xs
xsm
sm
md
lg

“ทักษิณ” โกหกคำโตปล่อยข่าววางมือ ที่แท้เดินเกมยึดอำนาจคืน!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ชำแหละวาทกรรมทักษิณ “ทุกฝ่ายคืนความยุติธรรมให้กับประเทศ” แท้จริงแล้วต้องการล้างไพ่ทั้งหมดเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ทั้งไม่ติดคุกและได้เงินคืน รวมถึงการได้ประโยชน์ทางการเมืองตามเป้าหมายเดิมที่ยังทำไม่สำเร็จ ตั้งแต่การล้มรัฐธรรมนูญ 50 ยกเลิกที่มา ส.ว. ให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ทำลายอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ เผยทักษิณเชื่อ แค่ยอมถอยด้วยคำพูด “ชินวัตรวางมือทางการเมือง” จะได้พลังหนุนไปสู่การเลือกตั้ง พร้อมชัยชนะครั้งใหม่

ดูจากสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันแล้ว สะท้อนให้เห็นว่ามวลชน กปปส. กำลังอ่อนล้ากำลังลงอย่างมาก เพราะไม่มีใครเห็นว่าจะชนะได้จริงหรือไม่ และศึกครั้งนี้ต้องสู้อีกนานเพียงไร หลายคนเริ่มมองนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กปปส. ว่าบ่มิไก๊ ไม่ทำอะไรจริง

ขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงเองแม้จะยังหร็อมแหร็มแต่ก็ใช่ว่าจะปลุกไม่ขึ้นเสียเลย

สถานการณ์ทางการเมืองเช่นนี้กำลังเป็นโอกาสสำคัญ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีต้องรีบคว้าไว้

คือการปลุกกำลังคนเสื้อแดงขึ้น และการดึงคนที่เบื่อการเมือง อยากให้การเมืองจบเร็วๆ มาเป็นพวก ด้วยการนำไปสู่การเลือกตั้ง เพราะหลายคนกำลังเบื่อและชักเห็นด้วยว่าการเลือกตั้งจะเป็นจุดจบของทุกอย่างได้

อย่าแปลกใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วงการเมืองโค้งสุดท้ายนี้จึงออกมาประกาศผ่านนายนพดล ปัทมะ ทนายส่วนตัว ว่า

“ถ้าทุกฝ่ายคืนความยุติธรรมให้กับประเทศ แล้วทำให้ประเทศสงบ คนตระกูลชินวัตรก็พร้อมเลิกเล่นการเมือง”

เมื่อดูจากคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ดูเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังยอมแพ้ทุกอย่าง

แต่ความจริงแล้ว ถ้อยความดังกล่าวมีนัยแฝงทางการเมืองที่คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ วางหมากไว้แล้วว่าจะรุกคู่ต่อสู้อย่างไรจึงจะดึงอำนาจทั้งหมดกลับมาที่ตระกูลชินวัตรได้!

ปลุกคนเสื้อแดง-ดึงคนเบื่อการเมืองสู่การเลือกตั้ง

แหล่งข่าวระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักยุทธศาสตร์ เขารู้ว่าขณะที่กำลังเกิดอะไรขึ้นกับมวลชนคนเสื้อแดง รวมไปถึงกลุ่มรากหญ้าที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมของ นปช. ชนชั้นกลาง ที่เคยสนับสนุนเพื่อไทยและตระกูลชินวัตร แต่วันนี้กลับพบว่ามวลชนเหล่านี้เริ่มเอาใจออกห่างพรรคเพื่อไทย สิ่งที่ชี้วัดได้ชัดเจนก็คือการระดมพลของคนเสื้อแดงแต่ละครั้งเริ่มลำบากขึ้น และคนที่เข้าร่วมก็น้อยลง สิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดจากความผิดหวังในเรื่องของการดูแลเรื่องคดีความของกลุ่มแกนนำ นปช. ระดับจังหวัดที่ไม่ได้รับการดูแลที่ดีนัก และรวมถึงนโยบายประชานิยมที่ผิดพลาด โดยเฉพาะโครงการจำนำข้าวที่เป็นเหตุให้ชาวนาหลายคนโกรธแค้นรัฐบาล แน่นอนว่าในกลุ่มนี้มีคนเสื้อแดงอยู่ไม่น้อย การที่จะปลุกกำลังคนเสื้อแดงขึ้นมาให้ได้นั้นนับว่าเป็นเรื่องยากเอาการ แต่ก็มี พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวเท่านั้นที่จะทำได้

นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเชื่อมั่นว่า คนอีกจำนวนหนึ่งที่เบื่อหน่ายการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ซึ่งมีแนวโน้มจะนำไปสู่ความรุนแรงได้ จึงเริ่มวางเฉย ไม่เข้าร่วมกับ กปปส. และต้องการให้การเมืองมีทางออก เห็นชัดๆ ก็จากโพลที่ออกมาช่วงนี้ โดยเฉพาะของสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ที่สำรวจประชาชนทั่วประเทศจำนวน 1,392 คน ระหว่างวันที่ 8-12 เมษายน 2557 ก็พบว่าคนเริ่มเบื่อการเมืองและอยากให้ทั้งสองฝ่ายคุยกันเพื่อหาทางออกให้กับประเทศเพื่อจะนำไปสู่การเลือกตั้งที่ดีร้อยละ 49.68

อีกทั้งนิด้าโพลก็เคยสำรวจความคิดของประชาชนว่าอยากให้มีการเลือกตั้งก่อน หรือปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งก่อน เมื่อช่วงวันที่ 24-25 มีนาคม 2557 แม้ประชาชนส่วนใหญ่จะอยากให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้งมากถึงร้อยละ 52.51 แต่คนที่อยากให้มีการเลือกตั้งเพื่อเป็นทางออกของประเทศก็ไม่ได้น้อยคือมีถึงร้อยละ 38.25

สถานการณ์ทางการเมืองเช่นนี้กำลังเป็นโอกาสสำคัญ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีต้องรีบคว้าไว้ คือการปลุกกำลังคนเสื้อแดงขึ้น และการดึงคนที่เบื่อการเมือง อยากให้การเมืองจบเร็วๆ มาเป็นพวก ด้วยการนำไปสู่การเลือกตั้ง เพราะหลายคนกำลังเบื่อและชักเห็นด้วยว่าการเลือกตั้งจะเป็นจุดจบของทุกอย่างได้

พ.ต.ท.ทักษิณ จึงใช้จังหวะนี้ปล่อยข่าวที่ว่า ทุกฝ่ายต้องคืนความยุติธรรมให้กับประเทศ และตระกูลชินวัตรก็พร้อมจะวางมือทางการเมือง แต่การวางมือของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นไม่ใช่เป็นการวางมืออย่างแท้จริง แต่เป็นการวางมือตามโครงสร้างที่ไม่มีชื่อคนในตระกูลชินวัตรไว้ตบตาประชาชนเท่านั้น เพราะวันนี้ เขาสามารถจัดคนที่จงรักภักดีต่อชินวัตรเข้าสู่ทุกตำแหน่ง ตามระบบโครงสร้างพรรคการเมืองได้ทั้งหมด

“ไม่ต้องมีชื่อพี่ น้อง ชินวัตร แต่ทุกอย่างก็ยังเป็นของชินวัตร”

เป้าหมายสูงสุดเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง

ดังนั้นวันนี้ และวินาทีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมแล้วสำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ และยังเชื่อว่าจะได้เปรียบ

ความพร้อมของ พ.ต.ท.ทักษิณ มี 2 ส่วนคือ จัดตั้งนอมินีคนที่จะขึ้นแทนคนตระกูลชินวัตรไว้เรียบร้อย และชื่อนี้ได้แก่ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา มือกฎหมายที่อยู่กับพรรคเพื่อไทยมานานไม่เคยทิ้ง และที่สำคัญเป็นหนึ่งในคีย์แมนของพรรคเพื่อไทยที่กำหนดแผนยุทธศาสตร์ทุกอย่างตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการมาตั้งแต่ต้น

อย่าแปลกใจที่ชื่อของนายพงศ์เทพ เป็นชื่อแรกที่พรรคร่วมนำเสนออยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนกลางแทนนางสาวยิ่งลักษณ์ เพราะที่จริงแล้วคือความต้องการของ พ.ต.ท.ทักษิณ

