“ทักษิณ” สั่ง “ยิ่งลักษณ์-เพื่อไทย-นปช.” พลิกเกมรบกับ กปปส. “ห้ามเสียชีวิต ห้ามเผชิญหน้า” บล็อกเงื่อนไขทหาร รัฐประหาร-ประกาศกฎอัยการศึก เชื่อเป็นเงื่อนไขเดียวที่ “สุเทพ” จะชนะ สั่ง ส.ส. ปลุกมวลชนหัวเมืองใหญ่หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน คู่ขนานกับชุมนุม นปช. แต่ต้องไม่ปะทะ และคุมไม่ให้เกิดมือที่ 3 ก่อเหตุ ด้าน ส.ส.เพื่อไทยเผย พรรคจะยอมถอยร่วมกับอภิสิทธิ์ เพราะเลือกตั้งคือเป้าหมายสูงสุด ไม่หวั่นต้องเป็นพระเอก ขอให้ถึงเป้าหมาย ดึง ปชป. สู้ศึกการเมืองในสภาฯ ค่อยเสนอปฏิรูป
ขณะนี้ทุกฝ่ายประเมินแล้วว่า หลังวันที่ 5 พฤษภาคม เป็นต้นไป สถานการณ์การเมืองไทยจะมีทางออกจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ปะทุมากว่า 6 เดือน
จุดจบหนึ่งคือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นำทัพ กปปส. ไปสู่ชัยชนะได้สำเร็จ หรือถ้าภารกิจครั้งนี้ไม่สำเร็จ ก็จะเป็นจุดจบของนายสุเทพที่ต้องเดินไปมอบตัวกับตำรวจในข้อหากบฏ
ดังนั้นในห้วงเวลาทางการเมืองนับจากวินาทีนี้ไปคือห้วงเวลาของการตัดสิน
“ใครจะแพ้ ใครจะชนะ”
โดยแหล่งข่าวจากฝ่ายความมั่นคงประเมินว่า นายสุเทพจะชนะหรือไม่ นับต่อจากนี้ไปขึ้นอยู่กับทหาร โดยทหารเท่านั้นคือจุดที่จะนำไปสู่ชัยชนะของนายสุเทพ แต่ทหารจะออกมาประกาศกฎอัยการศึก หรือทำรัฐประหารวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสังคมโลกไม่ยอมรับ เว้นแต่มีปัจจัยเดียวที่จะทำให้ทหารมีความชอบธรรมที่จะออกมาสงบศึกบ้านศึกเมือง คือต้องมีการก่อจลาจลในบ้านเมือง รัฐบาลเข่นฆ่าประชาชน หรือประชาชนจับปืนสู้กัน เกิดเป็นสงครามกลางเมือง
ดังนั้น ฟากฝั่งรักษาการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ต้องทำทุกอย่างที่จะทำให้ทหารออกมาเคลื่อนไหวไม่ได้
ทหารจึงเป็นตัวแปรสำคัญ ที่คู่ขัดแย้ง 2 ฝ่ายจะต้องควบคุมให้ได้ก็เพื่อชัยชนะของฝ่ายตนเอง และวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงต้องพลิกเกมทางการเมืองใหม่ โดยไม่ปล่อยให้ทหารฉกฉวยสถานการณ์ไปสู่การปฏิวัติรัฐประหารได้เหมือนเมื่อปี 2549 จนกระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องระหกระเหินไปอยู่ต่างประเทศจนทุกวันนี้
“นปช.” ต้องไม่เปิดพื้นที่ให้ทหารครอบงำ
อย่างไรก็ดี การต่อสู้ครั้งนี้ ประเด็นแรกที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องท่องให้ขึ้นใจจากคำสั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คือ ต้องไม่ลาออก และทำทุกวิถีทางให้ไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ให้ได้ เพื่อชัยชนะของพรรคเพื่อไทย ขณะที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และคนเสื้อแดง ก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องยิ่งลักษณ์ให้อยู่ได้ต่อไป แม้จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงก็ตาม
“การเปลี่ยนตัวจากธิดา เป็นจตุพร ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่ต้องการฮาร์ดคอร์ เข้ามากดดันกลุ่มมวลชน กปปส. พวกอำนาจนอกระบบที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลยิ่งลักษณ์” แหล่งข่าวระบุและย้ำว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อว่าคนอีสานไม่ค่อยเข้ามาร่วมเป็นเหตุให้การชุมนุมแต่ละครั้งไม่ได้จำนวนตามต้องการเพราะมองว่า นางธิดา ถาวรเศรษฐ ไม่เหมาะสม ไม่จริงจัง ควรจะได้คนที่มีภาพจริงจัง พร้อมต่อสู้ในชั้นเชิงรุกและรับ ทั้งฝีปากและการกระทำที่จะเข้ามากดดันผู้ชุมนุม กปปส. ได้
