การเมืองถึงจุดเดือด กปปส. เดินหน้ามาตรา 3 ไม่ถอย ตั้งสภาประชาชนให้สำเร็จ มีแผนหลายแผน ประกาศสู้จนกว่าจะชนะ ขณะที่ฝ่าย นปช. ยันการชุมนุมที่อักษะ เป็นภาระสำคัญที่เลิกไม่ได้ หวั่นรุนแรง แต่เชื่อทหารจะไม่ปฏิวัติ ขณะที่โหรบ้านเมืองหลายคนชี้ หนีนองเลือดยาก ระวังปฏิบัติการใต้ดินวางระเบิด-คาร์บอมบ์ 10-11 พ.ค. รุนแรงถึงขีดสุด ชี้จุดจบบ้านเมืองอยู่ที่ทหาร!
หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 9-0 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2557 วินิจฉัยให้นายกรักษาการ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีความผิดฐานโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช. ไม่เป็นธรรม ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 268 ประกอบกับมาตรา 266 (2) (3) ที่ฝ่ายบริหารจะเข้าแทรกแซงแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการไม่ได้ เมื่อรวมกับมาตรา 182 วรรค 1 (7) ที่ทำให้นายกฯ มีความผิดต้องออกจากตำแหน่งทันที ไม่ต้องรอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และรวมถึงการชี้มูลความผิดของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2557 ที่มีมติเป็นเอกฉันท์ 7-0 เช่นกันให้นางสาวยิ่งลักษณ์มีความผิดฐานทุจริตโครงการรับจำนำข้าว
สถานการณ์การเมืองร้อนแรงขึ้นมาทันที เมื่อฝ่ายพรรคเพื่อไทยประกาศแถลงการณ์ทฤษฎีสมคบคิด หวังดิสเครดิตองค์กรศาลระบบยุติธรรมของไทยที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนตัวนางสาวยิ่งลักษณ์เองก็ออกรายการถ่ายทอดเฉพาะกิจยืนยันว่าตัวเองไม่ผิด ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ได้ประกาศตูมขึ้นมาว่า ขณะนี้มีการทำรัฐประหารเกิดขึ้นแล้วในนามของศาลรัฐธรรมนูญ
ความร้อนแรงทางการเมืองเกิดขึ้นอีก เมื่อตั้งแต่กลางดึกวันที่ 7 พฤษภาคม ที่มีการยิงระเบิด M79 ใส่สถาบันจุฬาภรณ์ ธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ บ้านในซอยลาดพร้าว 34 ของนายสุพจน์ ไข่มุกด์ หนึ่งในตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
กระทั่งกลางวันของวันที่ 8 พฤษภาคม ที่มีมือดียิงระเบิดใส่ผู้ชุมนุม กปปส. ที่สวนลุมพินี โชคดีไม่มีผู้บาดเจ็บ
สถานการณ์รุนแรงต่อเนื่องจนวันที่ 9 พฤษภาคม ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. นัดเคลื่อนพลใหญ่เวลา 09.09 น. โดยขบวนนายณัฐพล ทีปสุวรรณ เดินไปสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ขบวนกองทัพธรรม นำโดย ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ แกนนำ ไปสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ขบวนนายอิสสระ สมชัย นายพุฒิพงษ์ ปุณณกันต์ และนายสกลธี ภัททิยกุล ไปสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ขบวนนายชุมพล จุลใส และ น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร ไปสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 ขบวนนายถาวร เสนเนียม ไปสถานีโทรทัศน์วิทยุแห่งประเทศไทยช่อง 11 ถ.วิภาวดี ขบวนนายวิทยา แก้วภราดัย ไปสถานีโทรทัศน์วิทยุแห่งประเทศไทยช่อง 11 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ ส่วนตัวนายสุเทพเดินไปทำเนียบรัฐบาล