ขณะที่ในส่วนของ ส.ส.ของพรรค แม้ว่า ส.ส. 200 กว่าคนจะอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาชี้มูลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็มั่นใจว่าทุกคนจะรอดในขั้นตอนของการถอดถอนโดยวุฒิสภา

แหล่งข่าว ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการที่สุดในเวลานี้คือการเลือกตั้ง แล้วหลังจากการเลือกตั้ง ก็เป็นเวลาที่คืนความยุติธรรมให้กับประเทศไทยตามคำของ พ.ต.ท.ทักษิณในระดับต่อไป

เมื่อเลือกตั้งแล้ว ในส่วนของพรรคเพื่อไทยยังมั่นใจว่าจะยังสามารถชนะการเลือกตั้งได้ และประเมินว่า คดีที่ ส.ส.-ส.ว. กำลังถูกพิจารณาว่าจะชี้มูลความผิดหรือไม่ที่อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาของ ป.ป.ช. นั้น และมี ส.ส.พรรคเพื่อไทยถึง 200 กว่าคนในกลุ่มที่กำลังถูกพิจารณา จะรอดในท้ายที่สุด

แม้ว่า ป.ป.ช. จะมีการชี้มูลความผิดของ ส.ส.-ส.ว. 308 คน แต่เรื่องนี้อาจจะมีการส่งต่อไป 2 ที่คือ 1. ไปให้สมาชิกวุฒิสภาถอดถอน และ 2. ไปที่ศาลฎีกาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

“เรามั่นใจว่า ส.ว. ที่ได้รับการเลือกตั้งจากพื้นที่มา จะต้องโดนกดดันจากประชาชนในพื้นที่ว่าให้ตัดสินอย่างไร อีกประการคือ ส.ว. ที่จะถูกถอดถอนในครั้งนี้ก็มีจำนวนไม่น้อย ก็ไม่น่าจะตัดสินให้ ส.ว.เหมือนกันในทางที่รุนแรงเกินไป”

ดังนั้น มั่นใจว่า หาก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ส.ส.-ส.ว. 308 คนไป ก็จะรอดในขั้นตอนการถอดถอนของวุฒิสภา หรือถ้ามีการส่งไปศาลอาญาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็จะได้รับความยุติธรรม เพราะการตัดสินให้ ส.ส.-ส.ว. 308 คน ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองนั้นเป็นเรื่องใหญ่ที่จะทำให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไม่ได้

ณ เวลานี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงรออยู่แค่ว่า กกต. จะจัดการการเลือกตั้งครั้งใหม่ได้หรือยัง!

ถ้า กกต. ยอมจัดการการเลือกตั้ง ส.ส. ทั้งหมดของพรรคเพื่อไทยก็พร้อมที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ก็มีบางคนอาจใช้คนอื่นมาแทน

“เมื่อไปสู่ขั้นตอนการถอดถอนของวุฒิสภาแล้ว ก็คาดว่าจะรอด เมื่อรอดแล้ว ส.ส.-ส.ว. ทุกคนเท่ากับมีสถานะเดิม คือยังมีสิทธิลงรับสมัครเลือกตั้งได้ แต่ข้อเสียหายคือ ถ้ายังตัดสินกันไม่เสร็จ ประชาชนจะรู้สึกว่าเลือกไปแล้วก็อาจะเสียเปล่า ดังนั้นจะเสียคะแนนส่วนนี้ไปไม่น้อย หลายคนจึงตัดสินใจส่งคนอื่นๆ เป็นตัวแทนลงรับสมัครเลือกตั้ง”

หากมีการรับสมัครเลือกตั้งแล้ว ก็ให้อยู่ในดุลพินิจประชาชนว่าจะเลือกใคร เพราะประชาชนทุกวันนี้รู้อยู่แล้ว ว่าใครเป็นใคร โดยเพื่อไทยยืนยันว่าเป็นพรรคที่ยืนอยู่ข้างประชาชน แต่พรรคการเมืองไหนอยู่กับกลุ่มทุน ไม่ได้อยู่กับประชาชนก็เห็นๆ กันอยู่

วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงยังมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะยังชนะการเลือกตั้งได้ แม้คะแนนจะน้อยลงไป