นายจตุพร พรหมพันธุ์ คือภาพของ “ฮาร์ดคอร์ตัวพ่อ” ที่เพียบพร้อมในเวลานั้น ซึ่งถือเป็นจุดแข็งในการนำทัพ นปช. ในเวลานี้ แต่ในจุดแข็งของจตุพร ก็มีจุดอ่อนแฝงอยู่ในตัวด้วยโดยเฉพาะเขาพร้อมที่จะปะทะ จนกลายเป็นเงื่อนไขให้ทหาร หรืออำนาจนอกระบบเข้ามาเกี่ยวข้องทำการรัฐประหารได้เช่นกัน
ขณะที่ภาพของผู้นำฝ่ายทหารและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในเวลานี้ ต้องเรียกว่าจูงมือเดินไปในเส้นทางเดียวกันเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่และได้รัฐบาลใหม่เพื่อลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
“คุณทักษิณไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง และความรุนแรงต้องไม่เกิดจาก นปช. เป็นผู้ก่อ จตุพรต้องปรับภาพลักษณ์ใหม่ ลดความก้าวร้าว มวลชนก็ต้องยึดหลักอหิงสา ให้ได้”
แหล่งข่าวระบุว่า เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ มองเห็นว่า ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย รวมไปถึง นปช. และมวลชนคนเสื้อแดงจะชนะคู่ต่อสู้อย่าง นายสุเทพ และมวลมหาประชาชนได้ อยู่ที่ความอดทนและไม่ใช้กำลัง ช่วงเวลาใดและสถานการณ์ใดเล่นบทถอยได้ก็ต้องถอย ไม่เป็นการเสียหน้าแต่ประการใด
“ช่วงนี้คนที่คุณทักษิณมองว่าเหมาะที่จะมานำ นปช. จริงๆ คือ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ที่มีประสบการณ์ทางการเมืองสูง และใจเย็น รู้จักคู่ขัดแย้งคือพรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำ กปปส. เป็นอย่างดีเพราะเคยทำงานอยู่ด้วยกัน รวมทั้งปิดช่องการใช้ความรุนแรงเพื่อไม่ให้ทหารปฏิวัติได้ด้วย”
แต่เพิ่งจะมีการเปลี่ยนแกนนำ นปช. จึงไม่ต้องการให้เกิดผลในทางจิตวิทยาต่อมวลชน และเชื่อมั่นว่า นายจตุพร และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จะปรับยุทธวิธีได้เพราะรู้ว่าเป้าหมายของพรรคเพื่อไทยคืออะไร เพราะวันนี้การเมืองต้องการความอดทนและพร้อมจะเปลี่ยนเกมการต่อสู้ในทุกๆ ครั้งที่แกนนำ กปปส. กำหนดท่าทีในการต่อสู้ต่อไป
“ทักษิณ” สั่งพลิกเกมรบ
แหล่งข่าว ส.ส. พรรคเพื่อไทย กล่าวอีกว่า ปัจจุบันพรรคเพื่อไทยประเมินแล้วว่า โอกาสที่พรรคจะชนะ คือเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งมีมากถึง 70%
“สัญญาณทางการเมืองทุกอย่างในเวลานี้เป็นสัญญาณบวกกับพรรคเพื่อไทย ตอนนี้มีแต่ต้องประคองสถานการณ์ให้ผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ เมื่อถึงวันที่ 20 กรกฎาคม และมีการเลือกตั้ง วันนั้นคือชัยชนะของพรรคเพื่อไทย”
จากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยสั่งว่าให้ทำทุกอย่าง โดยที่เขาจะไม่ยอมนอนรอความตายเด็ดขาด วันนี้ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว หากแต่ให้ระมัดระวังอย่างที่สุด เล่นบทนิ่มนวลที่สุด ป้องกันทุกอย่างที่จะเป็นเหตุให้ทหารออกมาให้ได้
ประคองให้สถานการณ์นิ่งสงบถึงวันที่ 20 กรกฎาคมเท่านั้น!
