จับตาองค์กรเสรีไทยฯ เป็นแค่ นปช.เปลี่ยนหัว จาก “จตุพร-ณัฐวุฒิ” เป็น “จารุพงศ์-จักรภพ” วางโครงสร้างเป็นองค์กรหลัก ขยายแนวร่วมเชื่อมทุกกลุ่ม เพื่อไทย-นปช.-มูลนิธิกระจกเงา เป้าหมายหลักนักศึกษา-เยาวชน สร้าง “อุดมการณ์” เกลียดชัง “ทหาร-ปฏิวัติ-รัฐประหาร” เบื้องต้นใช้คนแค่ 5,000-10,000 ใช้งบไม่เกิน 100 ล้าน ผุดขบวนการใต้ดินป่วน “บิ๊กตู่” มั่นใจยุทธวิธีแยกกันเดินร่วมกันตี จะประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับการรัฐประหาร!
การเคลื่อนไหวของขั้วอำนาจเก่าอย่างนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ และนายจักรภพ เพ็ญแข ด้วยการออกแถลงการณ์ประกาศจัดตั้ง “องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย” หรือ “The Organization of FreeThai for Human Rights and Democracy (FT-HD)” เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมานั้น แม้หลายๆ ฝ่ายจะบอกต่อกันว่าอย่าให้ค่าหรือให้ราคากับคนกลุ่มนี้หรือแถลงการณ์ขององค์กรนี้ก็ตาม
แต่สำหรับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหัวหน้า คสช. คงจะคิดเช่นนั้นไม่ได้ เพราะการที่นายจารุพงศ์และนายจักรภพ กล้าออกมาประกาศเช่นนี้ มันก็คือเกมท้าทายอำนาจของ คสช.โดยตรง
อีกทั้งเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า ระบอบทักษิณ ยังคงอยู่ และรอวันที่จะลุกขึ้นมาประกาศชัยชนะตามที่ “ผู้นำ” ของพวกเขาวาดหวังไว้
“องค์กรเสรีไทย” ใช้ยุทธวิธีพรรคคอมมิวนิสต์
แหล่งข่าวจากอดีตคนเดือนตุลา บอกว่า การประกาศจัดตั้งองค์กรเสรีไทยฯ นั้นมีที่มาที่ไปชัดเจน และมีการเตรียมการอย่างเป็นกระบวนการ ซึ่งของเดิม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และผู้ที่เกี่ยวข้องวางแผนไว้จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น หากกองทัพเข้าทำการปฏิวัติ รัฐประหาร และจะมีมวลชนที่สนับสนุนระบอบทักษิณลุกขึ้นมาต่อต้าน ในทุกๆ รูปแบบ โดยเฉพาะมีการใช้กองกำลังติดอาวุธเข้าต่อสู้
เนื่องเพราะตั้งแต่ปี 2549 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกยึดอำนาจจาก คมช.ก็เริ่มพูดคุยถึงเรื่องรัฐบาลพลัดถิ่น แต่เริ่มชัดเจนขึ้นก็ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ที่มีการออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของกลุ่ม กปปส.ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำ จึงมีการเตรียมการในระดับที่เรียกว่าพร้อมมาก
“มาพลาดก็ตรงที่มีการรัฐประหาร แล้วทหารไปรู้รายละเอียดของการเคลื่อนไหว จึงเข้าไปจับกุมแกนนำสำคัญๆ ตรวจค้น จับกุมอาวุธ ประกบตัวไว้ สั่งให้ไปรายงานตัว ขยับอะไรไม่ได้”
เมื่อเป็นเช่นนี้คนที่เป็นแกนนำที่อยู่ใน กทม.และในเมืองสำคัญๆ ก็ต้องหยุดนิ่ง ปล่อยให้คนที่ออกไปได้แล้วหรือไปอยู่ต่างประเทศก่อน เป็นผู้พลิกยุทธศาสตร์ต่อไปว่าจะทำอย่างไร และตรงนี้จึงนำไปสู่กระบวนการใต้ดินที่เคยใช้ในพรรคคอมมิวนิสต์มาแล้ว
แต่ปัญหาสำคัญที่จะทำให้คนมาหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อต่อสู้กับอำนาจ คสช.นั้นจะต้องไม่ใช่ “เงิน” เป็นตัวขับเคลื่อนอีกต่อไป แต่จะต้องเร่งปลุกกระแส “อุดมการณ์” ให้เกิดขึ้น ด้วยการสร้างความเกลียดชัง “กองทัพ-ทหาร” และอำนาจรัฐประหารให้จงได้
นี่คือเป้าหมายสำคัญของคนกลุ่มนี้!