ขณะที่ขบวนของหลวงปู่พุทธะอิสระ นำมวลชนไปที่หน้าศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. เพื่อเร่งให้มีการรับคดีชาวนาถูกโกงค่าจำนำข้าวเป็นคดีพิเศษ และเร่งดำเนินคดีผู้ที่หมิ่นสถาบัน แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดออกมารับ หลวงปู่พุทธะอิสระจึงขอเข้าไปด้านในเพื่อแจ้งความ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุม ในเวลาประมาณ 12.30 น. ทำให้เบื้องต้นมีผู้บาดเจ็บแล้ว 5 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 2 คน
จากนั้นนายสุเทพ และนายนิติธร ล้ำเหลือ ผู้ประสานงาน คปท. นำมวลชนเดินออกจากเวที คปท.เพื่อไปชุมนุมที่หน้าสภาผู้แทนราษฎร เพื่อยื่นหนังสือถึงรองประธานวุฒิสภา
กปปส. สู้ยาวไม่ถอย เดินหน้ามาตรา 3
ศึกครั้งนี้ของ กปปส. น่าจะเป็นศึกที่ไม่จบง่ายๆ แล้ว เมื่อเกิดการตอบโต้อย่างรุนแรงขึ้นของเจ้าหน้าที่ ศอ.รส. ดังกล่าว อีกทั้งแผนของ กปปส. ครั้งนี้น่าจะเป็นแผนการสู้ยาว เป็นการสู้จนกว่าจะชนะตามที่นายสุเทพประกาศไว้
“การที่มวลมหาประชาชนมารอที่ประชุมวุฒิสภานั้น เป็นความต้องการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าหารือ มีข้อเสนอให้วุฒิสภาเสนอนายกฯ ตามมาตรา 3 เนื่องจากขณะนี้เมื่อตำแหน่งนายกฯ ว่างลง สภาฯ ก็ว่าง ทำให้อำนาจกลับคืนสู่ประชาชนที่จะมีสิทธิในการเสนอข้อคิดเห็นการแต่งตั้งนายกฯ ได้” นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา กล่าว
การรุกไปที่ที่ประชุมวุฒิสภาของนายสุเทพวันนี้จึงมีความหมาย ที่ต้องการแสดงให้เห็นถึงภาวะของบ้านเมืองที่มีความเป็น “สุญญากาศ” และเป็นการเดินหน้าตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 เพื่อตั้งสภาประชาชนจากประชาชนทุกสาขาอาชีพ โดยสภาประชาชนจะเป็นสภาที่กำหนดทั้งแนวนโยบาย และทำหน้าที่สภานิติบัญญัติ ซึ่งถือเป็นคณะรัฐมนตรีชั่วคราวตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 7
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ง่าย ทำให้นายสุเทพประเมินไว้แล้วว่า การกดดันวุฒิสภา เป็นเพียงแนวทางหนึ่งที่ กปปส.จะขับเคลื่อน และมีแผนอื่นๆ เตรียมที่จะเดินหน้าต่อไป เพื่อนำไปสู่ความเป็นการปฏิวัติโดยภาคประชาชนให้สำเร็จในศึกครั้งนี้
“ผมมองว่าก็เป็นแนวทางหนึ่งของมวลมหาประชาชน แต่วุฒิสภาเองก็เป็นหนึ่งในแนวทางเท่านั้น การเลือกประธานวุฒิวันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบ แต่ไม่ใช่ส่วนหลัก ไม่ได้มีผลโดยตรงต่อการขับเคลื่อนของ กปปส. คือ กปปส. มีแนวทางหลายแนวทางและการเลือกประธานวุฒิเป็นทางเลือกหนึ่งที่ไม่ได้เป็นปัจจัยชี้ขาด” ส.ว.ไพบูลย์ กล่าว
เรียกได้ว่า การขับเคลื่อนของ กปปส. รอบนี้มีแผนหลายแผน ค่อยๆ เดินหน้าทีละแผน แต่ครั้งนี้การเมืองต้องจบ และมวลมหาประชาชนต้องได้ชัยชนะ ด้วยการสู้แบบไม่ถอยสักก้าว และบรรดามวลชนในต่างจังหวัดต่างทยอยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อร่วมยุคการเผด็จศึกและตั้งรัฐบาลเพื่อปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้งต่อไป
