทาย และสำหรับคนที่จบการศึกษาในปัจจุบัน โดยเฉพาะคนเจเนอเรชันวาย ยิ่งมีโอกาสที่จะเปลี่ยนสายงานคอนข้างสูง เพราะการวางแผนด้านการศึกษาของคนที่ศึกษาระดับปริญญาตรีจะไม่ได้วางแผนด้านอาชีพการทำงานในอนาคตไว้ตั้งแต่แรก บางคนเรียนในสายวิชาการที่พ่อแม่ต้องการให้เรียน และเมื่อศึกษาไประยะหนึ่งก็รู้ว่า คณะที่เรียนไม่ตอบโจทย์ชีวิตของตัวเอง ซึ่งมีหลายๆ เคสที่เกิดขึ้น
สิ่งที่ช่วยผลักดันให้คนหันมาทำงานขาย ซึ่งมีทั้งอัตราการเติบโตของงานขาย ในระดับการขายของ Specialist มีตั้งแต่ การขายระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) และการขายระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภค (B2C) ซึ่งอัตราการเติบโตของ 2 รูปแบบมีการเติบโตไปในทิศทางที่ดี ขยายทั้งส่วนที่เป็นธุรกิจ และการขยายของผู้บริโภค แม้ว่าระยะนี้ภาพรวมเศรษฐกิจจะตกต่ำ แต่ในบางอุตสาหกรรมก็ยังมีการขยายตัว
ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน บริษัทต่างๆ ก็ต้องการบุคลากรทางการขายที่เป็น Specialist โดยเฉพาะวิศวกรนักขาย ซึ่งยุคนี้กำลังเป็นที่ต้องการ เห็นได้ว่าในหลายๆ โรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มีวิศวกรขายประจำโรงงานนั้นๆ เพราะมีจุดแข็งที่ความสามารถรู้เรื่องเครื่องกลทั้งหมด และสามารถเป็นที่ปรึกษาให้ลูกค้าได้ รู้ระบบเครื่องจักร และเมื่อลูกค้ามีปัญหาต้องการจะใช้อะไหล่ตัวไหน (Spare Part) ก็สามารถเข้าไปช่วยแก้ปัญหาได้
เออีซีผลักดันให้เกิดจุดเปลี่ยนอีกครั้ง
นางสาวสุธิดา ระบุด้วยว่า หากมองในระดับประเทศหรือระดับเออีซี ถือว่าสายงานการขายระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) มีอัตราการเติบโตมากกว่าร้อยละ 50 จากการขยายการลงทุนไปประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ประเทศไทยอยู่ได้ รวมถึงการให้ความสำคัญกับการส่งออก และการวางแผนการลงทุนในต่างประเทศ และประเทศเออีซี ซึ่งบริษัทจะส่งพนักงาน Business Development เข้าไปสำรวจตลาด และติดต่อกันในระดับธุรกิจกับธุรกิจ
จัดอันดับความนิยมตามอุตสาหกรรม ที่ส่ง Business Development เข้าไปสำรวจตลาด กลุ่มแรก คือ ธุรกิจ FMCG (Fast Moving Consumer Goods) หรือสินค้าอุปโภค-บริโภค และตามมาเป็นลำดับ คือ กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มออโต้พาร์ต และอินฟราสตรักเจอร์ต่างๆ เช่น การวางแผนระบบต่างๆ โดยเฉพาะระบบที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
จากกระแสนี้เอง ทำให้คนที่เรียนจบมาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ ที่ส่วนใหญ่ต้องทำงานด้านโครงสร้าง แต่จากเหตุการณ์ตอนนี้เทรนด์กำลังมาอย่างชัดเจน คือ ฝั่งทางด้านไอที เรียนจบมาอาจจะมองว่าต้องทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ ดีเวลอปเปอร์ แต่ตอนนี้ความต้องการของไอทีเน้นไปทาง บิสซิเนส โซลูชั่น ที่มีการเอาต์ซอร์สกันเป็นรายโปรเจกต์ ดังนั้นแนวโน้มคนที่จบมาทางสายวิศวะนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะนอกเหนือจากการพัฒนาระบบ คือ ต้องขายระบบก่อน
