xs
xsm
sm
md
lg

คสช.ประสานฮ่องกงส่งตัว เจ๊เพ็ญกรี๊ด!ปัดเอี่ยวอาวุธ โยงขอนแกนโมเดล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เมื่อเวลา 10.00 น.วานนี้ (29 มิ.ย.) ที่กองทัพภาคที่ 1 พ.อ.วินธัย สุวารี พ.อ.วีรชน สุคนธปฏิภาค พ.ต.อ.ทรงพล วันธนะชัย ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และทีมโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ร่วมกันแถลงผลการจับอาวุธสงคราม เครื่องกระสุน และยุทธภัณฑ์ต่างๆ ในระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 22 พ.ค.- 25 มิ.ย. 57 ประกอบด้วย ปืนเล็กยาว ปืนกลชนิดต่างๆ จำนวน 144 กระบอก ปืนยาวและปืนลูกซอง จำนวน 258 กระบอก ปืนพกชนิดต่างๆ จำนวน 2,490 กระบอก เครื่องยิงลูกระเบิดแบบ M79 จำนวน 23 เครื่อง เครื่องยิงจรวด RPG จำนวน 9 เครื่องยิง ลูกระเบิดขว้างชนิดต่างๆ จำนวน 330 ลูก และวัตถุระเบิดชนิดต่างๆ จำนวน 134 รายการ กระสุนปืนชนิดต่างๆ จำนวน 50,000 นัด กระสุนระเบิดแบบ M79 จำนวน 166 นัด ลูกจรวด RPG จำนวน 57 ลูก และเสื้อเกราะ 426 รายการ
ทั้งนี้ เป็นความร่วมมือของ กองทัพภาค 1-4 ประกอบด้วย กองทัพเรือ (ทร.) กองทัพอากาศ (ทอ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และฝ่ายความมั่นคงที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย ตั้งจุดตรวจความมั่นคงร่วมในพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อป้องกันและสร้างความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชน
พ.อ.วินธัย กล่าวว่า อาวุธที่นำมาแถลงในครั้งนี้ อาจจะต้องทำการสืบสวนสอบสวนว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลใดหรือไม่ จากข้อมูลที่มีระบุว่า ในจังหวัดสมุทรสาคร มีประวัติการใช้อาวุธอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจะต้องเข้ากระบวนการสอบสวนที่ชัดเจน ก่อนจะระบุรายละเอียดต่างๆ สำหรับอาวุธที่อยู่ในควบควบคุมของกองทัพภาคที่ 3 - 4 ยังไม่สามารถนำออกมาชี้แจงได้
ส่วนบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับอาวุธที่จับกุมได้นั้น ต้องให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องโดยตรงมาตอบคำถาม เพราะที่ผ่านมาจากการให้ข้อมูลและการวิเคราะห์ของสื่อ มีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ดังนั้น ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะทำทุกมาตรการให้ประชาชนทุกคนมีความสุขและปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามีบุคคลที่มีความคิดต่างอยู่ในการกระทำผิดต่างๆ ที่เป็นความผิดร้ายแรง ซึ่งทางสังคมโลก จะไม่ยอมรับเด็ดขาด
ด้าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า จากการจับกุมอาวุธสงครามจำนวนมากนั้น พนักงานสอบสวนได้สืบสวนขยายผล พบว่า นายจักรภพ เพ็ญแข มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีการลักลอบมีอาวุธสงครามในครอบครองจำนวนมาก จึงได้ขออนุมัติหมายจับจากศาลทหาร จังหวัดสระบุรี และศาลเห็นชอบอนุมัติหมายจับ นายจักรภพ กับพวก รวม 8 คน ส่วนบุคคลอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดหา จะขออนุมัติหมายจับต่อไป
ทั้งนี้ อาวุธกระสุนปืน และยุทธภัณฑ์ต่างๆ เป็นผลการปฏิบัติงานของกองกำลังรักษาความสงบ กองทัพภาคที่ 1 และ 2 โดยเฉพาะในส่วนของขอนแก่นโมเดล ที่มีของกลางเป็นจำนวนมาก การตรวจยึดมาจากกลุ่มกำลังติดอาวุธ และการลักลอบนำมาทิ้งในหลายพื้นที่ ซึ่งสามารถยืนยันได้ว่า กลุ่มกองกำลังติดอาวุธมีอยู่จริง และเตรียมการที่จะก่อเหตุรุนแรง