แต่การต่อสู้ครั้งนี้จะนำไปสู่ความรุนแรงขนาดไหน จำเป็นต้องดูความเคลื่อนไหวของฝั่งคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทยประกอบ เพราะการตัดสินของทั้งศาลรัฐธรรมนูญ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการชี้มูลความผิดของนางสาวยิ่งลักษณ์โดย ป.ป.ช.นั้นเป็นเรื่องใหญ่ เพราะนอกจากนางสาวยิ่งลักษณ์จะถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีแล้ว หากวุฒิสภาลงมติถอดถอนสำเร็จ และเมื่อเรื่องถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นั่นหมายความว่า ยิ่งลักษณ์จะเป็นชินวัตรคนที่ 2 ที่โดนคำสั่งศาลให้ติดคุก ตามรอยพี่ชาย คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ผิด ซึ่งเรื่องนี้พลพรรคเพื่อไทยรวมทั้งคนเสื้อแดงคงจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น
นปช. ย้ำชุมนุม 10 พ.ค. เลิกไม่ได้
ด้าน นายไพจิต ศรีวรขาน แกนนำกลุ่มอีสานพัฒนา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ต้องถือว่าการชุมนุมที่ถนนอักษะในวันพรุ่งนี้ (10 พ.ค.) เป็นการชุมนุมที่สำคัญยิ่ง โดย ส.ส. จะเป็นผู้ดูแลพาคนมา แต่การชุมนุมจะเป็นไปอย่างไร จะอยู่ภายใต้การกำหนดของทีมแกนนำ นปช. ที่ยังจะยึดหลักสงบ สันติ ซึ่งเป็นนโยบายหลักที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งได้
อย่างไรก็ดี ประเมินว่าจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นได้เช่นกัน หากมีคนยิงระเบิด M79 เข้าที่ชุมนุม นปช. จากคนไม่หวังดี ซึ่งขณะนี้มีความเป็นห่วงมาก เพราะจะทำให้เกิดความรุนแรง และเสียชีวิตเกิดขึ้นได้เช่นกัน จึงต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหารในการช่วยดูความปลอดภัยของมวลชนคนเสื้อแดงอย่างรัดกุม
“พรุ่งนี้คาดว่าการเดินทางจะทำได้ลำบาก แต่ก็ต้องมา เพราะเป็นการชุมนุมที่สำคัญเพื่อเป็นการแสดงภาพพลังของมวลชนคนเสื้อแดงให้เห็นว่ามีคนคิดต่างจากทางฝั่งของนายสุเทพ”
อย่างไรก็ดี ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจะนำไปสู่ความรุนแรงจนถึงขั้นการทำรัฐประหารหรือไม่
นายไพจิต กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีความเชื่อมั่นว่าทหารจะไม่ปฏิวัติแม้ถูกบังคับให้ทำ แต่ถ้ามีการปฏิวัติขึ้นมา ทหารก็ต้องยอมรับผลของการกระทำดังกล่าว ซึ่งอาจมีความเคลื่อนไหวต่อต้านของคนเสื้อแดงต่อไป
สำหรับความรุนแรงในบ้านเมืองช่วงเวลานี้ จะรุนแรงถึงขั้นนองเลือดหรือไม่นั้น ขณะนี้ไม่มีฝ่ายไหนตอบได้อีกต่อไปแล้ว
“ไม่มีอะไรแน่นอน สถานการณ์ต้องรอดูเป็นระยะๆ ว่าจะรุนแรงแค่ไหน เพราะฝั่งของ กปปส. มีแผนหลายแผนที่จะเดินหน้าไปสู่ชัยชนะให้ได้ตามที่คุณสุเทพบอก ดังนั้นตอนนี้ยังประเมินไม่ได้” ส.ว. ไพบูลย์กล่าว
โหรชี้ “นองเลือด”!-ระวังคาร์บอมบ์
ขณะที่ฝ่ายโหราศาสตร์บ้านเมืองต่างกังวลกับสถานการณ์บ้านเมือง ว่าอาจหนีการนองเลือดไม่พ้นแล้ว
นายภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ประธานสถาบันศาสตร์แห่งชีวิต กล่าวว่า เดือนพฤษภาคมถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ถือเป็นเดือนพญางู โดยจะเป็นเดือนที่มีการหักหลังกันของคนมีอำนาจ และจะมีเหตุการณ์ที่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อกัน ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในเรื่องนี้
“จริงๆ แล้วคุณยิ่งลักษณ์เข้าเคราะห์ตั้งแต่เดือนมีนาคม ครั้งนั้นหากคุณยิ่งลักษณ์ลาออกไป ทุกอย่างก็จะดีขึ้น ผู้คนก็จะยกย่องสรรเสริญ แต่นี่ที่ผ่านมาไม่ตัดสินใจลาออกจึงทำให้เกิดปัญหาขึ้น”
ส่วนความรุนแรงจะมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่ดูแล หากทหารออกมาควบคุมสถานการณ์เหมือนอย่างที่ผ่านมาเหตุการณ์ความรุนแรงก็จะไม่หนัก เมื่อถึงเวลาทุกอย่างจะคลี่คลายลงในเดือนมิถุนายน ไม่เกินเดือนกรกฎาคมทุกอย่างจะจบและเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
จากนั้นในปี 2558 จะเป็นปีแห่งการเลือกตั้ง เป็นปีกวาดมารทั้งแผ่นดิน คนไม่ดีจะถูกกำจัดออกไป พวกไม่ดีต้องพ่ายแพ้ และจะหนีไปต่างประเทศ คอยก่อกวนไม่ให้เกิดความสงบในบ้านเมือง แต่จะเกิดปัญหาอีกครั้งในปี 2559 ซึ่งเป็นปีหนุมานเผาลงกา จะมีการก่อกวน เผาบ้านเมืองจากกลุ่มที่ถูกกำจัดออกไป เหมือนกับเหตุการณ์ในปี 2553 และจะถูกกำจัดออกไปอีกครั้งในปี 2560 ที่ต้องมีการจัดการกับซากปรักหักพังที่เกิดขึ้น และบ้านเมืองจะรุ่งเรืองขึ้นในปี 2561-2562 เป็นต้นไป
ส่วนนักโหราศาสตร์ชื่อดังรายหนึ่งกล่าวว่า เรื่องการต่อสู้ทางการเมืองที่เราเห็นในเวลานี้ยังไม่จบ กลุ่มของรัฐบาลในเวลานี้เหมือนกับหมาจนตรอก จะเคลื่อนลงสู่ปฏิบัติการใต้ดิน วางระเบิดตามพื้นที่ต่างๆ ฝากเตือนผู้ชุมนุมจะต้องระมัดระวังในเรื่องของระเบิดที่จะวางไว้ในลักษณะคาร์บอมบ์ จักรยานยนต์บอมบ์เหมือนกับทางภาคใต้ ดังนั้นการเดินผ่านไปตามเส้นทางต่างๆ จะต้องระมัดระวังวิธีการลอบทำร้ายของฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาล
“สิ่งที่เราเห็นในขณะนี้ยังไม่ใช่คำตอบว่าเรื่องจะจบ จนกว่าจะเกิดความวุ่นวายและต้องมีการนองเลือดเกิดขึ้นก่อน จากนั้นสุดท้ายทหารจะต้องเข้ามายุติปัญหาที่เกิดขึ้น”
ส่วนอาจารย์ภิญโญ พงศ์เจริญ สมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ กล่าวถึงดวงบ้านเมืองในเวลานี้ว่า ตอนนี้ถือว่าแรง เพราะเสาร์ราหูเล็งลัคนาดวงเมืองเป็นพินทุบาทว์ หมายถึงดวงเมืองแตก ร้าว อีกทั้งดาวเสาร์เล็งอาทิตย์ทำมุมกัน 180 องศาจึงเกิดเหตุรุนแรงมาตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคมเรื่อยมา และมีโอกาสรุนแรงอย่างมากในวันที่ 10-11 พฤษภาคม
ดังนั้น ความรุนแรงจึงมีโอกาสเกิดขึ้นได้ และจะคลี่คลายในราววันที่ 30 มิถุนายน อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงที่กล่าวมานั้นมีทางออกจากการที่ดาวพฤหัสซึ่งเป็นดาวแห่งคุณธรรม กฎหมายและผู้หลักผู้ใหญ่ ให้คุณกับบ้านเมืองย้ายเข้ามา ดังนั้นในราว 17 มิถุนายน สถานการณ์จะดีขึ้น มีทางออกและคลี่คลาย ส่วนจะให้เรียบร้อยจริงๆ คงต้องรอไปถึงวันที่ 26 พฤศจิกายน ซึ่งจะเป็นช่วงที่ดาวเสาร์ย้ายออกไป