ในเรื่องรายได้เงินเดือนของงานขายนั้นเธอบอกว่า แตกต่างกันมากในแต่ละธุรกิจ แต่สิ่งที่ทำให้คนเรียนจบวิศวะ และแพทย์ เลือกทำงานขายนั้น เป็นเพราะรายได้ดี มีทั้งคอมมิชชั่น และเงินเดือน Specialist จบใหม่มีเงินเดือนไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท และด้วยความที่เป็น Specialist อาจจะได้ขั้นต่ำ 18,000 - 20,000 บาท บางคนมีทักษะงานขายบวกกับสายวิชาการที่เรียนมาโดยตรง สอดคล้องกับการทำธุรกิจในอุตสาหกรรมนั้น จะสามารถหารายได้ไม่ต่ำกว่า 40,000 - 50,000 บาทต่อเดือน
ส่วนคนที่มีประสบการณ์ จะมีการแบ่งเป็น คนที่มีประสบการณ์ตรงหรือย้ายสายมา เช่นเคยขายอุปกรณ์ทางการแพทย์แล้วต้องการเปลี่ยนมาขายสารองค์ประกอบ ซึ่งแต่ละธุรกิจมีอัตราและฐานเงินเดือนไม่เท่ากัน
ขณะที่ตัวเลขการเปลี่ยนสายงานของ Specialist ในส่วนของ แมนเพาเวอร์ พบว่ามีตัวเลขประมาณร้อยละ 20 -30 ถือว่าไม่สูงมาก เพราะว่าอาชีพการขายถึงจะเป็นอาชีพที่ทำรายได้ดี มีความคล่องตัวสูง แต่ก็ถูกกดดันด้วยการรับเป้าการขาย ซึ่งอาศัยเพียงความชอบและอยากมีรายได้จากงานขายเพียง 2 เหตุผลคงไม่ได้ เพราะต้องมีคุณสมบัติอื่นๆ ในเรื่องการปิดการขาย หรือการเป็นที่ปรึกษาให้ลูกค้า
“อาชีพนี้ได้เงินมากก็จริง แต่ก็ต้องทำงานหนักมากกว่าหลายๆ อาชีพ เพราะต้องดูแลความรู้สึกและประสบการณ์ของลูกค้าตั้งแต่การเสนอสินค้า เรียกว่าต้องขายตั้งแต่ตัวเองให้เป็น นำเสนอตัวเองให้ได้ ให้ลูกค้าชอบอยากจะคุย ต้องนำเสนอฟังก์ชันเบนิฟิตของสินค้า ให้ลูกค้าสนใจ ตลอดไปจนถึงการส่งมอบบริการ ขณะเดียวกันต้องเรียนรู้สินค้าคู่แข่งและการแข่งขันในตลาด และนิยามได้ว่า ต้องมีความเป็น Specialist และต้องขายเป็นและมีความรู้และมีจิตใจในเรื่องงานบริการเสริมจุดเด่นด้วย”
จากสัตวแพทย์สู่นักขายมือทอง
ด้าน นายสัตวแพทย์กิตติ ทรัพย์ชูกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท คลีนกรีนเทค จำกัด กล่าวกับ Special Scoop ถึงเหตุผลในการเปลี่ยนสายงาน จากที่ร่ำเรียนทางด้านสัตวแพทย์มา แต่สุดท้ายก็เบนเข็มมาทำงานด้านการขายนั้นเป็นเพราะได้ทำงานตรงกับความชอบส่วนตัว และงานการขายนั้นสร้างรายได้ดี เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ Win-Win ระหว่างตัวเองก็มีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ของบริษัท แถมยังได้ดึงความรู้ที่เรียนมาใช้ประโยชน์ได้