“ห้ามมีเสียชีวิต ห้ามมีการเผชิญหน้า” นี่คือคำสั่งที่มาแทนคำว่า “ไม่ยอมนอนรอความตาย”
รวมไปถึงต้องประคองให้ผ่านเหตุการณ์การตัดสินขององค์กรอิสระไปให้ได้ อย่างการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าไม่ตัดสินนอกกรอบรัฐธรรมนูญมากนัก ก็จะต่อต้านแบบอหิงสาไม่มีอาวุธ และไม่มีอารมณ์รุนแรงเข้าไปเกี่ยวข้อง
เงื่อนเวลาดังกล่าวต้องประคองให้ผ่านไปให้ได้
ที่สำคัญคือ ในส่วนของคดีความ จะมีการพิจารณาคดีการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ไม่เป็นธรรมหลังวันที่ 5 พ.ค. และวันที่ 15 พ.ค. ที่ ป.ป.ช. กำหนดมาแล้วว่าจะเป็นวันชี้มูลความผิดนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีคดีทุจริตจำนำข้าว
ในส่วนของความเคลื่อนไหวของ กปปส. ก็จะมีวันที่ 5 พ.ค. ที่นายสุเทพนัดเคลื่อนขบวนไปวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และเป็นกำหนดการเคลื่อนยึดพื้นที่ราชดำเนินอีกครั้ง จากนั้นคือวันที่ 13 พ.ค.ที่นายสุเทพจะจัดทำบุญประเทศครั้งใหญ่ และขจัดเสนียดจัญไรของประเทศ และดีเดย์ 14 พ.ค. ที่นายสุเทพเรียกว่าเป็นวันปฏิบัติการเรียกคืนอำนาจอธิปไตยกลับมาเป็นของประชาชน โดยจะมีการประกาศสถานที่ภายหลัง
ดังนั้น เมื่อมีการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. จะมีการเคลื่อนไหวคู่ขนานระหว่าง ส.ส.กับ นปช.
โดย ส.ส. จะจัดการเคลื่อนไหวตามหัวเมืองต่างจังหวัดภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคกลาง คุมเข้มไม่ให้มีอาวุธ และคุมเข้มในการคัดเลือกคนเข้าร่วมการชุมนุม โดยจะไม่ให้คนที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมเด็ดขาด โดยเฉพาะสายฮาร์ดคอร์ จะไม่ให้เข้าร่วมการชุมนุมเลย
หน้าที่นี้ อดีต ส.ส. ของพรรคทุกคนจะต้องเข้าไปดูแลเข้ม
คู่ขนานไปกับการชุมนุมของ นปช. ที่จะเน้นการชุมนุมแบบอหิงสา ไม่ให้เกิดการปะทะอย่างเด็ดขาดเช่นเดียวกัน โดยต้องการแค่ภาพของผู้เข้าร่วมชุมนุมเป็นหลัก
ทั้งหมดจะสอดรับพอดีกับการเคลื่อนไหวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไปเข้าทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการให้การเมืองจบลงด้วยการเลือกตั้งเพียงประการเดียว ณ เวลานี้
จับมืออภิสิทธิ์เดินหน้า “เลือกตั้ง”
แหล่งข่าว ส.ส.ในพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวของนายอภิสิทธิ์ จะเป็นบวกกับพรรคเพื่อไทยทันที หากจะนำไปสู่การเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นแนวทางนี้พรรคเพื่อไทยไม่ปฏิเสธ
ขอให้มีการเลือกตั้ง และนายกฯ ที่ได้ต้องมาจากกระบวนการทางรัฐสภา อันนี้เป็นแนวทางของพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว หลังจากนั้นค่อยคุยเรื่องปฏิรูปกัน เป็นการกลับไปสู้กันในสภาฯ
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยต้องระวัง มีแค่การเคลื่อนไหวของนายสุเทพและทหารเท่านั้น
“ฝ่าย กปปส. เดินหน้ามาด้วยจุดยืนสันติ อหิงสา นี่ทำให้พรรคเพื่อไทยประคองสถานการณ์ไม่ให้เกิดการปะทะมาได้ถึง 6 เดือน ดังนั้น แค่การปะทะกันด้วยคำพูด เรื่องนั้นไม่เป็นไร อย่าให้มีการปะทะกันด้วยกำลังก็พอ เพราะจะทำให้ทหารออกมา”
นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยมองว่า ขณะนี้ กกต. ที่มีการปรับลดบทบาทนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ลง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสัญญาณบวกกับพรรคเพื่อไทย รวมทั้งการที่ กกต. ได้เตรียมและกำหนดการรับสมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อแล้วในวันที่ 25-29 พ.ค. รับสมัคร ส.ส. แบบแบ่งเขต 30 พ.ค.- 4 มิ.ย. และพร้อมสำหรับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ส่วนนายอภิสิทธิ์พูดแล้ว ถ้าไม่ทำตามคำพูด ก็เสียหายเอง ดังนั้นเมื่อนายอภิสิทธิ์มาพูดเรื่องเลือกตั้ง รัฐบาลก็ไม่ดึงดันที่จะขัดขวาง ถอยได้ แต่ต้องเลือกตั้งแล้วค่อยปฏิรูป
“นายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น”
บล็อกทหารทุกทาง-อเมริกาบีบหนัก
เมื่อเป็นเช่นนี้ เกมการเมือง ณ ห้วงเวลานี้ ดูเหมือนทางฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้เปรียบ
เพราะถ้าบล็อกไม่ให้เกิดการปะทะกันระหว่างมวลชนได้ และคุมสถานการณ์ความรุนแรงจากมือที่สามได้ เท่ากับว่า ไม่มีปัจจัยอะไรที่จะนำไปสู่การที่ทหารจะออกมาประกาศกฎอัยการศึก
แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า มีแต่ทหารเท่านั้นที่จะทำให้ กปปส. ชนะ ไม่มีทางอื่นอีก
แต่ขณะนี้ นอกจากฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ จะอ่านเกมขาด โดยไม่ยอมให้เกิดความรุนแรงขึ้นมาได้ ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเล่นเกมรุกด้วยการใช้แผนโลกล้อมประเทศไทย
“สถานทูตอเมริกาตอนนี้บีบมาก ไม่ให้เราใช้ทหารออกมาแก้การเมือง และผลักดันให้มีการเลือกตั้ง ซึ่งทั้งหมดเป็นกระบวนการกดดันไปที่ทหารโดยตรง การที่อเมริกามีท่าทีอย่างนี้ ทหารก็ต้องระวัง” แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคงกล่าว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มีแต่นายสุเทพที่ต้องเดินหน้าสู้อย่างเต็มที่ ต้องสู้ให้ถึงที่สุด เพราะหากทหารถูกบล็อกทั้งหมด ก็หมายถึงความพ่ายแพ้ของนายสุเทพด้วย
การที่นายอภิสิทธิ์ออกมาเดินเกมเจรจา จึงอาจเป็นการเล่นแผนซ้อนแผนอีกขั้น เดินหน้าหารือทุกฝ่ายเพื่อท้ายที่สุดแล้ว หาก พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมเสียหน้า หรือไม่ยอมถอยหลังเข้าสู่การเจรจา โดยนายอภิสิทธิ์เป็นผู้นำ เมื่อนั้น ฝ่าย กปปส.อาจพลิกขึ้นมาได้เปรียบอีกครั้ง
แต่ก็นั่นแหละ เกมนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ มั่นใจแล้วว่าเขาคือผู้ชนะ
เพราะถ้าอีกฝ่ายยอมเลือกตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งเป็นผู้นำรัฐบาลได้อีก
ช่วงนี้อย่าแปลกใจถ้าจะเห็นภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาแสดงความอ่อนข้อ ยอมแพ้ ไม่ให้ตระกูลชินวัตรเป็นนายกฯ จะเห็นภาพนางสาวยิ่งลักษณ์ที่เริ่มทำงานในส่วนต่างๆ เพื่อแสดงภาพการบริหารงาน เหมือนเป็นการเริ่มหาเสียงไว้ล่วงหน้า ภาพการทำงานร่วมระหว่างรัฐบาล และ กกต. ก็เป็นภาพที่ดีขึ้น จะเห็นภาพนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกมาเดินเกมต่างประเทศ
แสดงให้เห็นการทำทุกอย่างเพื่อบีบให้สถานการณ์นำไปสู่การเลือกตั้งให้ได้
เมื่อทำสำเร็จ คือสามารถบล็อกทหารไม่ให้เคลื่อนไหวได้ ก็หมายความว่าทุกอย่างต้องเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งไม่มีทางอื่นอีกแล้ว
อย่าลืมว่า พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ส่งสัญญาณให้นายอภิสิทธิ์ไปแล้ว 3 ข้อ เมื่อวันที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา คือ สนับสนุนบทบาทนายอภิสิทธิ์ในการเดินสายเจรจาหาทางออกให้ประเทศ ยืนยันบทบาทกองทัพที่จะยึดรัฐธรรมนูญ และการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง
แปลได้ว่า กองทัพจะไม่แทรกแซงการเมือง ไม่ปฏิวัติ และสนับสนุนการเลือกตั้ง
หากสุดท้ายไม่เกิดความรุนแรงได้จริงตามที่ พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งบล็อกไว้ ทุกอย่างก็จะนำไปสู่การเลือกตั้ง และยิ่งการที่ทหารประกาศว่าจะสนับสนุนการเลือกตั้งอย่างนี้ด้วยแล้ว
ทุกอย่างเข้าทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการทั้งการเลือกตั้ง และบ่งบอกสังคมว่าสิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดมันถูกต้องแล้ว
มีแต่นายสุเทพที่ผิด
เป็นการพลิกเกมจาก “โจร” ดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม กลายเป็น “พระเอก” สนับสนุนการเลือกตั้งขึ้นมาทันที
การเมืองจังหวะนี้ นายสุเทพจะแก้เกมอย่างไร ทหารจะมีท่าทีอย่างไร ในห้วงเวลาต่อจากนี้ไป ห้ามกะพริบตา!