xs
xsm
sm
md
lg

ระวัง “ทักษิณ” ใช้แผนตีโอบ “ลุงกำนัน”-“นปช.-เพื่อไทย” แบ่งภารกิจอุ้มปูแดง!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“เพื่อไทย-นปช.” แยกกันเดินร่วมกันตีขนาบมวลมหาประชาชน ฝั่ง นปช.จัดชุมนุมใหญ่ 5 เมษา ประกาศศักดาคนเสื้อแดงยังมากถึง 5 แสน ที่ถนนอักษะ พร้อมปลุกมวลชนต้าน 3 สถานการณ์ที่นำไปสู่การล้มอำนาจชินวัตร ตั้งแต่ “ประกาศกฎอัยการศึก-รัฐประหาร-ตุลาการภิวัฒน์” ขณะที่พรรคเพื่อไทย เตรียมให้รัฐบาลรักษาการไปลงสัตยาบันกับศาลโลกเอาผิด “มาร์ค-เทือก” คดีปี 2553 เร็วๆ นี้ คนในพรรคชี้ตอนนี้ต้องสู้สุดตัว เหตุถึงจุด “ยากที่จะเจรจา” และโอกาสเกิดรุนแรงสูง

5 เมษายน 2557 หรือวันเสาร์ 5 ที่หลายคนกำลังหวั่นจะนำไปสู่ความรุนแรงทางการเมืองระหว่างคู่ขัดแย้ง 2 ฝ่ายที่ต่างก็มีกองกำลังสนับสนุนจำนวนมหาศาล เนื่องเพราะ นปช.ก็ประกาศใช้วันนี้เป็นวันรวมพลครั้งใหญ่ 5 แสนคน ที่ถนนอักษะ ขณะที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ก็เลือกวันนี้ประกาศเชิญแกนนำ กปปส.ทั่วประเทศมาระดมจัดทำแผนเผด็จศึกในครั้งต่อไปให้ยิ่งใหญ่และจัดการได้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม

5 เมษายน 2557 จึงเป็นวันที่คนไทยทั้งประเทศให้ความสนใจ!

ขณะเดียวกัน การเดินเกมต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ครั้งนี้ ไม่ได้ใช้เพียงแค่ นปช.เท่านั้น แต่ยังใช้พรรคเพื่อไทย เดินหน้าจัดการนายสุเทพ และพลพรรค ที่เขาเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังโค่นล้มรักษาการรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

สิ่งที่ชี้ให้เห็นชัดว่า พรรคเพื่อไทยมีแผนการจัดการคู่ขัดแย้งก็คือ ข้อความที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รักษาการรัฐมนตรีการต่างประเทศ และประธานที่ปรึกษา ศอ.รส.โพล่งขึ้นมาว่า หาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หลุดคดีปี 2553 พรรคเพื่อไทยมีไพ่ไม้ตายที่จะทำให้ทั้ง 2 คนต้องมารับศึกหนักกว่าเดิม

ดังนั้น การต่อสู้จากนี้ไปของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ใช้ นปช.และพรรคเพื่อไทย เปิดเกมรุกตีขนาบครั้งนี้มีโอกาสนำไปสู่จุดแตกหักที่ ‘ยิ่งลักษณ์’ ต้องเป็นฝ่ายชนะเท่านั้น เพื่อให้คนในตระกูลชินวัตรอยู่ในอำนาจได้นานที่สุด และต้องทำทุกอย่างให้เข้าสู่การเลือกตั้งให้เร็วที่สุดเช่นกัน ทั้งนี้ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อว่า หากเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยยังจะชนะคะแนนเสียงที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์ไปได้ รวมทั้งการประสานกับพรรคร่วมก็ยังเหนียวแน่น ก็ทำให้เชื่อว่าการกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลผ่านการเลือกตั้งนั้นไม่ใช่เรื่องที่ยากนัก