ดังนั้นเมื่อบรรดาแกนนำหลายคนที่ไม่ยอมมารายงานตัวและหลบหนีคำสั่ง คสช.ต่างก็มีการส่งสัญญาณและไปรวมพล ณ ที่แห่งหนึ่ง ดึงยุทธศาสตร์สำรองมาใช้เพราะพวกเขาวิเคราะห์สถานการณ์ตั้งแต่ช่วงที่มีการต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ช่วง 6 เดือนตลอดมาจึงเชื่อว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์มีโอกาสเพลี่ยงพล้ำได้แน่
“จรัล มีความเชื่อ ความคิดแบบนี้ บอกกล่าวกันว่าถึงที่สุดก็ต้องไปสร้างขบวนการใต้ดิน จึงจะเคลื่อนไหวได้สะดวก จึงเป็นที่มาขององค์กรเสรีไทยฯ” แหล่งข่าวเล่าถึงการพูดคุยกับ จรัล ดิษฐาอภิชัย
ใช้คนแค่ 5 พัน-1 หมื่นสู้ “บิ๊กตู่”
แหล่งข่าวบอกว่า องค์กรเสรีไทยฯ จะทำงานใต้ดิน มีการเคลื่อนไหวที่ “ลึกซึ้ง” ที่จะทำให้ คสช.ประเมินการเคลื่อนไหว ผลุบๆ โผล่ๆ ตรงไหนได้ค่อนข้างลำบาก เพราะจะมีต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะเป็นการประสานระหว่างต่างประเทศ และในประเทศไทยไปพร้อมๆ กัน และการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสรีไทย จะต่างกับกลุ่มคนเสื้อแดง ภายใต้แกนนำอย่างนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์
“เสรีไทย ก็เป็นฮาร์ดคอร์ แต่การเคลื่อนไหวจะไม่เหมือนกัน นปช.เดิมซึ่งพูดจาก้าวร้าว มีการใช้กำลังเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่อันนี้จะสุขุมลุ่มลึก ใช้อุดมการณ์ เป็นตัวจักรสำคัญ ที่จะต้องทำทุกอย่างเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายให้คนเห็นดี เห็นชอบ เกลียดชังทหาร”
ส่วนผู้ที่เปิดตัวขณะนี้ สังคมอาจจะเห็นแค่ นายจารุพงศ์ กับนายจักรภพ แต่ข้อเท็จจริงแล้วยังมีอีกหลายคนที่อยู่ในระดับแกนนำ เพื่อเชื่อมต่อเป้าหมายให้ได้แนวร่วมในระดับ 5,000-10,000 คน ซึ่งจะทำให้การเคลื่อนไหวง่ายขึ้นทั้งในเมืองและต่างจังหวัดในเวลาเดียวกัน เพราะหากมีคนจำนวนมากไปกว่านี้ จะควบคุมได้ยากและทำให้ความลับรั่วไหลได้ง่ายเช่นกัน
แหล่งข่าวบอกว่า ในต่างประเทศนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องคดีอาญาพัวพันคดีทุจริตคอร์รัปชัน และนายจักรภพ ซึ่งมีความผิดข้อหาหมิ่นเบื้องสูงตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีการเคลื่อนไหวประสานกลุ่มต่างๆ ไว้แล้ว เนื่องจากทั้ง 2 คนต้องระหกระเหินมาอยู่ต่างประเทศเป็นเวลาหลายปี และก็รู้ว่าเป็นการยากที่จะกลับเข้าประเทศไทยโดยไม่ถูกดำเนินคดี และเมื่อเขาเลือกที่จะสู้แล้ว จึงหาทุกๆ ช่องทางที่จะทำให้สิ่งที่เขาคิดไว้บรรลุผล
องค์กรเสรีไทย จึงเป็นช่องทางเดียวในเวลานี้ที่น่าจะทำได้ ส่วนจะนำไปสู่รัฐบาลพลัดถิ่นได้หรือไม่นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และแกนนำ คงต้องใช้เวลานานจึงจะก้าวสู่ตรงนั้น
เดินหน้ามุ่งสู่ยุโรป
อย่างไรก็ดี ผู้ที่มีบทบาทในองค์กรเสรีไทยฯ นั้น คนเดือนตุลาฯ บอกว่า ต้องยกให้ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย กับนายสุนัย จุลพงศธร ที่มีการผนึกพลังกันเคลื่อนไหวมาเป็นเวลาปีกว่าแล้ว ซึ่งนายจรัลนั้น มีจุดแข็งตรงที่เป็นคนที่สามารถเชื่อมต่อได้ทั้งในและต่างประเทศ ด้วยประสบการณ์การทำงานมวลชนในเขตเหนือ อีสาน ต่อไปยังประเทศลาว
โดยในช่วงหลังเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาฯ นายจรัลซึ่งเป็นแกนนำนักศึกษาและเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยอาวุธกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ด้วยการเดินทางเข้าไปทางเขตฐานที่มั่นเขาค้อ-ภูหินร่องกล้า จากนั้นถูกส่งไปยังฐานที่มั่นน่านเหนือ ร่วมกับกลุ่มปัญญาชนปฏิวัติคนอื่นๆ และจากจุดนี้ทำให้เขามีสหาย เหนือ อีสาน และฝั่งลาวที่เคยร่วมอุดมการณ์มาด้วยกัน และเป็นจุดสำคัญที่มีการบอกกล่าวกันว่าเขาใช้เส้นทางที่ประเทศเพื่อนบ้านที่เขาคุ้นเคยต่อเครื่องบินไปยังประเทศทางยุโรปซึ่งมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ฝรั่งเศส ที่จรัลคุ้นเคยอยู่แล้ว ในช่วงที่เขาออกจากป่า ก็บินไปเรียนต่อด้านประวัติศาสตร์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายปี ก่อนจะบินกลับมาทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