ทั้งนี้รายได้ทั่วไปในสายงานการขายจะแบ่งรายได้จากยอดขาย และคอมมิชชั่น จะไล่กันเป็นขั้นบันได ทั้งนี้ขึ้นกับฝีมือและงานที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งในยุคที่บูมมากๆ รวมกันแล้วรายได้แต่ละเดือนรับไม่น้อยกว่าเลข 6 หลัก บางคนมีรายรับมากถึงกับต้องเสียภาษีขั้นสูงสุด และถ้าในบริษัทข้ามชาติคนที่เป็นหัวหน้าสูงสุดได้เงินเดือน 5 แสนต่อเดือนโดยเฉพาะระดับเซลส์นั้นมีเงินเดือน 30,000 บาท ซูเปอร์ไวเซอร์ 4 0,000 บาท ผู้จัดการขายและผู้จัดการผลิตภัณฑ์ 100,000 บาท ตัวแทนจำหน่ายผู้ดูแลกลุ่มอุตสาหกรรม เงินเดือน 300,000 บาท ระดับ Country Manager เงินเดือน 500,000 บาท
ประการต่อมานอกจากมีรายได้ที่ดีจากการขายผลิตภัณฑ์ของบริษัท แถมยังได้ดึงความรู้ที่เรียนมาใช้ประโยชน์ได้ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาให้ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ในรุ่นอาเจ็กอาแปะที่ต้องการความช่วยเหลือจากสัตวแพทย์ให้แนะนำถึงวิธีการเลี้ยงสัตว์ที่ดี และเมื่อเวลาผ่านไปจนถึงจุดที่อุตสาหกรรมเริ่มพัฒนาขึ้นมีการตั้งสมาคมและชมรมขึ้นมา และจากที่ได้เข้าไปร่วมกิจกรรมก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีทำให้ได้แลกเปลี่ยนเสริมความรู้ด้านงานขายและด้านปศุสัตว์ซึ่งกันและกัน ที่สำคัญเป็นอีกช่องทางที่จะช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้อีกด้วย
อีกเหตุผลของการตัดสินใจครั้งนั้น อาจเป็นจังหวะเดียวกันที่คนเรียนจบสัตวแพทย์จะไม่มีทางเลือกในการทำงานมากนัก โดยมีการแบ่งสายการทำงานออกไปเป็น การทำงานทางด้านราชการ ซึ่งไม่ค่อยมีการเปิดรับสมัครและเงินเดือนน้อย ส่วนอีกทางเลือก คือ การเปิดคลินิกรักษาสุนัข แมว หรือปศุสัตว์ ที่ตรงกับความชอบส่วนตัว ซึ่งในยุคนั้น มีงานปศุสัตว์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในลักษณะการขายผลิตภัณฑ์ให้ฟาร์มเลี้ยงสัตว์เปิดรับอยู่
ทุกคนเป็นนักขายได้
อีกทั้งการศึกษาในประเทศไทยในระดับมหาวิทยาลัยในทุกคณะไม่มีการเรียน การสอนทางด้านขายโดยตรง แต่ทุกคนก็สามารถไต่เต้าขึ้นมาจนประสบความสำเร็จในงานด้านการขายได้ ซึ่งรูปแบบการดำเนินธุรกิจมีหลายลักษณะ ทั้งที่ซื้อมาขายไป ธุรกิจการขายระหว่างธุรกิจกับธุรกิจด้วยกัน และที่มีความแตกต่าง คือ ธุรกิจในอุตสาหกรรมเฉพาะด้าน ซึ่งพนักงานขายในธุรกิจนี้มีบทบาทที่สำคัญ เพราะต้องสื่อสารกับลูกค้า ทั้งการให้ความรู้ในธุรกิจบริษัทของตัวเอง ความรู้ในผลิตภัณฑ์ ความรู้ในอุตสาหกรรมนั้นๆ ซึ่งการที่จะสามารถเข้าถึงตอบโจทย์ แก้ปัญหาให้ลูกค้าได้อย่างชัดเจน จะต้องใช้คนที่มีความรู้เฉพาะด้านมากๆ
ในจุดนี้ถือว่าเป็นโอกาสทำให้ในตอนที่เรียนจบสัตวแพทย์มานั้น สามารถนำความรู้มาต่อยอดได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งเทรนด์ของปศุสัตว์ตอนนั้นเริ่มบูม ขยับจากการเลี้ยงในฟาร์มระดับเล็กมาเป็นการเลี้ยงในระดับอุตสาหกรรมมากขึ้น ทำให้ความต้องการคนที่มีความรู้เฉพาะทาง รู้เรื่องสัตว์ ระบบการเลี้ยง โรคภัยที่ครอบคุลมขึ้น เพราะฉะนั้นการนำคนที่มีความรู้เฉพาะด้านโดยตรงนั้นก็จะสามารถตอบโจทย์ธุรกิจได้ดี
