“อำมาตย์เต้น” หยันฝ่ายตรงข้ามเมาหมัด เรียกร้องทำสังคมสับสน ไม่เชื่อมีใครรับร่างของคณะรัฐบุคคลทูลเกล้าฯ ได้ แขวะประชาธิปัตย์อยากมีอำนาจแต่ไม่ลงเลือกตั้ง ไล่ “อภิสิทธิ์” ไปคุยกับ “สุเทพ” ก่อน เมินให้ถ่ายสดคุยกับ “ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ” เย้ย กปปส.ทบทวน 180 วันสร้างสรรค์หรือทำลายประชาธิปไตย ป้อง “ปู” สุดสง่ายุบสภาแล้ว แย้ม 6 พ.ค.ใช้อักษะก่อม็อบ ดักรอศาล รธน.วินิจฉัย โวอยู่ได้เป็นเดือน ลั่นไม่ข้ามไปชน เตือนอย่าตัดสินสุกเอาเผากิน โยงตุลาการเชิญ “ชวน” ปาฐกถา กุมีคนพร้อมทำรัฐประหาร
วันนี้ (28 เม.ย.) ที่องค์กรพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จ.ปทุมธานี เมื่อเวลา 10.30 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รักษาการ รมช.พาณิชย์ และเลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์บ้านเมืองว่า สถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ขณะนี้ตนสังเกตเห็นว่าฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลกำลังออกอาการเมาหมัด เพราะ 6 เดือนผ่านไปแล้วยีงไม่มีแนวโน้มบรรลุเป้าประสงค์ได้ เวลานี้จึงออกมาในลักษณะต่างคนต่างเคลื่อนไหวต่างมีข้อเรียกร้องตามแนวทางตนเองทำให้สังคมสับสน โดยแนวทางเคลื่อนไหวที่มองแล้วมีบทบาทขณะนี้มีอยู่สองสาย คือ สายหยุดกับสายอยาก สายหยุดก็คือ พล.อ.สายหยุด เกิดผล อดีด ผบ.สส.ในฐานะประธานคณะรัฐบุคคล ที่อ้างว่าการเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นการเห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบุคคล แล้วจะไปยกร่างพระบรมราชโองการ แต่เมื่อคนใกล้ชิด พล.อ.เปรมออกมาปฏิเสธ พล.อ.สายหยุดก็พยายามจะอธิบายแต่ยิ่งอธิบายสังคมก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าท่านคุยกันยังไง เพราะล่าสุด พล.อ.สายหยุด ก็ระบุว่าคุยกันไปทั้งหมดแล้ว พล.อ.เปรมพยักหน้านั่นก็แปลว่าเห็นด้วยสุดซอย ซึ่งตนเห็นว่าให้คณะรัฐบุคคลดำเนินไปตามที่เชื่อ แต่ตนไม่มีความเชื่อว่าจะมีบุคคลหรือองค์กรใดรับร่างพระบรมราชโองการของคณะรัฐบุคคลขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ เพราะไม่เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฏหมาย
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ส่วนสายอยากนั้นต้องจับตาให้ดีซึ่งประกอบด้วยพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวนำ คืออยากมีอำนาจ อยากเป็นรัฐบาล แต่ไม่อยากลงเลือกตั้ง และแตกตัวออกเป็นกลุ่ม กปปส.แล้วประสานทำงานกันมาตลอด วันนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เล่นอีกบทหนึ่งคือเป็นตัวกลางในการเจรจา โดยตั้งแต่วันแรกที่แถลงการณ์ออกมา ตนเห็นข้อเรียกร้องหลักข้อเดียวหากการเจรจานี้จะบรรลุผลได้ คือนายอภิสิทธิ์ไปคุยกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ให้เข้าใจกันเสียก่อน ถ้าตกลงกันได้ว่านายสุเทพเห็นตามนายอภิสิทธิ์ ฝ่ายอื่นก็ไม่มีอะไรยากแต่แทนที่นายอภิสิทธิ์จะขานรับกลับให้ลูกพรรคออกมาหาเศษหาเลยทางการเมือง เช่น ถ้าจะเจรจากับนายกฯ หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องถ่ายทอดสด ตนไม่เห็นเหตุผลและประโยชน์ และถ้าตนจะเรียกร้องบ้างว่านายอภิสิทธิ์ไม่ต้องไปหา กกต.