แหล่งข่าวบอกอีกว่า หลังเขากลับจากปารีสและมาทำงานด้านสิทธิมนุษยชนนั้น ถือว่าเขากลับเข้ามาสู่เส้นทางนักเคลื่อนไหวจากป่าสู่เมือง และเป็นการสร้างฐานมวลชนในเมืองได้เป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งมาจากหน้าที่การงานที่เขาทำมีส่วนหนุนในฐานะประธานสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.), กรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.), กรรมการวางแนวปฏิบัติและแผนแม่บททางด้านสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, กรรมการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ที่ปรึกษาคณะกรรมการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเขายังเป็นแกนนำชุดแรกของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นต้น
“มีการเคลื่อนไหวจัดตั้งในเขตเมืองเป็นทางลับมายาวนาน ในภาคเหนือ อีสานและภาคกลาง ด้วยนิสัยเขาสุขุม เงียบๆ ไม่ได้โฉ่งฉ่างเหมือนสุนัย จึงระดมคนสร้างแนวคิดได้ดี”
ส่วนนายสุนัย แม้จะเป็นนักกิจกรรม แต่ก็เป็นการเดินแบบนักการเมืองเพราะเส้นทางชีวิตของสุนัย ก็อยู่ในสายการเมืองโดยตรง จึงมีการเดินสายแลกเปลี่ยน เปิดเวที และสานสัมพันธ์กับกลุ่มเสื้อแดง ทั้งในประเทศและต่างประเทศมาโดยตลอดเช่นกัน
ขณะที่นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย คนนี้อาจไม่โดดเด่นในสายตาของคนเดือนตุลาฯ ในการที่จะเข้ามาเป็นแกนนำในการทำงานใต้ดิน แต่คนเดือนตุลาฯ ก็เชื่อกันว่าด้วยศักยภาพและสายสัมพันธ์ตั้งแต่รุ่นพ่อ คือ จารุบุตร เรืองสุวรรณ อดีตประธานวุฒิฯ อดีตประธานรัฐสภา และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดขอนแก่น 5 สมัย ที่มีฐานมวลชนในแถบอีสาน เหนือ บวกกับตัวนายจารุพงศ์ ที่เป็นข้าราชการฝ่ายปกครองและเข้ามาทำงานการเมืองในมุ้งของ พ.ต.ท.ทักษิณ หลายปี ก็จะสามารถนำพาองค์กรเสรีไทยฯ ก้าวไปสู่จุดสำเร็จได้
ส่วนนายจักรภพก็มีความโดดเด่น เป็นตัวของตัวเองสูง มีความรู้ ความสามารถ มีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง และทำให้ดูเหมือนว่าแยกกันเดินกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ดีกว่าบรรดาแกนนำคนเสื้อแดง
“จักรภพ ในสายตาคนเดือนตุลาฯ เขาเป็นตัวของตัวเองสูง มีความเป็นผู้นำได้ และดูไม่ใช่ซุกอยู่ใต้ปีกทักษิณ เหมือนจตุพร ณัฐวุฒิ แรมโบ้ โกตี๋ ซึ่งปฏิบัติกับทักษิณเสมือนเป็นแนวร่วม ไม่ใช่ทักษิณเป็นหัวหน้าเขา”
อย่างไรก็ดี ในการเคลื่อนไหวขององค์กรเสรีไทยฯ นั้น แหล่งข่าวย้ำว่าจะมีโครงสร้างที่ชัดเจน คือองค์กรเสรีไทยฯ จะเป็นองค์กรหลัก และมีแนวร่วมที่เปรียบเสมือนแขนขาที่สามารถสื่อสาร ติดต่อเชื่อมโยงกันได้ทั้งหมด ทั้งพรรคเพื่อไทย, นปช., มูลนิธิกระจกเงา, รากหญ้า (ชาวนา), นักวิชาการ, นักศึกษาและเยาวชน เป็นต้น
“เขาจะหาวิธีสื่อไปยังคนที่ไม่ชอบการรัฐประหาร โดยผ่านแนวร่วมที่ถูกกำหนดประมาณ 5 พันถึง 1 หมื่น เพื่อการดูแลได้ง่าย ความลับจะต้องไม่รั่วไหล”
แค่ 100 ล้านปลุก “อุดมการณ์” เกลียดทหาร
อีกทั้งข้อดีการเคลื่อนไหวในรูปองค์กรเสรีไทยฯ นั้น แหล่งข่าวบอกว่า ใช้งบประมาณน้อย เพียงแค่ 100 ล้านบาท ก็จะสามารถอยู่ได้นานหลายปี ไม่เหมือนกับการทำมวลชนแบบแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะมีค่าใช้จ่ายสูงมากทั้งค่าใช้จ่ายรายหัวผู้ที่เข้ามาร่วมชุมนุมในแต่ละครั้ง ค่าจัดกิจกรรมต่างๆ ค่าเวที ค่าอาหาร ที่ใช้เงินสูงเป็นหลักหลายร้อยล้านในแต่ละครั้ง และยังทำให้ความลับก็รั่วไหลได้ง่าย และคนที่จะมาเข้าร่วมในองค์กรเสรีไทยเวลานี้จะอยู่ที่คำว่า “อุดมการณ์” เป็นหลัก!