ที่เห็นได้ชัด คือ การเข้าถึงลูกค้าของพนักงานที่จบสายตรงกับอุตสาหกรรมนั้นๆ มีการเข้าถึงลูกค้าในลักษณะที่ให้คำปรึกษาดูแลลูกค้าได้ดีกว่าพนักงานขายที่จบการศึกษาในสายทั่วไป นี่คือสิ่งที่มีความแตกต่าง ซึ่งเมื่อความรู้เฉพาะทางที่ดีกว่าแล้ว ความรู้อื่นๆ ที่เกี่ยวกับการขายนั้นก็เรียนรู้เพิ่มเติมกันได้
“คนที่จบระดับปริญญาตรีความรู้ไม่ต่างกันมากนัก และถ้าได้ฝึกวิธีการขายเสริมเข้าไปก็ดีขึ้น” ประกอบกับศาสตร์ทางด้านการขายนี้บ้านเรารับมาจากต่างประเทศ มีการเปิดสอนในคอร์สต่างๆ ค่อนข้างมาก
คัมภีร์ในการประสบความสำเร็จ
นายสัตวแพทย์กิตติ กล่าวว่า ตัวอย่างของคนที่เก่งและส่วนใหญ่จะมีคอนเซ็ปต์ในการทำงาน ซึ่งที่ผ่านมาจะยึดเคล็ดลับการทำงานขายให้สำเร็จ โดยคิดถึงข้อดีที่เราเป็นคนเอเชีย ซึ่งมีลักษณะเด่นมีความเก่งในการเข้าถึงลูกค้า ขณะที่คนในชาติตะวันตกเองนั้นก็มีรูปแบบของตัวเอง ดังนั้นหากว่าสามารถประสานคาแรกเตอร์ทั้งความเป็นเอเชียและตะวันตกเข้าด้วยกันได้ ก็จะทำให้การทำงานง่ายขึ้น
แต่การจะเป็นนักขายที่ดีได้นั้นต้องมีองค์ประกอบ 6 ข้อดังนี้ คือ ข้อหนึ่ง ทุกคนเป็นนักขายได้ และเป็นได้ดีหากมีลักษณะที่ชอบพบปะคน และมีความขยัน ข้อสอง การขายสามารถเรียนรู้ฝึกฝนให้เก่งได้ ข้อสาม มีเป้าหมาย ซึ่งหมายถึง การนำเทคนิคการบริหารจัดการต่างๆ มาสร้างผลงาน ข้อสี่ ห้ามหยุดอยู่กับที่ ต้องมีการพัฒนาความรู้อย่างต่อเนื่อง ข้อห้า คิดโดยใช้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ข้อหก เป็นบทสรุป หากจะดำเนินการทุกข้อต้องบริหารจัดการมีการวางแผนตลาดอย่างครอบคลุมและรอบคอบ
นายสัตวแพทย์กิตติ กล่าวด้วยว่า เมื่อเทียบกับเพื่อนที่จบสัตวแพทย์รุ่นเดียวกัน ส่วนใหญ่ยึดอาชีพที่เกี่ยวข้องกับสายการศึกษาที่เรียนมา มีทั้งเปิดคลินิก ทำงานราชการเป็นอาจารย์ หรือทำงานบริษัทเอกชน แต่ละคนนั้นมีความสำเร็จที่แตกต่างกัน ซึ่งขึ้นกับเกณฑ์การวัด ถ้าร่ำรวยคนที่ทำงานบริษัทเอกชนมีรายได้มากกว่า แต่อาจมีข้อครหาว่า ไม่ได้ใช้วิชาชีพที่เรียนมาโดยตรง
บางมุมมองอาจจะรู้สึกว่า ทำงานเป็นเซลส์ คือ คนจะนึกถึงภาพลักษณ์พนักงานขายแบบทั่วไป แต่อันที่
จริงแล้ว โจทย์อันดับแรก คือ การขายสินค้า แต่สิ่งที่มากกว่าการขายทั่วไป คือ การมองว่าลูกค้ามีปัญหาอะไร และจะเข้าไปแก้ปัญหาได้อย่างไรบ้าง คือ เข้าไปพร้อมสินค้า ความรู้และการบริการ เช่นเดียวกัน คนเรียนจบสายวิศวกรรมศาสตร์ ที่เบนเข็มมาทำงานขาย ก็สามารถดึงความรู้เฉพาะทางมาช่วยให้การทำงานด้านการขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น