ที่สำคัญตามคำสั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง ต่างต้องหาวิธีที่จะเอาใจนาย หาวิธีพยุงเรือไม่ให้ล่ม เพราะถ้าเรือล่มเมื่อไร พวกเขาก็จะลำบากไปด้วย ทั้งหมดจึงนำไปสู่การสู้แบบถอยไม่ได้อีกแล้ว

นปช.-เพื่อไทยแยกกันเดิน

ในส่วนของ นปช.ต้องยอมรับว่าหลังจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 และตั้งแต่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล คนเสื้อแดงระดับแกนนำจังหวัด หรือระดับมวลชนหลายคนถูกจับดำเนินคดี และไม่ได้รับการดูแลอย่างที่คาดหวัง รวมกับประชาชนคนเสื้อแดงระดับรากหญ้าหลายคนกำลังเดือดร้อนจากนโยบายประชานิยมอย่างจำนำข้าว ทำให้การรวมพลังคนเสื้อแดงไม่สามารถจุดติดได้เหมือนปี 2553 ไม่ว่าจะใช้ดาราเวทีอย่าง จตุพร พรหมพันธุ์, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ มาทำทุกวิถีทาง แต่ก็ไม่สำเร็จ

อย่างการประชุมที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน ก็ปรากฏภาพจากสื่อมวลชนหลายฉบับด้วยจำนวนคนเสื้อแดงที่หรอมแหรมเต็มที

ที่สำคัญคือ นปช.ไม่ได้มีบทบาทไประดมคนได้จริง การระดมพลคนเสื้อแดงเพื่อมาต่อสู้กับ กปปส.ในช่วงที่ผ่านมานั้น ต้องยอมรับว่า เป็นพลังของ ส.ส.แต่ละจังหวัดที่ไประดมคนในพื้นที่มาร่วมชุมนุม

ดังนั้นการชุมนุมแต่ละครั้งจึงมีแต่คนแก่ และไม่กี่วันก็กลับ

“แต่เดิมเราระวังมาก ว่าการพาคนมาจะต้องไม่มีปัญหา คือให้มีคนบาดเจ็บหรือล้มตายไม่ได้ เพราะเขาเป็นคนในพื้นที่ ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น เราจะเป็น ส.ส.ในพื้นที่ลำบาก”

แต่ครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิม นปช.พร้อมแล้วสำหรับการระดมพลของตัวเอง

นายไพจิต ศรีวรขาน อดีต ส.ส.นครพนม แกนนำกลุ่มอีสานพัฒนา กล่าวว่า การชุมนุมวันที่ 5 เมษายนนี้จะเป็นการจัดการของกลุ่ม นปช.ทั้งหมด โดย ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย จะไม่เข้าไปมีบทบาทในการระดมมวลชนช่วย นปช.เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา จะเป็นการรวมพลังของกลุ่มคนเสื้อแดงครั้งใหญ่

“เขาได้ทดลองเดินสายไปจังหวัดต่างๆ แล้วพบว่า มวลชนมีมากพอที่จะรวมพลังครั้งใหญ่ที่สุดได้ เพราะกระแสตุลาการภิวัฒน์ยังเป็นเรื่องที่กลุ่มคนเสื้อแดงรับไม่ได้ เหมือนที่ชลบุรี พอมีการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเสร็จว่าการเลือกตั้งเป็นโมฆะ ก็ปรากฏว่าสามารถปลุกมวลชนขึ้นได้ เพราะมวลชนรู้สึกไม่พอใจ”

ดังนั้น วันที่ 5 เมษายนนี้ จึงเป็นช่วงเวลาที่ประเมินแล้วว่า การปลุกระดมพลคนเสื้อแดงช่วงนี้ เป็นช่วงที่ดีที่สุด เพราะ นปช.คำนวณแล้วว่าจะเป็นช่วงที่มีความชัดเจน ทั้งในเรื่องของ ส.ว.ที่จะเริ่มมีการเปิดประชุมวุฒิสภาได้ ทั้งในเรื่องของนายกฯ คนกลาง และถัดไปอีก 1 สัปดาห์จะเป็นช่วงที่น่าจะมีการถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ออกจากนายกฯ รักษาการ

ถือเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุด และปลุกมวลชนให้ขึ้นได้มากที่สุดด้วย!