หรือ ผบ.สส. แต่ให้ไปหานายสุเทพแล้วเจรจากันตนจะเรียกร้องให้รัฐบาลถ่ายทอดสดให้ประชาชนได้เห็นว่าเรื่องที่ทำกันเองตลอดคุยกันแล้วตกลงกันได้หรือไม่ หลังจากนั้นประเทศจะรู้ทันทีว่าจะมีทางออกหรือจะเดินไปสู่ทางตัน
“อยากฝากถึงนายสุเทพ ที่เมื่อวาน (27เม.ย.) ไปจัดงานชุมนุมครบ 180 วัน ผมเห็นว่าแกนนำ กปปส.ทั้งหลายควรจะประชุมกันแล้วทบทวนว่า 180 วันที่ผ่านมาทำอะไรลงไปบ้าง มันสร้างสรรค์หรือทำลายระบอบประชาธิปไตย การประกาศจะล้มการเลือกตั้งการประกาศจะขัดขวางอีกครั้งหากมีการเลือกตั้งสิ่งเหล่านี้ยังเป็นจุดยืนของ กปปส.หรือ ผมถามว่าคนที่มีหน้าที่ดูแลกฏหมายบ้านเมืองจะไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ เลยได้หรือไม่” นายณัฐวุฒิกล่าว
ส่วนที่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ออกมาเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจเหมือนนายกฯ เกาหลีใต้ที่ลาออกจากอุบัติเหตุเรืออับปางนั้น นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เป็นภาพสะท้อนว่าพรรคประชาธิปัตย์ค้ากำไรทางการเมือง หาเศษหาเลยไม่เข้าเรื่อง ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกาหลีใต้กับประเทศไทยแตกต่างกัน ที่เกาหลีเกิดอุบัติเหตุ นายกฯ จึงเกิดความรู้สึกต้องรับผิดชอบเขาลาออก แต่ที่ไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์ตัดสินใจอย่างสง่างามทางการเมืองโดยการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนไปแล้วตั้งแต่ 6 เดือนก่อน แต่ที่มีปัญหาอยู่เวลานี้เพราะคนกลุ่มหนึ่งกลัวแพ้เลือกตั้งก็เลยตั้งใจจะฉีกกติกาแล้วสถาปนาอำนาจรัฐโดยไม่ผ่านประชาชน ซึ่งคนกลุ่มต้องรับผิดชอบ ตนระบุให้ชัดไปเลยว่าคนกลุ่มนี้รวมตัวกันในนามพรรคประชาธิปัตย์ และในนาม กปปส.ขอให้เราพูดความจริงและยอมรับกัน ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางออกได้
เลขาธิการ นปช.กล่าวต่อว่า ในส่วนของกลุ่ม นปช.ได้เตรียมการกันแล้ว คาดว่าเป็นวันที่ 6 พ.ค.จะรวมตัวกันที่ถนนอักษะแต่จะไม่เคลื่อนขบวนเข้าใกล้กลุ่ม กปปส.โดยเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เกิดเป็นเงื่อนไขให้อีกฝ่ายอ้างว่าจะมีการเผชิญหน้า ต้องตามดูด้วยว่าวันที่ 30 เม.ย.ที่นายสุเทพประกาศจะออกมมาในรูปแบบใด การเดิมพันนับกำลังมวลชนถือว่ายังอยู่
“ผมพร้อมทันทีตั้งแต่วันนัดหมาย นายสุเทพจะเอาวันไหนเป็นวันนับกำลังกันจะเอาวันไหนเป็นวันล้มเดิมพันก็ขอให้บอกมา ได้ทุกวัน” เลขาฯ นปช.กล่าว