**ประสานฮ่องกงส่งตัว "เจ๊เพ็ญ"
พล.ต.อ.สมยศ ยังกล่าวถึง สถานที่พำนักของนายจักรภพ ว่า จากการสืบทราบ พบการเคลื่อนไหวอยู่ที่เกาะฮ่องกง ซึ่งหลังจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะประสานงานไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อประสานขอตัวนายจักรภพ เพราะไทยและฮ่องกง มีสนธิสัญญาการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน คาดว่าสามารถดำเนินการได้ภายในสัปดาห์หน้า
ส่วนการเอาผิดกับนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ รมว.มหาดไทย ที่แถลงการณ์ ตั้งกลุ่มเสรีไทยฯ นั้น พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ขณะนี้มีการหารือกับฝ่ายทหารพระธรรมนูญอย่างรอบคอบ และสามารถเอาผิดบุคคลกลุ่มนี้ได้หลายข้อหา แต่ตำรวจไม่อยากให้สังคมมองว่า เร่งรีบที่จะเอาผิด โดยจะดำเนินการอย่างรัดกุม ตามอายุความของคดี
พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผู้บัญชาการศึกษา ช่วยราชการกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กล่าวว่า กรณีของนายศรัณย์ ฉุยฉาย หรือ "อั้ม เนโกะ" นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะให้เจ้าหน้าที่ติดตามการใช้โซเชียลมีเดีย หากพบมีการกระทำเข้าข่ายความผิดมาตรา 112 และเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ใด จะเข้าจับกุม ดำเนินคดีทันที

**"เจ๊เพ็ญ"กรี๊ดโต้ ปัดเอี่ยวอาวุธที่ถูกยึด
วานนี้ (29 มิ.ย.) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่หลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในฐานะเลขานุการบริหารองค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair”ระบุถึงข้อกล่าวหาเรื่องอาวุธสงคราม และการเพิกถอนหนังสือเดินทาง โดยระบุว่า ไม่มีหลักฐานใดที่สามารถเชื่อมโยงตนกับอาวุธสงคราม ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยึดมาได้ ตนขอท้าให้แสดงหลักฐานออกมา โดยตนตั้งข้อสงสัยว่า การยึดอาวุธเหล่านั้นไม่มีการสอบสวนที่เป็นอิสระ ไม่มีการเก็บลำดับขั้นตอนหลักฐาน และข้อกล่าวหาที่ คสช. หยิบยกขึ้นมานั้น ไม่มีความน่าเชื่อถือ และสามารถถูกหักล้างได้อย่างง่ายดาย หากถูกตรวจสอบอย่างละเอียด ส่วนความพยายามในการทำเรื่องส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนตนในข้อหาดังกล่าว เชื่อว่าไม่มีรัฐบาลไหนที่จะเชื่อฟัง เพราะตนจะได้รับสิทธิในการเข้าถึงหลักฐานทั้งหมด
นายจักรภพ ยังกล่าวว่า กลไกตุลาการเดี่ยวที่ คสช. นำมาใช้ คือการเร่งรัดดำเนินคดีโดยการใช้ศาลทหาร ซึ่งตนเห็นว่ากระบวนการอันควรแห่งกฎหมายและหลักนิติธรรมได้ถูกทำลายลงไปนานแล้ว คดีความทั้งหมดที่นำขึ้นสู่ศาลทหาร เกิดขึ้นในบริบทของรูปแบบระบบกฎหมายที่ปราศจากสิทธิทางกฎหมาย ตนขอแถลงว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้น ในการต่อสู้แบบติดอาวุธ ตนเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ในการต่อสู้ทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรม โดยมีฐานมั่นที่เป็นจริง ผ่านทางเจตนารมณ์ทางประชาธิปไตยของประชาชนไทย หากปล่อยให้ประชาชนไทยแสดงออกซึ่งเจตจำนงค์ประชาธิปไตยแล้ว จะนำไปสู่การฟื้นฟูระบอบที่ชอบด้วยกฎหมายและหลักการรับผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ที่เชื่อมั่นในประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ นอกจากนี้ การที่คสช. เพิกถอนหนังสือเดินทาง จะทำให้ประชาชนที่ต่อต้านคสช. กลายเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง

**จับอาวุธ14 จว.ใต้เกือบพันกระบอก
วานนี้ (29 มิ.ย.) ที่สโมสรรื่นฤดี ค่ายวชิราวุธ กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 4 อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช พล.ท.วลิต โรจนภักดี แม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมด้วยนายตำรวจระดับผู้บัญชาการภาค ทั้งภาค 8 ภาค 9 และ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนใต้ นายทหารระดับสูง ผู้ว่าราชการจังหวัด และตัวแทนใน 14 จังหวัดภาคใต้ โดยวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา เป็นวันสุดท้ายที่ให้โอกาสการส่งคืนอาวุธสงคราม และวัตถุระเบิด
ทั้งนี้ แต่ละกองบังการตำรวจภูธรจังหวัด ได้นำเอาอาวุธปืนของกลางในการกวาดล้างอาวุธปืนสงคราม และวัตถุระเบิดภายใต้คำสั่ง คสช. ทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้รวมเกือบ 1 พันกระบอก ซึ่งแบ่งออกเป็นอาวุธปืนที่มีทะเบียนแต่พกพาโดยผิดกฎหมาย อาวุธปืนที่ไม่มีทะเบียน อาวุธปืนสงครามชนิดต่างๆ เช่น เอ็ม 16 อาก้า คาร์บิน เป็นต้นรวมไปถึงวัตถุระเบิดทั้งระเบิดแบบขว้างสังหาร ลูกปืน ค.60 ลูกระเบิดเอ็ม 79 และเครื่องกระสุนชนิดต่างๆ เกือบ 5 พันนัด
พล.ท.วลิต เปิดเผยว่า สำหรับอาวุธสงคราม อาวุธปืน เครื่องกระสุน และยุทธภัณฑ์ที่ทางเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดได้ มาทั้จากกลุ่มกำลังติดอาวุธ ผู้มีอิทธิพล ผู้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ผิดกฎหมาย และการตรวจพบจากการลักลอบนำมาทิ้งไว้ในหลายพื้นที่ ซึ่งสามารถยืนยันได้ว่า กลุ่มกองกำลังติดอาวุธ กองกำลังกลุ่มต่างๆ มีอยู่จริง และเตรียมการที่จะก่อเหตุรุนแรง และกระทำผิดที่กฎหมาย ทั้งต่อประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งอาวุธที่ตรวจยึดได้นั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ทหาร ที่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ยึดไปอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งได้กลับคืนมาเพียงบางส่วน
แม่ทัพภาคที่ 4 ยังกล่าวถึงอำนาจในการประกาศกฎอัยการศึก หรือ เคอร์ฟิว ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในช่วงเดือนรอมฎอน ว่า จะมีการประเมินสถานการณ์แบบวันต่อวัน ว่าจะใช้การประกาศกฎอัยการศึกหรือไม่ ส่วนมาตรการในพื้นที่ขณะนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ การบูรณาการกำลังร่วมทุกฝ่ายดูแลความปลอดภัยชาวไทยพุทธ และมุสลิมในพื้นที่ และอีกส่วนคือ ผู้นำศาสนาที่ต้องการเห็นเดือนรอมฎอนเป็นเดือนที่มีความสงบสุข ซึ่งมีการรวมตัวกันที่มัสยิดกลางปัตตานี เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งมีแนวทางประกาศออกมา 3 เรื่อง คือ 1.ต้องการความสงบเรียบร้อย 2. ต้องการให้พี่น้องมุสลิมลดละเลิกอบายมุข และ 3. ให้ทุกคนปฏิบัติตนตามหลักศาสนา

**สุดแสนอาลัย ถึงตัวไกล แต่ใจสัมพันธ์
เวลา 16.00 น. วานนี้ หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล เข้ากราบทูลลา พระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ณ ศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย ในโอกาสที่พ้นจากตำแหน่งหน้าที่รองปลัดกระทรวงมหาดไทย และดำรงตำแหน่งเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่ง คสช. มีผลตั้งแต่ 27 มิ.ย.57
"กระผมได้ตั้งสัตยาฐิษฐานว่า จะมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อตรง พัฒนาแนวคิดสู่ตรรกะทางการบริหารจัดการที่ทันสมัย ดำรงเอกลักษณ์ไทย ประหยัดและมั่นคง ยึดมั่นความจงรักภักดีเหนือสิ่งอื่นใด และสำนึกในบุญคุณของแผ่นดิน"

**มท.โยก ขรก.รักษาการมีผล 7 ก.ค.
นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงนามคำสั่งการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง เพื่อให้ข้าราชการ รักษาการแทน ประกอบด้วยตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย โดยระบุว่า เพื่อให้การปฏิบัติราชการกระทรวงมหาดไทย เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ โดย นายกฤษฎา บุญราช ผวจ.สงขลา รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายธำรง เจริญกุล ผวจ.พังงา ไปรักษาราชการแทน ผวจ. สงขลา ให้นายพินิจ หาญพาณิชย์ อธิบดีกรมที่ดิน ไปรักษาการ ผวจ.สมุทรปราการ และให้ นายคณิต เอี่ยมระหงษ์ ผวจ.สมุทรปราการ ไปรักษาการตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย และ นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผวจ.ชุมพร ไปนั่งรักษาการ อธิบดีกรมที่ดิน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2557 เป็นต้นไป