“เขาทดลองแล้วในช่วงที่ผ่านมา ครั้งนี้ นปช.มั่นใจว่าจะรวบรวมคนได้มากที่สุด” นายไพจิตกล่าว

 
เมษา-ดีเดย์ นปช.ลุย “ตุลาการภิวัฒน์”

ขณะที่แหล่งข่าวจากแกนนำ นปช.บอกด้วยความมั่นใจว่า ครั้งนี้มวลชนคนเสื้อแดงพร้อมมาก เนื่องจาก นปช.ได้ทดลองจัดเคลื่อนพลแล้ว 5 ครั้งใหญ่ ได้แก่ 1.ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุดรธานี 2.หมอชิต 3 จังหวัดขอนแก่น 3.พื้นที่ศูนย์ประชุมนานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ 4.สนามกีฬา จังหวัดอยุธยา 5.ที่เขาตะโล พัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งแต่ละจุดมีการคำนวณจำนวนคนได้ประมาณ 1 แสนกว่าคน

ดังนั้นจึงมีการประชุมกันแล้วว่า การระดมพลครั้งใหญ่ของ นปช.สามารถจัดขึ้นได้ เพราะทดลองแล้ว ในแต่ละครั้งมีมวลชนที่จะระดมมารวมกันได้ จึงมีเป้าหมายจำนวนคนเข้าร่วม 5 แสนคนดังที่ประกาศออกไป โดยคนในภาคอีสานจะเป็นมวลชนจำนวนมากที่สุดคือ 2 แสนคน วิธีการก็คือ นปช.ระดับจังหวัดจะเป็นผู้รับผิดชอบไปรวบรวมคนมาให้ได้มากที่สุด

“การจัดการรวมมวลชนครั้งนี้ เรากะว่าจะเป็นการรวมพลครั้งใหญ่ที่สุดให้ได้ เพื่อทำให้นายสุเทพและคนในประเทศไทยเห็นว่าพลังของ นปช.มีจำนวนมากมายเพียงใด และการที่นายสุเทพบอกว่า มวลมหาประชาชนของนายสุเทพเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนั้น ไม่จริงเลย วันที่ 5 เมษายน นปช.จะแสดงให้เห็นว่า คนทั้งประเทศที่ไม่เอานายสุเทพก็มี และมีจำนวนเยอะมาก”

โดยวันที่ 1 เมษายน ส่งทีมลงไปดูสถานที่ถนนอักษะ ที่เชื่อมต่อระหว่างพุทธมณฑลสาย 3 และ 4 แล้ว คิดว่าเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด แต่หากจุดนี้จัดไม่ได้ก็จะมีที่สำรอง ซึ่งมีโอกาสต้องเปลี่ยนที่จัดสูงเหมือนกัน

“จะไม่ยอมให้มวลชนไปปะทะกับ กปปส.เด็ดขาด เพราะจะเป็นการเปิดโอกาสให้ทหารประกาศกฎอัยการศึกทันทีซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ”

สำหรับจุดยืนของ นปช.คือ พิทักษ์ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ดังนั้นหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปตามจุดยืนของ นปช. ย่อมมีการต่อต้านในลำดับถัดไป

“จุดที่รับไม่ได้ ตอนนี้ที่ประเมินกันไว้คือ ถ้ามีการใช้อาวุธเกิดขึ้น คือทั้งการที่ทหารจะประกาศกฎอัยการศึก หรือทำรัฐประหารอย่างใดอย่างหนึ่งก็ยอมไม่ได้ และอีกเรื่องคือ หากมีการทำลายระบอบประชาธิปไตยโดยระบอบตุลาการภิวัฒน์เมื่อไร เมื่อนั้น นปช.จะขยับการต่อสู้อีกระดับ เพื่อต่อต้านทันที โดยยึดหลักปฏิบัติตามมาตรา 69 คือบุคคลย่อมมีสิทธิชุมนุมโดยสันติ”