“ดูให้ดีองค์กรเสรีไทยฯ ไม่ได้เริ่มต้นนับหนึ่ง แต่เขาสามารถสวมได้เลยจากกลุ่มมวลชนที่มีอยู่ พูดง่ายๆ เหมือน นปช.เปลี่ยนหัว คือเอา จารุพงศ์ จักรภพ ไปสวมแทน จตุพร ณัฐวุฒิ เปลี่ยนแนวทางการเดินด้วยการมุดลงใต้ดินแทนการสู้บนดิน แถลงการณ์ฉบับที่ 1 ของเสรีไทย ก็เป็นการป่วน คสช.ได้เหมือนกัน”
ดังนั้นไม่ว่าองค์กรเสรีไทยฯ จะเคลื่อนไหวอย่างไร ทาง คสช.ก็ไม่สามารถรู้ได้ จนกว่าสิ่งต่างๆ จะถูกสื่อออกไปถึงมวลชน คือรู้พร้อมๆ มวลชนนั่นเอง
แหล่งข่าวบอกว่า การเดินขององค์กรเสรีไทยฯ จากนี้ไปก็คือการใช้ขบวนการแนวร่วมจากภายนอกเป็นตัวเสริมให้เป็นพลังขับเคลื่อน โดยเฉพาะการสื่อไปยังคนที่มีอุดมการณ์ไม่ชอบรัฐประหาร ซึ่งไม่ใช่แนวร่วมทางตรงแบบ นปช. มูลนิธิกระจกเงา พรรคเพื่อไทย แต่จะเป็นแนวร่วมที่เป็นพลังบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยอุดมการณ์ ซึ่งหมายถึงพลังเยาวชนคนรุ่นใหม่ พลังนักศึกษา ที่ต่างเชื่อว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตยคืออะไร
“อุดมการณ์ในแนวคิดของคนกลุ่มนี้ มันไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่มันลึกลงไปก็คือความเกลียดชังทหาร รัฐประหาร เผด็จการ ซึ่งอาจไม่ใช่ตัวตนชัดเจน แต่มันคือชุดความคิดที่ว่า สร้างอุดมการณ์ที่เกลียดชังทหาร ต่อต้านทหารได้สำเร็จ จะไปได้ไกล และนั่นคือประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ของพวกเขา”
ดังนั้นถ้าสามารถก้าวไปสู่การสร้าง “อุดมการณ์” ให้บรรลุในสังคมได้แล้ว “ทหาร” ก็ไม่สามารถใช้อำนาจที่มีอยู่เข้ามาทำการปฏิวัติ รัฐประหารได้อีกต่อไป
ยุทธวิธีแยกกันรบ “ใต้ดิน-บนดิน”
ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้น แหล่งข่าวบอกว่า วันนี้พรรคก็ต้องเดินไปตามบทบาทและหน้าที่ในฐานะพรรคการเมือง จัดทำยุทธศาสตร์พรรค ดูแลสมาชิกพรรค ดูแลมวลชนของพรรค เดินตามเงื่อนไขที่ คสช.กำหนด และต้องเตรียมความพร้อมหาก คสช.ก้าวสู่วาระที่ 3 ตามโรดแมปที่กำหนดไว้ คือจัดให้มีการเลือกตั้ง พรรคก็พร้อมที่จะลงเลือกตั้งเช่นกัน
“ที่พรรคปฏิเสธไม่เกี่ยวข้องกับจารุพงศ์และจักรภพ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ใครจะบ้าไปบอกว่าสนับสนุน รู้เห็น ก็ถูกยุบพรรคเพื่อไทยน่ะซิ หรือใครว่าไม่จริง เราถูกยุบพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน และกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีกันมาแล้ว เราคงไม่ยอมให้ซ้ำรอยเดิม”
ทุกคนในพรรคเพื่อไทยจึงต้องระมัดระวังในการทำงานการเมืองเป็นอย่างมาก เพื่อไม่ให้ คสช.พุ่งเป้ามาที่พรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้พรรคเพื่อไทยแข็งแกร่ง มีโอกาสชนะการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในครั้งต่อไป
“ยุทธศาสตร์ของเราก็คือ แยกกันเดินร่วมกันตี สู้ใต้ดินเป็นเรื่ององค์กรเสรีไทยฯ กับแนวร่วม สู้บนดินตามกติกาก็เป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทยที่ต้องก้าวไปสู่เป้าหมายชนะการเลือกตั้งให้ได้ โดยปลุกอุดมการณ์ให้ไปสู่ความสำเร็จไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานหรือไม่ ไม่มีใครตอบได้ แต่ต้องก้าวต่อไป”
ดังนั้น จากนี้ไปต้องจับตาดูว่า องค์กรเสรีไทยฯ จะผุดแถลงการณ์ฉบับที่ 2, 3, 4, 5.......ออกมาอย่างไร และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.จะดำเนินการกับบุคคลเหล่านี้อย่างไร?