** ค้านสหรัฐฯ แทรกแซงไทย
พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการศึกษา ช่วยราชการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ลงพื้นที่ตรวจสอบพื้นที่หน้าสถานทูตสหรัฐอเมริกา หลังทราบข่าวว่า จะมีการรวมตัวเพื่อแสดงกิจกรรมต่อต้านสหรัฐอเมริกา โดยพล.ต.ต.อำนวย เปิดเผยว่า พบเพียง นายเทพ เวชวิสิฐ ที่อ้างตัวเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เดินทางมายื่นหนังสือต่อสถานทูตอเมริกา เพื่อแสดงท่าทีไม่พอใจ ต่อกรณีเข้ามาแทรกแซงการดำเนินกิจการภายในประเทศของไทย และเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยุติพฤติกรรมดังกล่าว ซึ่งพฤติกรรรมของชายคนนี้ ไม่เข้าข่ายการกระทำความผิดทางกฎหมายที่ห้ามชุมนุมทางการเมือง เนื่องจากเป็นเพียงการแสดงออกถึงความไม่พอใจเท่านั้น และเชื่อว่าการชุมนุมทางการเมือง จะลดลงอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่บรรยากาศรอบสถานทูตเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกระจายกำลังเพื่อสังเกตุการณ์ผู้ที่จะมาแสดงออกทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง พร้อมดูแลอำนวยความสะดวกในด้านการจราจร เนื่องจากมีผู้สื่อข่าวจากหลายสำนักมารอทำข่าวบริเวณดังกล่าวจำนวนมาก

**แนะประยุทธ์ทำการบ้านก่อนเยือน ตปท.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 28 มิ.ย. เมื่อเวลาประมาณ 23.00 น. นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Paisal Puechmongkolถึงสถานการณ์บ้านเมือง ว่า ตนยังมั่นใจบ้านเมืองเราจะดีขึ้น อย่างน้อยก็ดีกว่าก่อนยึดอำนาจแน่ และก็มั่นใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างน้อย 2 ปี หากทำกรรมดี ก็ไปได้ถึง 9 ปี และคนๆนี้แหละที่จะต้องแบกรับภารกิจอันสำคัญยิ่งของบ้านเมืองในห้วงเวลานี้ จะมีผลอย่างสำคัญต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และพระราชวงศ์จักรีด้วย ซึ่งความข้อนี้ ผมเคยบอกพล.ท.ประยุทธ์ ในตอนที่เป็นสนช. ด้วยกันถึง 2 ครั้ง หวังว่ายังคงจำรายละเอียดได้
"ใครเป็นฝ่ายเสธ. ก็ต้องหนัก เหนื่อยหน่อย บอกลูกบอกเมียไว้ได้เลย แต่จงภูมิใจเถิดว่าเกิดมาชาติหนึ่งไม่มีโอกาสไหนจักได้สนองคุณแผ่นดินเสมอด้วยครั้งนี้แล้ว"
ทั้งนี้นายไพศาล ได้ฝากการบ้านล่วงหน้าถึงพล.อ.ประยุทธ์ ดังนี้
1. การตระเตรียมนโยบายที่ชัดเจนเข้าใจง่าย มีหลัก มีธรรม ชอบด้วยโลกนิติ ธรรมนิติ และราชนิติ ไม่เลอะเทอะเหมือนการแถลงนโยบายของนักการเมือง
2. แผนการเดินทางเยือนต่างประเทศ ขอเสนอให้เยือนกลุ่มอาเซียนก่อน แล้วไปจีน จากนั้นอินเดีย และต้องเตรียมล่วงหน้าเป็นเดือนสองเดือนไม่งั้นจะเดี้ยงเอาง่ายๆ
3. การเตรียมการประชุมเอเปกที่กรุงปักกิ่ง เดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะเป็นเวทีนานาชาติขนาดใหญ่สุด นอกจากการประชุมสหประชาชาติ ซึ่งเชื่อว่าจีนจะส่งคำเชิญหลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ นายกฯ แล้ว