โดยในขณะนี้ยังไม่ทราบว่าจะยกระดับการชุมนุมขึ้นแบบใด แต่ชุมนุมแน่ และอาจจะเป็นการชุมนุมยาว

“ถนนอักษะเป็นพื้นที่กว้าง เราจะไปจัดตรงนั้นให้ประชาชนทั่วไปเดือดร้อนน้อยที่สุด ส่วนที่มองว่าเป็นการจัดในจุดที่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด อาจจะเกิดการปะทะ ก็มีการประเมินกันแล้วว่าไม่น่าปะทะ เพราะที่ผ่านมา กปปส.ไม่เคยเคลื่อนขบวนไปจุดนั้นเลย”

ปะทะไม่ได้ เพราะทหารจะเข้ามาประกาศกฎอัยการศึก!

“5 แสนคน เราทำได้อยู่แล้ว เป็นการแสดงพลังครั้งใหญ่ที่สุด และเชื่อว่าประเด็นเรื่องตุลาการภิวัฒน์ หรือเรื่องรัฐประหาร จะทำให้มวลชนคนเสื้อแดงร่วมต่อสู้กับแกนนำอย่างเหตุการณ์ปี 2553 ได้ เพราะมวลชนคนเสื้อแดงฝังใจเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย”

รวมถึงเรื่องของนายกฯ ตามมาตรา 7 ด้วย ที่จะมีการต่อต้าน โดยในระหว่างนี้ก็มีการจัดนิทรรศการนายกฯ เถื่อนที่อิมพีเรียล ลาดพร้าว

ปลุกพลังมวลชนแดงไม่เอาอำมาตย์ให้ฟื้นคืนมาให้ได้

“เราคิดว่าเรามีคนมากกว่า กปปส.คอยดูแล้วกัน ส่วนที่นายสุเทพคำนวณว่า 5 ล้านนั้นไม่จริง จำนวนคนมาไม่กี่แสน ของเราจะรวมกันมากกว่า 5 แสนให้ดู” แหล่งข่าวแกนนำ นปช.กล่าว

นี่คือสิ่งที่ นปช.กำลังขับเคลื่อน
ภาพจากนิทรรศการไม่เอานายกเถื่อนของนปช.ที่อิมพีเรียลลาดพร้าวตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2557 ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก ธิดา ถาวรเศรษฐ
“เพื่อไทย” เดินหน้าจับมือศาลโลกเอาผิดมาร์ค-เทือก

สำหรับในพรรคเพื่อไทย สิ่งที่น่าสนใจคือการประกาศว่า หากนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ รอดพ้นจากคดี 99 ศพ ปี 2553 แล้วจะมีการทิ้งไพ่ไม้ตาย ซึ่งพรรคเพื่อไทยกำลังทำอะไร ที่เป็นการเดินคู่ขนานต่อสู้กับกลุ่ม กปปส.พร้อมๆ กับคนเสื้อแดง

นายคมสัน โพธิ์คง นักวิชาการ กล่าวว่า คดีของนายอภิสิทธิ์ กับนายสุเทพนั้น มีโอกาสหลุดคดีได้ เพราะทำตามหน้าที่ แต่ก็อาจไม่หลุดก็ได้เช่นกัน อยู่ที่หลักฐานที่ทีมของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทำขึ้นมา และการแก้ข้อกล่าวหาของทั้งสองคนว่ามีน้ำหนักเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่สามารถตอบโต้ได้โอกาสถูกลงโทษก็มี ดังนั้นไม่มีใครรู้ว่าผลการตัดสินจะออกมาเป็นอย่างไรในขณะนี้