การเคลื่อนไหวของขั้วอำนาจเก่าอย่างนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ และนายจักรภพ เพ็ญแข ด้วยการออกแถลงการณ์ประกาศจัดตั้ง “องค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย” หรือ “The Organization of FreeThai for Human Rights and Democracy (FT-HD)” เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมานั้น แม้หลายๆ ฝ่ายจะบอกต่อกันว่าอย่าให้ค่าหรือให้ราคากับคนกลุ่มนี้หรือแถลงการณ์ขององค์กรนี้ก็ตาม
แต่สำหรับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหัวหน้า คสช. คงจะคิดเช่นนั้นไม่ได้ เพราะการที่นายจารุพงศ์และนายจักรภพ กล้าออกมาประกาศเช่นนี้ มันก็คือเกมท้าทายอำนาจของ คสช.โดยตรง
อีกทั้งเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่า ระบอบทักษิณ ยังคงอยู่ และรอวันที่จะลุกขึ้นมาประกาศชัยชนะตามที่ “ผู้นำ” ของพวกเขาวาดหวังไว้
“องค์กรเสรีไทย” ใช้ยุทธวิธีพรรคคอมมิวนิสต์
แหล่งข่าวจากอดีตคนเดือนตุลา บอกว่า การประกาศจัดตั้งองค์กรเสรีไทยฯ นั้นมีที่มาที่ไปชัดเจน และมีการเตรียมการอย่างเป็นกระบวนการ ซึ่งของเดิม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และผู้ที่เกี่ยวข้องวางแผนไว้จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น หากกองทัพเข้าทำการปฏิวัติ รัฐประหาร และจะมีมวลชนที่สนับสนุนระบอบทักษิณลุกขึ้นมาต่อต้าน ในทุกๆ รูปแบบ โดยเฉพาะมีการใช้กองกำลังติดอาวุธเข้าต่อสู้
เนื่องเพราะตั้งแต่ปี 2549 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกยึดอำนาจจาก คมช.ก็เริ่มพูดคุยถึงเรื่องรัฐบาลพลัดถิ่น แต่เริ่มชัดเจนขึ้นก็ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ที่มีการออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของกลุ่ม กปปส.ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำ จึงมีการเตรียมการในระดับที่เรียกว่าพร้อมมาก
“มาพลาดก็ตรงที่มีการรัฐประหาร แล้วทหารไปรู้รายละเอียดของการเคลื่อนไหว จึงเข้าไปจับกุมแกนนำสำคัญๆ ตรวจค้น จับกุมอาวุธ ประกบตัวไว้ สั่งให้ไปรายงานตัว ขยับอะไรไม่ได้”
เมื่อเป็นเช่นนี้คนที่เป็นแกนนำที่อยู่ใน กทม.และในเมืองสำคัญๆ ก็ต้องหยุดนิ่ง ปล่อยให้คนที่ออกไปได้แล้วหรือไปอยู่ต่างประเทศก่อน เป็นผู้พลิกยุทธศาสตร์ต่อไปว่าจะทำอย่างไร และตรงนี้จึงนำไปสู่กระบวนการใต้ดินที่เคยใช้ในพรรคคอมมิวนิสต์มาแล้ว
แต่ปัญหาสำคัญที่จะทำให้คนมาหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อต่อสู้กับอำนาจ คสช.นั้นจะต้องไม่ใช่ “เงิน” เป็นตัวขับเคลื่อนอีกต่อไป แต่จะต้องเร่งปลุกกระแส “อุดมการณ์” ให้เกิดขึ้น ด้วยการสร้างความเกลียดชัง “กองทัพ-ทหาร” และอำนาจรัฐประหารให้จงได้
นี่คือเป้าหมายสำคัญของคนกลุ่มนี้!