นายณัฐวุฒิกล่าวอีกว่า ที่กำหนดนัดหมายวันที่่ 6 พ.ค.เพราะเราคาดว่าศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยานชุดสุดท้ายวันที่ 6 พ.ค.ซึ่งอาจนัดวินิจฉัยในวันที่ 7 พ.ค.หรือ 2-3 วันจากนั้น เราจึงนัดหมายดักรอกันไว้ก่อน และถ้าคำวินิจฉัยออกมาแล้วทำให้สถานการณ์ยืดเยื้อก็คงต้องปักหลักชุมนุมกันไป ขณะนี้มีความพร้อมที่สามารถอยู่ได้เป็นเดือน แต่คาดว่าไม่กี่วันสถานการณ์ก็คงยุติ ยืนยันว่าจะไม่เกิดความรุนแรง เพราะเจตนาในการเลือกพื้นที่ ที่่ให้ห่างกันที่สุด และตนยืนยันว่าจะไม่เคลื่อนพลข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปฝั่งพระนคร และนายสุเทพก็ไม่ควรข้ามมา ให้ต่างฝ่ายต่างแสดงพลังให้่สังคมพิจารณาตัดสิน ส่วนเรื่องของมือที่ 3 นั้นก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงที่ต้องสอดส่องดูแล
เมื่อถามว่า คำวินิจฉัยแบบใดที่นปช.จะรับได้และไม่ทำให้การชุมนุมยืดเยื้อ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ตนพูดในหลักข้อกฏหมายไม่ได้กดดันตุลาการ คือเรื่องนี้เป็นอำนาจหน้าที่่ของฝ่ายบริหาร คณะรัฐมนตรีมีมติโยกย้ายข้าราชการระดับ 10-11 เป็นปกติทุกยุคทุกสมัย และกรณีนายถวิล เปลี่ยนศรี ไปยื่นร้องศาลปกครองและวินิจฉัยแล้วรัฐบาลปฏิบัติตาม แต่มีคนไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญอีก ขณะที่นายกฯ และครม.ชุดนี้พ้นจากตำแหน่งไปแล้วเมื่อวันยุบสภา ก็ไม่เห็นเหตุจะต้องวินิจฉัยใดๆ อีก เหมือนกรณีนายอภิสิทธิ์พ้นจากตำแหน่ง ส.ส.ศาลรัฐธรรมนูญก็จำหน่ายสำนวนทิ้งจากกรณีถูกปลดจากข้าราชการทหาร
นายณัฐวุฒิกล่าวอีกว่า หลักกฎหมายเป็นเช่นนี้ตนสงสัยว่าศาลรัธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างไรให้ล้มล้างนายกฯ หรือ ครม.ไปได้ เราต้องตามดูเนื่องจากภายใต้คำวินิจฉัยต้องมีคำอธิบายประกอบ และมีตัวบทกฎหมายออกมารองรับ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญทำได้ชัดเจนสิ้นสงสัยก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเต็มไปด้วยข้อกังขา ตนขอบอกเลยว่าอย่ามาสุกเอาเผากินอย่างกรณีนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ ไม่ได้ และถึงวันนั้นต้องรับผิดชอบสถานการณ์ที่่เกิดขึ้น
“ไม่กี่วันที่ผ่านมาจัดงานครบรอบ 14 ปีศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการนั่งกันครบ เชิญคุณชวน หลีกภัย ไปเป็นวิทยากรปาฐกถา ซึ่งคุณชวนอยู่พรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเวที กปปส.เป็นปฎิปักษ์กับรัฐบาลชัดแจ้ง และศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะวินิจฉัยคดีสำคัญของรัฐบาล และเชิญคุณชวน ไปนั่งด่ารัฐบาลอยู่เป็นชั่วโมง ตุลาการก็นั่งฟังโชคดีอย่างเดียวไม่ชวนกันแขวนนกหวีดทั้งงาน ไอ้แบบนี้่จะทำให้ประชาชนรู้สึกยังไง” นายณัฐวุฒิกล่าว
นายณัฐวุฒิกล่าวถึงกระแสการทำรัฐประหารว่า ข้อมูลทางการข่าวตนได้ยินมาว่ามีการคิดและมีการเตรียมความพร้อมกันอยู่ตลอดเวลา ถ้ามองในแง่ดีก็คือฝ่ายความมั่นคงเขาเตรียมความพร้อมหากเกิดเหตุรุนแรงจะได้ระงับเหตุได้ แต่ถ้าในแง่ร้ายก็คืออาจอาศัยเงื่อนไขเหล่านี้ทำการยึดอำนาจ ดังนั้นไม่ว่าท่านจะเตรียมการไว้อย่างไร ตนฝากว่าสิ่งที่ประชาชนนจะรับได้คือบทบาทของท่านภายใต้รัฐธรรมนูญเท่านั้น ถ้านอกเหนือว่านั้นเกรงว่าจะเป็นปัญหาใหญ่