** คสช.จะไม่ซ้ำรอย "บิ๊กบัง"
นอกจากนี้ นายไพศาล ยังได้โพสต์ข้อความอีกว่า หลังจากพล.อ.ประยุทธ์ แถลงกรอบเวลาแล้ว ข่าวหลายกระแสเห็นตรงกันว่า
1. คสช. จะยังคงความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ต่อไป หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวแล้ว แต่จะอยู่ในรูปของ มาตรา 17 แบบสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หรือ มาตรา 21 สมัยท่านอาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร หรือว่าจะเขียนไว้ในบทเฉพาะกาล ต้องติดตามต่อไป ซึ่งจะแก้ปัญหาที่เคยเคย หลังใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2549 (เห็นไหมว่า นักร่างรัฐธรรมนูญก็ยังพลาดได้ และทำให้เสื้อแดงเติบโตขึ้น )
2. พล.อ.ประยุทธ์ จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าคสช. และนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะแก้ไขปัญหาที่เคยเกิดเมื่อปี 2549 ที่พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ลูกพี่"บิ๊กบัง" เป็นนายกฯ "บิ๊กบัง"เป็นหัวหน้าคมช. ไม่มีอำนาจอะไร (นี่ก็คือ การพลาดของนักร่างรัฐธรรมนูญ จนทำให้การยึดอำนาจเสียของ และสองท่านนั้นก็มองหน้ากันไม่ติด )
3. ยังไม่แน่ชัดคือ จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมตามแบบที่เคยมีมาแต่อดีต หรือจะหมกเม็ดแบบรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2549 ที่ไม่ออกกฎหมายนิรโทษกรรม แต่ไปเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญปี 49 ว่าที่ยึดอำนาจไม่เป็นความผิด ทำให้เกิดปัญหาทางกฎหมายว่า เมื่อรัฐธรรมนูญถูกยกเลิกความผิดกฎจะยังคงอยู่ จึงต้องมาเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ 2550 ต่อมาอีก และพอจะแก้รัฐธรรมนูญแต่ละที ก็ผวากันทั้งกองทัพ จะเอาแบบเดิมอีกไหมจ๊ะ
นี่สอดคล้องกับชะตาเมืองตามที่ได้เคยบอกไว้ ตั้งแต่แต้ต้นว่า นายกฯ คือผู้มีชื่อ P แต่ไม่ใช่ "ไพศาล" วันนี้ก็น่าจะชัดแล้วว่าชื่อ"ประยุทธ์" ฟ้าดินสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวแล้ว
เดือนกรกฎาคม จะประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวแล้ว ตนยังหาเหตุผลไม่ได้ว่า ทำไมต้องรอมีรัฐบาล และสนช. ไปถึงเดือนกันยายน หรือว่า จะห่วงว่าพล.อ.ประยุทธ์ ยังเป็นข้าราชการประจำ จะเป็นอุปสรรคกระนั้นหรือ
"ถ้าห่วงตรงนี้ ก็เลิกห่วงเถิดครับ ง่ายๆ แค่ไม่เขียนบังคับไว้ในรัฐธรรมนูญว่า นายกฯ หรือรัฐมนตรี จะเป็นข้าราชการประจำไม่ได้ แค่นั้นก็เรียบร้อย ถ้าเป็นอย่างนี้ ก็สามารถมีนายกฯ มีรัฐบาลแบบสากลเข้าบริหารบ้านเมืองได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้ และสามารถมี สนช. ได้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้ด้วย จะดีเสียอีก ที่ได้รัฐบาลแบบสากลมาทำงานก่อนตั้งสองเดือน" นายไพศาลระบุ

******คปต.ชวนลงชื่อนำ "วีระ" กลับไทย
เครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชัน (คปต.) โดยนางจุฬา สุดบรรทัด ทำหนังสือเรื่องขอเชิญลงนามเรียกร้องต่อ คสช. ให้นำนายวีระ สมความคิด เลขาธิการ คปต. กลับคืนสู่ประเทศไทย เพื่อมาทำหน้าต่อต้านคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของ คสช. ทั้งนี้ หนังสือระบุว่าเป็นเวลา 3 ปี 6 เดือนแล้ว ที่นายวีระถูกจำกัดอิสรภาพอยู่ในเรือนจำเปรย์ชอว์ ประเทศกัมพูชา ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสในการติดตาม และลงโทษผู้กระทำการคอร์รัปชัน โดยผู้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์เช่นนายวีระ
ในฐานะนายวีระเป็นผู้หนึ่งที่อุทิศตน ทำประโยชน์แก่สังคมไทย จึงเป็นที่ห่วงใย และมีความหวังว่าจะได้รับอิสรภาพอันใกล้นี้ เพื่อกลับมารับบทบาทสำคัญในการปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป จึงขอเชิญประชาชนไทยผู้สนับสนุน ร่วมลงนามเรียกร้องต่อ คสช. นำนายวีระกลับประเทศไทย.
กำลังโหลดความคิดเห็น