ดังนั้นเมื่อบรรดาแกนนำหลายคนที่ไม่ยอมมารายงานตัวและหลบหนีคำสั่ง คสช.ต่างก็มีการส่งสัญญาณและไปรวมพล ณ ที่แห่งหนึ่ง ดึงยุทธศาสตร์สำรองมาใช้เพราะพวกเขาวิเคราะห์สถานการณ์ตั้งแต่ช่วงที่มีการต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ช่วง 6 เดือนตลอดมาจึงเชื่อว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์มีโอกาสเพลี่ยงพล้ำได้แน่
“จรัล มีความเชื่อ ความคิดแบบนี้ บอกกล่าวกันว่าถึงที่สุดก็ต้องไปสร้างขบวนการใต้ดิน จึงจะเคลื่อนไหวได้สะดวก จึงเป็นที่มาขององค์กรเสรีไทยฯ” แหล่งข่าวเล่าถึงการพูดคุยกับ จรัล ดิษฐาอภิชัย
ใช้คนแค่ 5 พัน-1 หมื่นสู้ “บิ๊กตู่”
แหล่งข่าวบอกว่า องค์กรเสรีไทยฯ จะทำงานใต้ดิน มีการเคลื่อนไหวที่ “ลึกซึ้ง” ที่จะทำให้ คสช.ประเมินการเคลื่อนไหว ผลุบๆ โผล่ๆ ตรงไหนได้ค่อนข้างลำบาก เพราะจะมีต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งจะเป็นการประสานระหว่างต่างประเทศ และในประเทศไทยไปพร้อมๆ กัน และการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสรีไทย จะต่างกับกลุ่มคนเสื้อแดง ภายใต้แกนนำอย่างนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์
“เสรีไทย ก็เป็นฮาร์ดคอร์ แต่การเคลื่อนไหวจะไม่เหมือนกัน นปช.เดิมซึ่งพูดจาก้าวร้าว มีการใช้กำลังเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่อันนี้จะสุขุมลุ่มลึก ใช้อุดมการณ์ เป็นตัวจักรสำคัญ ที่จะต้องทำทุกอย่างเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายให้คนเห็นดี เห็นชอบ เกลียดชังทหาร”
ส่วนผู้ที่เปิดตัวขณะนี้ สังคมอาจจะเห็นแค่ นายจารุพงศ์ กับนายจักรภพ แต่ข้อเท็จจริงแล้วยังมีอีกหลายคนที่อยู่ในระดับแกนนำ เพื่อเชื่อมต่อเป้าหมายให้ได้แนวร่วมในระดับ 5,000-10,000 คน ซึ่งจะทำให้การเคลื่อนไหวง่ายขึ้นทั้งในเมืองและต่างจังหวัดในเวลาเดียวกัน เพราะหากมีคนจำนวนมากไปกว่านี้ จะควบคุมได้ยากและทำให้ความลับรั่วไหลได้ง่ายเช่นกัน
แหล่งข่าวบอกว่า ในต่างประเทศนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องคดีอาญาพัวพันคดีทุจริตคอร์รัปชัน และนายจักรภพ ซึ่งมีความผิดข้อหาหมิ่นเบื้องสูงตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีการเคลื่อนไหวประสานกลุ่มต่างๆ ไว้แล้ว เนื่องจากทั้ง 2 คนต้องระหกระเหินมาอยู่ต่างประเทศเป็นเวลาหลายปี และก็รู้ว่าเป็นการยากที่จะกลับเข้าประเทศไทยโดยไม่ถูกดำเนินคดี และเมื่อเขาเลือกที่จะสู้แล้ว จึงหาทุกๆ ช่องทางที่จะทำให้สิ่งที่เขาคิดไว้บรรลุผล
องค์กรเสรีไทย จึงเป็นช่องทางเดียวในเวลานี้ที่น่าจะทำได้ ส่วนจะนำไปสู่รัฐบาลพลัดถิ่นได้หรือไม่นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และแกนนำ คงต้องใช้เวลานานจึงจะก้าวสู่ตรงนั้น
เดินหน้ามุ่งสู่ยุโรป
อย่างไรก็ดี ผู้ที่มีบทบาทในองค์กรเสรีไทยฯ นั้น คนเดือนตุลาฯ บอกว่า ต้องยกให้ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย กับนายสุนัย จุลพงศธร ที่มีการผนึกพลังกันเคลื่อนไหวมาเป็นเวลาปีกว่าแล้ว ซึ่งนายจรัลนั้น มีจุดแข็งตรงที่เป็นคนที่สามารถเชื่อมต่อได้ทั้งในและต่างประเทศ ด้วยประสบการณ์การทำงานมวลชนในเขตเหนือ อีสาน ต่อไปยังประเทศลาว
โดยในช่วงหลังเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาฯ นายจรัลซึ่งเป็นแกนนำนักศึกษาและเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยอาวุธกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ด้วยการเดินทางเข้าไปทางเขตฐานที่มั่นเขาค้อ-ภูหินร่องกล้า จากนั้นถูกส่งไปยังฐานที่มั่นน่านเหนือ ร่วมกับกลุ่มปัญญาชนปฏิวัติคนอื่นๆ และจากจุดนี้ทำให้เขามีสหาย เหนือ อีสาน และฝั่งลาวที่เคยร่วมอุดมการณ์มาด้วยกัน และเป็นจุดสำคัญที่มีการบอกกล่าวกันว่าเขาใช้เส้นทางที่ประเทศเพื่อนบ้านที่เขาคุ้นเคยต่อเครื่องบินไปยังประเทศทางยุโรปซึ่งมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ฝรั่งเศส ที่จรัลคุ้นเคยอยู่แล้ว ในช่วงที่เขาออกจากป่า ก็บินไปเรียนต่อด้านประวัติศาสตร์ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายปี ก่อนจะบินกลับมาทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