ที่สำคัญความพร้อมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการเลือกตั้งคือ วางกำลังคนไว้หมดแล้ว และตนเองจะใช้วิธีเป็นมือที่มองไม่เห็นบริหารทุกอย่างภายใต้คนเหล่านี้เหมือนเดิม แม้คนในตระกูลชินวัตรจะไม่ได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี แต่อำนาจทั้งหมดยังมีศูนย์รวมอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียว
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา นายกฯที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องการ
เลือกตั้งเสร็จ-แก้ รธน.-ล้มองค์กรอิสระ

เป้าหมายต่อไปจึงจะจัดการอะไรต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่จะทำต่อเมื่อได้รับการเลือกตั้งเข้ามาอีกครั้งหนึ่งแล้ว

นี่คือคำว่าการคืนความยุติธรรมให้กับประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งทั้งหมดยังดำเนินตามแผนเดิมของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือมุ่งรื้อโครงสร้างของระบบนิติบัญญัติของประเทศไทยใหม่ทั้งหมด

แหล่งข่าว ส.ส. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ รู้สึกว่ายังไม่ยุติธรรม และอยากให้มีการแก้ไขจะเริ่มตั้งแต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยวันนี้ขอให้ใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 ไปก่อน แล้วต่อไปจะต้องมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาจากภาคประชาชน

“รัฐธรรมนูญ 2550 ทำให้มีคนเอามาใช้เพื่อเป็นประโยชน์ทางการเมือง คือไม่ใช่มีองค์กรอิสระ มาเป็นเครื่องมือฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นจึงควรจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”

จากนั้นจะเป็นการแก้ปัญหาการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากองค์กรอิสระ โดยพรรคเพื่อไทยยอมรับการทำงานของศาลแพ่ง และศาลอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ แต่สำหรับศาลรัฐธรรมนูญแล้ว คิดว่าอาจต้องมีการแก้ไข

“ท่านทักษิณก็ได้รับความเจ็บปวด ไม่ได้รับความยุติธรรมอะไรจากองค์กรอิสระพวกนี้เลย”

ดังนั้น สิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องการคือ อยากให้มีการแก้ไขกระบวนการส่งเรื่องร้องเรียน โดยต้องการให้มีการส่งเรื่องถึงอัยการสูงสุด เพื่อให้อัยการสูงสุดเป็นคนพิจารณาระดับหนึ่งก่อนว่าเรืองบ้างเรื่องควรจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง ไม่ใช่ว่าให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินทุกอย่างได้หมด ทั้งการฟ้อง ทั้งตัดสินเอง

“เรื่องศาลรัฐธรรมนูญ บอกได้แค่ว่าจะต้องกลับไปยึดรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นหลัก ไม่ใช่ให้ศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มอำนาจได้”

จากนี้ไป การพิจารณาคดีต่างๆ ต้องยึดรัฐธรรมนูญปี 2540

ประเด็นสำคัญที่รัฐธรรมนูญปี 2550 แตกต่างจากรัฐธรรมนูญปี 2540 และข้อใดบ้างที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องเจ็บ
ประเด็นแรกคือ มาตรา 68 ที่มีการระบุว่า พรรคการเมืองใดล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้อำนาจมาโดยไม่ถูกวิถีทางของรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญอาจมีคำสั่งยุบพรรค ต้องถูกยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งจุดนี้เป็นจุดสำคัญทำให้พรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนต้องถูกยุบพรรคและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไป โดยพรรคไทยรักไทยถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุบพรรคในวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 พรรคพลังประชาชนถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคในวันที่ 2 ธันวาคม 2551

ประเด็นต่อมา ประเด็นที่มาของ ส.ว. ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2550 มีการระบุที่มาของ ส.ว. ว่าให้มาจากการสรรหาในจำนวน 74 คน ซึ่งในรัฐธรรมนูญ 2540 นั้น ส.ว. จะต้องมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด

ที่มาของ ส.ว. นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการให้มีที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ไม่ต้องการให้มี ส.ว. ในส่วนของการสรรหา เพราะเกี่ยวเนื่องกับหน้าที่ของ ส.ว. ที่มีสิทธิถอดถอนนักการเมือง และการมีส่วนเสนอชื่อผู้ที่จะเป็นคณะกรรมการในองค์กรอิสระต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายการเมืองแทรกแซงได้ รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญที่ พ.ต.ท.ทักษิณ คิดว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขามาโดยตลอดด้วย