แต่หากรอดคดี และการที่นายสุรพงษ์ประกาศว่าจะมีการทิ้งไพ่ไม้ตายใส่นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพนั้น มองว่า มีความเป็นไปได้ที่พรรคเพื่อไทยจะไปยื่นฟ้องกับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศต่อไป

แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะมีกฎเกณฑ์เข้ามาเกี่ยวข้องหลายประการ

ไม่มีปรองดอง-ถึงจุดยากเกินกว่าจะเจรจา

ประเด็นนี้ นายไพจิต ศรีวรขาน อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า พรรคเพื่อไทยมีการประเมินสถานการณ์ทางการเมือง แม้ที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายจะมีการประคับประคองสถานการณ์กันทั้งสองฝ่ายแล้ว แต่สุดท้ายเวลานี้ก็มาถึงจุดที่ไม่เห็นทางออก และจบด้วยการปรองดองไม่ได้แน่ๆ เพราะถึงจุดที่เรียกว่า “ยากเกินกว่าที่จะเจรจา”

ดังนั้น ในส่วนของความเป็นตุลาการภิวัฒน์

พรรคเพื่อไทยก็จะเดินหน้าต่อต้านในหลายรูปแบบ โดยที่ผ่านมาก็มีหลายกรณีที่พรรคเพื่อไทยแถลงข่าวว่าไม่ยอมรับอำนาจศาล

ก็ยังจะมีการเดินหน้าต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมต่อไป ทั้งการยื่นฟ้องฝ่ายตรงข้าม ทั้งการช่วยกันแก้ข้อกล่าวหาของนางสาวยิ่งลักษณ์ รวมทั้งคดีของตัว ส.ส.เอง

ขณะที่ไพ่ไม้ตายที่ นายสุรพงษ์ ประกาศไว้

นายไพจิต กล่าวว่า เป็นเรื่องจริง จะเป็นการรุกของฝั่งพรรคเพื่อไทย

“พรรคมีโอกาสที่จะฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจริง โดยขณะนี้ก็มีอุปสรรคเรื่องของสัตยาบรรณที่ไทยยังไม่ได้ไปทำในข้อตกลงระหว่างประเทศ เพื่อให้มีผลผูกพันกับประเทศไทย ดังนั้นก็ต้องทำให้มีผลผูกพัน”

ดังนั้นในเมื่อพรรคเพื่อไทยในฐานะที่ขณะนี้มีอำนาจรัฐบาลอยู่ ก็จะไปทำสัญญาเพื่อไปลงสัตยาบันเกี่ยวกับข้อตกลงของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อให้ผลมีข้อผูกพันกับประเทศไทยในไม่ช้านี้

“เราทำได้ เพราะตอนนี้เรามีอำนาจของความเป็นรัฐบาลอยู่”

นี่คือไพ่ไม้ตายที่พรรคเพื่อไทยรอเล่นงานนายอภิสิทธิ์-สุเทพ

แม้ว่าผลของการตัดสินคดีอาจไม่ใช่คำตอบ แต่นี่คือสิ่งที่พรรคเพื่อไทยจะต้องทำให้สำเร็จ

“คดี ถ้าไปฟ้องศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจริงๆ ก็ไม่มีผลอะไร เพราะขั้นตอนเยอะ แต่พรรคเพื่อไทยจะได้ภาพ เป็นภาพที่ต้องการฟ้องคนทั่วโลก ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบบยุติธรรมในประเทศ” อาจารย์คมสันกล่าว และชี้ประเด็นสำคัญไว้ด้วยว่า

สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ เองก็มีคดีที่ นายกษิต ภิรมย์ ไปฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศไว้เช่นกัน

ดังนั้นศึกครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายก็ยังสู้กันมันหยด และเดินหน้าต่อไปบนจุดที่เรียกว่า “ยากเกินกว่าจะเจรจา” แล้ว!

กำลังโหลดความคิดเห็น