แหล่งข่าวบอกอีกว่า หลังเขากลับจากปารีสและมาทำงานด้านสิทธิมนุษยชนนั้น ถือว่าเขากลับเข้ามาสู่เส้นทางนักเคลื่อนไหวจากป่าสู่เมือง และเป็นการสร้างฐานมวลชนในเมืองได้เป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งมาจากหน้าที่การงานที่เขาทำมีส่วนหนุนในฐานะประธานสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.), กรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.), กรรมการวางแนวปฏิบัติและแผนแม่บททางด้านสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, กรรมการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ที่ปรึกษาคณะกรรมการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเขายังเป็นแกนนำชุดแรกของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นต้น
“มีการเคลื่อนไหวจัดตั้งในเขตเมืองเป็นทางลับมายาวนาน ในภาคเหนือ อีสานและภาคกลาง ด้วยนิสัยเขาสุขุม เงียบๆ ไม่ได้โฉ่งฉ่างเหมือนสุนัย จึงระดมคนสร้างแนวคิดได้ดี”
ส่วนนายสุนัย แม้จะเป็นนักกิจกรรม แต่ก็เป็นการเดินแบบนักการเมืองเพราะเส้นทางชีวิตของสุนัย ก็อยู่ในสายการเมืองโดยตรง จึงมีการเดินสายแลกเปลี่ยน เปิดเวที และสานสัมพันธ์กับกลุ่มเสื้อแดง ทั้งในประเทศและต่างประเทศมาโดยตลอดเช่นกัน
ขณะที่นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย คนนี้อาจไม่โดดเด่นในสายตาของคนเดือนตุลาฯ ในการที่จะเข้ามาเป็นแกนนำในการทำงานใต้ดิน แต่คนเดือนตุลาฯ ก็เชื่อกันว่าด้วยศักยภาพและสายสัมพันธ์ตั้งแต่รุ่นพ่อ คือ จารุบุตร เรืองสุวรรณ อดีตประธานวุฒิฯ อดีตประธานรัฐสภา และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดขอนแก่น 5 สมัย ที่มีฐานมวลชนในแถบอีสาน เหนือ บวกกับตัวนายจารุพงศ์ ที่เป็นข้าราชการฝ่ายปกครองและเข้ามาทำงานการเมืองในมุ้งของ พ.ต.ท.ทักษิณ หลายปี ก็จะสามารถนำพาองค์กรเสรีไทยฯ ก้าวไปสู่จุดสำเร็จได้
ส่วนนายจักรภพก็มีความโดดเด่น เป็นตัวของตัวเองสูง มีความรู้ ความสามารถ มีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง และทำให้ดูเหมือนว่าแยกกันเดินกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ดีกว่าบรรดาแกนนำคนเสื้อแดง
“จักรภพ ในสายตาคนเดือนตุลาฯ เขาเป็นตัวของตัวเองสูง มีความเป็นผู้นำได้ และดูไม่ใช่ซุกอยู่ใต้ปีกทักษิณ เหมือนจตุพร ณัฐวุฒิ แรมโบ้ โกตี๋ ซึ่งปฏิบัติกับทักษิณเสมือนเป็นแนวร่วม ไม่ใช่ทักษิณเป็นหัวหน้าเขา”
อย่างไรก็ดี ในการเคลื่อนไหวขององค์กรเสรีไทยฯ นั้น แหล่งข่าวย้ำว่าจะมีโครงสร้างที่ชัดเจน คือองค์กรเสรีไทยฯ จะเป็นองค์กรหลัก และมีแนวร่วมที่เปรียบเสมือนแขนขาที่สามารถสื่อสาร ติดต่อเชื่อมโยงกันได้ทั้งหมด ทั้งพรรคเพื่อไทย, นปช., มูลนิธิกระจกเงา, รากหญ้า (ชาวนา), นักวิชาการ, นักศึกษาและเยาวชน เป็นต้น
“เขาจะหาวิธีสื่อไปยังคนที่ไม่ชอบการรัฐประหาร โดยผ่านแนวร่วมที่ถูกกำหนดประมาณ 5 พันถึง 1 หมื่น เพื่อการดูแลได้ง่าย ความลับจะต้องไม่รั่วไหล”
แค่ 100 ล้านปลุก “อุดมการณ์” เกลียดทหาร
อีกทั้งข้อดีการเคลื่อนไหวในรูปองค์กรเสรีไทยฯ นั้น แหล่งข่าวบอกว่า ใช้งบประมาณน้อย เพียงแค่ 100 ล้านบาท ก็จะสามารถอยู่ได้นานหลายปี ไม่เหมือนกับการทำมวลชนแบบแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะมีค่าใช้จ่ายสูงมากทั้งค่าใช้จ่ายรายหัวผู้ที่เข้ามาร่วมชุมนุมในแต่ละครั้ง ค่าจัดกิจกรรมต่างๆ ค่าเวที ค่าอาหาร ที่ใช้เงินสูงเป็นหลักหลายร้อยล้านในแต่ละครั้ง และยังทำให้ความลับก็รั่วไหลได้ง่าย และคนที่จะมาเข้าร่วมในองค์กรเสรีไทยเวลานี้จะอยู่ที่คำว่า “อุดมการณ์” เป็นหลัก!