“องค์กรอิสระนี่มีปัญหามาก อย่าง กกต. ก็เหมือนมาแกล้งไม่ให้มีการจัดการเลือกตั้งได้ ตอนนี้ไม่เข้าใจจะให้ใช้ระบบอะไร ต่อไป ส.ส. ต้องมาจากการแต่งตั้งทั้งหมด หรือแต่งตั้งครึ่งนึงเลยหรือไม่”

เป้าหมายใหญ่ “ล้างคดี-คืนเงิน”

แหล่งข่าวบอกอีกว่า เมื่อทุกอย่างขับเคลื่อนไปตามสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการแล้ว เราจะพบความจริงในเรื่องความยุติธรรมที่เขาต้องการว่ามันคืออะไร โดยเฉพาะความพยายามในการเรียกร้องความยุติธรรมจากเรื่องเดิมๆ คือการกำจัดอุปสรรคที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถไปสู่เป้าหมายสุดท้ายได้นั่นคือการล้างไพ่ทุกอย่าง และได้เงินคืน

“สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดในวันนี้ก็ยังเป็นเรื่องเดิมๆ เป็นเรื่องเดิมเหมือนเมื่อเดือนที่แล้วที่เสนอแนวคิดที่จะให้คนตระกูลชินวัตรเว้นวรรคการเมือง 1 ปี คือไม่ได้มีเรื่องอะไรใหม่เลย” ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา กล่าว

เบื้องหลังก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า การให้คนตระกูลชินวัตรเว้นวรรคทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่วางมือทางการเมือง หากแต่เป็นการใช้ตัวตายตัวแทน คือ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ขึ้นมาเป็นนายกฯ แทนนางสาวยิ่งลักษณ์ และคนตระกูลชินวัตร พุ่งเป้ารักษาอำนาจให้ตระกูลชินวัตรอยู่ดี ไม่ใช่การวางมือทางการเมืองแต่อย่างใด

“พูดให้ฟังดูดี แต่เรียกร้องเหมือนเดิม”

นายไพบูลย์ กล่าวว่า สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการมีอยู่ 2 ประการหลักคือ ล้างคดีความต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และต้องการเงินที่ถูกยึดไปเป็นของแผ่นดินจำนวน 46,000 ล้านบาท คืน ซึ่งเป็นเรื่องหลัก มากกว่าเรื่องที่นางสาวยิ่งลักษณ์จะถูกคดีความหรือไม่

ฟันธง! การเมืองใกล้จบ-ทักษิณแพ้

ดังนั้น ไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะพูดอย่างไรในเวลานี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะการต่อสู้ทางการเมืองใกล้จะจบแล้ว

“พฤติกรรมของคุณทักษิณที่เป็นมาตลอดคือ จะออกมาพูดว่ายอมแพ้ตอนที่ตัวเองไม่มีทางจะสู้แล้ว เรียกว่าดื้อจนกระทั่งหมดทางแก้ แต่ทุกอย่างที่คุณทักษิณทำ คือทุกอย่างมันสร้างความเสียหายไปมากแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไร”

โดยเฉพาะความพยายามที่จะใช้มวลชนคนเสื้อแดงมาเป็นอำนาจต่อรองทางการเมือง เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ก็เป็นที่เด่นชัดว่า ขบวนการคนเสื้อแดงปลุกไม่ขึ้นแล้ว และถึงแม้จะปลุกขึ้นมาได้ในบางส่วน แต่คนในสังคมไทยไม่กลัวที่จะต่อสู้ด้วย

นายไพบูลย์ ย้ำว่า ขณะนี้สังคมไม่ยอมให้ พ.ต.ท.ทักษิณใช้วาทกรรมข่มขู่ หรือพฤติกรรมข่มขู่คุกคามอีก ไม่ว่าจะกระทำผ่านใคร เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศชาติเสียหายยับเยิน

“คุณทักษิณไม่ใช่คนที่มีสิทธิเสนอทางออกให้กับประเทศ ทางออกที่เกิดจากคุณทักษิณไม่มี”

ส่วนจุดจบทางการเมืองขณะนี้มีทางเดียวคือแตกหัก และ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้านกระแสสังคมไม่ได้อีกต่อไป!

กำลังโหลดความคิดเห็น