กลุ่มที่เรียนจบมาทางสายสัตวแพทย์ลูกค้าจะให้เกียรติมาก กับอีกกลุ่มที่เรียนเภสัชกร..แล้วทำงานขาย... ซึ่งมีลักษณะการทำงานที่แตกต่างกัน แพทย์ในโรงพยาบาลเรียกเภสัชว่าเป็น รีเทลยา แต่เรียกคนที่จบสัตวแพทย์ที่ทำงานทางด้านการขายว่า “หมอ” หรือเภสัชกร... ที่เข้าไปขายยาในฟาร์มก็มีความแตกต่างที่การทำงานได้ใช้องค์ความรู้ที่เรียนมา
ไทยนำร่องดึงคนมีความรู้เฉพาะทางทำงานขาย
นายสัตวแพทย์กิตติ เล่าว่า บริษัทต่างชาติเข้ามาเปิดบริษัทในเมืองไทยเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ตั้งคำถามเหมือนกันว่า ทำไมบริษัทในประเทศไทยต้องจ้างสัตวแพทย์ หรือ วิศวกร ไปเป็นพนักงานขาย ในช่วงนั้นมีคนจบสายวิชาการทางด้านวิศวกรรมศาสตร์และแพทย์ ทำงานด้านการขายกันมาก ในจุดนี้เองทำให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การพัฒนาอุตสาหกรรม ตลอดจนยอดขาย มีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี และค่อนข้างจะก้าวกระโดดได้ไกลกว่าประเทศอื่น
จากแนวโน้มที่บริษัทสาขาในไทยประสบความสำเร็จ ด้วยนโยบายนี้เอง ก็ส่งผลทำให้แผนกยาสัตว์ของบริษัทขายยายักษ์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับท็อปเทน ต่างปรับการทำงานรับคนที่จบสัตวแพทย์มาทำงานด้านการขายทั้งหมด ซึ่งมีการเปรียบเทียบผลการทำงานขายของคนที่จบด้านสัตวแพทย์กับสายวิชาการทางด้านอื่น ผลปรากฏว่า คนที่จบด้านสัตวแพทย์สร้างผลงานที่ดี
ขณะเดียวกันสิ่งที่เป็นโอกาสของคนไทยในเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้า ที่จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนนั้น หลายๆ ประเทศเริ่มปรับการขาย หันมารับคนที่เรียนจบทางด้านสัตวแพทย์มาทำงานการขาย เรียกว่าเป็นโอกาสของคนไทย เพราะยังมีประเทศที่ไม่สามารถผลิตบัณฑิตที่จบการศึกษาทางด้านสายวิชาการเฉพาะด้านมากนัก เช่น ประเทศมาเลเซียยังต้องรับสมัครสัตวแพทย์จากประเทศฟิลิปปินส์ เพราะปัจจุบันเมื่อเริ่มเข้าระบบทำให้รูปแบบเริ่มเปลี่ยนไป จากเดิมสินค้าที่ขายอะไรก็ได้ ตอนนี้ต้องมีเกณฑ์อื่นๆ อีกมากมาย ทั้งสแตนดาร์ด มีการยอมรับ มีการพิสูจน์
นอกจากนั้นเมื่อลูกค้ามีปัญหา พวกสัตวแพทย์ที่ทำงานขายในบริษัทเอกชนสามารถเข้าฟาร์มผ่าชันสูตรวิเคราะห์ปัญหาได้โดยตรง แต่ระยะหลังเมื่อเกิดไข้หวัดนกระบาด บริษัทและแต่ละฟาร์มที่ธุรกิจมีขนาดใหญ่มากขึ้น เริ่มมีระบบป้องกันไม่อนุญาตให้คนเข้าฟาร์มได้ง่ายๆ เหมือนเมื่อก่อน และยังมีการรับสัตวแพทย์เข้ามาเป็นบุคลากรของบริษัทเลย
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ที่รูปแบบการขายเปลี่ยนไปจากเดิมนี้ คนจะอยู่รอดในวงการนักขายได้ต้องปรับจากความเป็น Genaral มาสู่ความเป็น Specialist ที่ให้คำปรึกษาได้มากขึ้น ปัจจุบันมีการขายโดยใช้ Specialist จากไทยไปประจำในต่างประเทศ โดยเฉพาะการส่งคนไทยไปต่างประเทศ มีคนหลายคนมีผลงานสร้างความสำเร็จในไทยนั้น มีโอกาสไปเติบโตได้ดิบได้ดีเป็นหัวหน้าประจำการในต่างประเทศกันแล้ว