“ดูให้ดีองค์กรเสรีไทยฯ ไม่ได้เริ่มต้นนับหนึ่ง แต่เขาสามารถสวมได้เลยจากกลุ่มมวลชนที่มีอยู่ พูดง่ายๆ เหมือน นปช.เปลี่ยนหัว คือเอา จารุพงศ์ จักรภพ ไปสวมแทน จตุพร ณัฐวุฒิ เปลี่ยนแนวทางการเดินด้วยการมุดลงใต้ดินแทนการสู้บนดิน แถลงการณ์ฉบับที่ 1 ของเสรีไทย ก็เป็นการป่วน คสช.ได้เหมือนกัน”
ดังนั้นไม่ว่าองค์กรเสรีไทยฯ จะเคลื่อนไหวอย่างไร ทาง คสช.ก็ไม่สามารถรู้ได้ จนกว่าสิ่งต่างๆ จะถูกสื่อออกไปถึงมวลชน คือรู้พร้อมๆ มวลชนนั่นเอง
แหล่งข่าวบอกว่า การเดินขององค์กรเสรีไทยฯ จากนี้ไปก็คือการใช้ขบวนการแนวร่วมจากภายนอกเป็นตัวเสริมให้เป็นพลังขับเคลื่อน โดยเฉพาะการสื่อไปยังคนที่มีอุดมการณ์ไม่ชอบรัฐประหาร ซึ่งไม่ใช่แนวร่วมทางตรงแบบ นปช. มูลนิธิกระจกเงา พรรคเพื่อไทย แต่จะเป็นแนวร่วมที่เป็นพลังบริสุทธิ์ เต็มไปด้วยอุดมการณ์ ซึ่งหมายถึงพลังเยาวชนคนรุ่นใหม่ พลังนักศึกษา ที่ต่างเชื่อว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตยคืออะไร
“อุดมการณ์ในแนวคิดของคนกลุ่มนี้ มันไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่มันลึกลงไปก็คือความเกลียดชังทหาร รัฐประหาร เผด็จการ ซึ่งอาจไม่ใช่ตัวตนชัดเจน แต่มันคือชุดความคิดที่ว่า สร้างอุดมการณ์ที่เกลียดชังทหาร ต่อต้านทหารได้สำเร็จ จะไปได้ไกล และนั่นคือประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ของพวกเขา”
ดังนั้นถ้าสามารถก้าวไปสู่การสร้าง “อุดมการณ์” ให้บรรลุในสังคมได้แล้ว “ทหาร” ก็ไม่สามารถใช้อำนาจที่มีอยู่เข้ามาทำการปฏิวัติ รัฐประหารได้อีกต่อไป
ยุทธวิธีแยกกันรบ “ใต้ดิน-บนดิน”
ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้น แหล่งข่าวบอกว่า วันนี้พรรคก็ต้องเดินไปตามบทบาทและหน้าที่ในฐานะพรรคการเมือง จัดทำยุทธศาสตร์พรรค ดูแลสมาชิกพรรค ดูแลมวลชนของพรรค เดินตามเงื่อนไขที่ คสช.กำหนด และต้องเตรียมความพร้อมหาก คสช.ก้าวสู่วาระที่ 3 ตามโรดแมปที่กำหนดไว้ คือจัดให้มีการเลือกตั้ง พรรคก็พร้อมที่จะลงเลือกตั้งเช่นกัน
“ที่พรรคปฏิเสธไม่เกี่ยวข้องกับจารุพงศ์และจักรภพ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ใครจะบ้าไปบอกว่าสนับสนุน รู้เห็น ก็ถูกยุบพรรคเพื่อไทยน่ะซิ หรือใครว่าไม่จริง เราถูกยุบพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน และกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีกันมาแล้ว เราคงไม่ยอมให้ซ้ำรอยเดิม”
ทุกคนในพรรคเพื่อไทยจึงต้องระมัดระวังในการทำงานการเมืองเป็นอย่างมาก เพื่อไม่ให้ คสช.พุ่งเป้ามาที่พรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้พรรคเพื่อไทยแข็งแกร่ง มีโอกาสชนะการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในครั้งต่อไป
“ยุทธศาสตร์ของเราก็คือ แยกกันเดินร่วมกันตี สู้ใต้ดินเป็นเรื่ององค์กรเสรีไทยฯ กับแนวร่วม สู้บนดินตามกติกาก็เป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทยที่ต้องก้าวไปสู่เป้าหมายชนะการเลือกตั้งให้ได้ โดยปลุกอุดมการณ์ให้ไปสู่ความสำเร็จไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานหรือไม่ ไม่มีใครตอบได้ แต่ต้องก้าวต่อไป”
ดังนั้น จากนี้ไปต้องจับตาดูว่า องค์กรเสรีไทยฯ จะผุดแถลงการณ์ฉบับที่ 2, 3, 4, 5.......ออกมาอย่างไร และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.จะดำเนินการกับบุคคลเหล่านี้อย่างไร?