xs
xsm
sm
md
lg

รวมพลคน “ยี้” อุ้มยิ่งลักษณ์! “แรมโบ้-โกตี๋” ไร้น้ำยาแค่โชว์นาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“นปช.-คนเสื้อแดง” ถูกกระแสโจมตีเป็นศูนย์รวมพวก “ยี้” โดยเฉพาะ “ตู่-เต้น” สมทบด้วย “แรมโบ้-โกตี๋” เป้าหมายอุ้มยิ่งลักษณ์นั่งนายกฯ ต่อไป วันนี้เดินหน้าปฏิบัติการท้าทายอำนาจรัฐ ท้าชนกองทัพ ปลุกกระแสบ้านเมืองลุกเป็นไฟ ขณะที่ “แดงอุบล” ชี้ไม่เห็นด้วยกับยุทธวิธีแกนนำ แฉ “แรมโบ้-โกตี๋” ราคาคุย แท้จริงแค่สร้างภาพโชว์นาย ขณะเดียวกัน ย้อนดูภาพวีรกรรมคนเสื้อแดง ปี 2553 เผาบ้านเผาเมือง หวั่นจะเกิดขึ้นยุค “ตู่-เต้น” ขึ้นแท่นประมุข นปช.

การเคลื่อนไหวปรับทัพครั้งใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่มีการเปลี่ยนตัวประธานกลุ่มจากนางธิดา ถาวรเศรษฐ มาเป็นนายจตุพร พรหมพันธุ์ ในงานเคลื่อนพลคนประชาธิปไตย ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อ 15 มีนาคม 2557 โดยมีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นเลขาธิการ ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกหวาดวิตกถึงทิศทางการขับเคลื่อนของกลุ่ม นปช.จากนี้ไปว่าจะปรับทิศทางการเคลื่อนไหวจนนำไปสู่ความรุนแรงเหมือนปี 2553 หรือไม่

ทั้งนี้เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าด้วยบุคลิกและสไตล์การปราศรัยบนเวทีของคนเสื้อแดง นายจตุพร พรหมพันธุ์ มีสไตล์ที่ดุดันกล้าชนกับบุคคลสำคัญของประเทศ และหากย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อปี 2553 อาจทำให้คนไทยหวนคิดถึงภาพดังกล่าวจนเกิดความหวาดกลัวว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นอีกก็เป็นได้

โดยเฉพาะเมื่อมีการประกาศกร้าวของ “แรมโบ้-โกตี๋” แกนนำคนเสื้อแดงทั้งในเรื่องการสร้างกองกำลังและการประกาศให้คนเสื้อแดงเดินหน้ายึดสถานที่สำคัญๆ ต่างๆ ล้วนแต่เป็นการยั่วยุและปลุกกระแสให้เกิดความรุนแรงถึงขั้นนองเลือดได้เช่นกัน

ดังนั้นยุทธวิธีที่ “ตู่-เต้น-แรมโบ้-โกตี๋” แสดงออกให้สังคมไทยรับรู้นั้นนำไปสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าที่นี่เป็นที่รวมพลคนยี้ใช่หรือไม่!

หรือจะเป็นแค่คนไม่มีเกียรติตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. กล่าวถึง นายจตุพร พรหมพันธุ์ เท่านั้น

ยุค “ธิดา” แดง นปช.อ่อนหัด

ภายใต้การขับเคลื่อน นปช.ช่วงที่มีนางธิดารับบทแม่ทัพ กิจกรรมและการเคลื่อนไหวของกลุ่ม ไม่มีอะไรที่โดดเด่น ทั้งนี้เป็นเพราะพรรคเพื่อไทยที่กลุ่ม นปช.สนับสนุนมานั้นได้เป็นรัฐบาล โดยเพิ่งจะกลับมามีบทบาทมากอีกครั้งในช่วงที่รัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี น้องสาวของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก

ทั้งจากถูกแรงกดดันของกลุ่ม กปปส.ที่นำโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่สลัดตัวเองออกจากพรรคประชาธิปัตย์ออกมานำมวลชนต่อต้านรัฐบาล

ที่หนักสุดกว่านั้นคือการบริหารงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องโครงการรับจำนำข้าว การผลักดันร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม โครงการเมกะโปรเจกต์ 2 ล้านล้านบาท และคดีการเลือกตั้งเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมื่อทุกอย่างดูเหมือนจะไม่เป็นใจกับรัฐบาล กลุ่ม นปช.จึงออกมาเคลื่อนไหวอย่างเป็นรูปธรรมอีกครั้ง

แม้ข้ออ้างจะเป็นการกล่าวถึงเพื่อรักษาความเป็นประชาธิปไตย แต่สาธารณชนทั่วไปก็ทราบกันดีว่าเป้าหมายที่แท้จริงนั้นคือการปกป้องรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่เป็นร่างทรงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในทุกวันนี้

อย่างไรก็ดี ในการขับเคลื่อนกลุ่ม นปช.ช่วงที่นางธิดาเป็นประธาน เกิดปัญหาขึ้นกับคนเสื้อแดงหลายกลุ่มก้อน ไม่ว่าจะเป็นข้อกล่าวหาเรื่องการรวบอำนาจ ไม่อยากให้ใครมาเด่นกว่าแกนนำ หรือบริหารกันแบบผัวเมียที่มีนายแพทย์เหวง โตจิราการ สามีของนางธิดาเข้ามามีบทบาทสำคัญ

ขณะที่ทั้งนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ต้องลดบทบาทลงเนื่องจากได้รับสมนาคุณเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ ส่วนนายจตุพร แม้จะมีคิวขึ้นเป็นรัฐมนตรีเช่นกัน แต่ด้วยภาพลักษณ์ในอดีตจึงทำให้กุนซือของรัฐบาลไม่แนะนำให้เข้าร่วมรัฐบาล อีกรายอย่าง นายวีระ มุสิกพงศ์ ที่เปลี่ยนชื่อมาเป็นวีรกานต์ได้ลดบทบาทตัวเองลงไปมาก และแสดงตัวแค่ไปร่วมงานและขึ้นปราศรัยเป็นครั้งคราวเท่านั้น

อีกทั้งคนเสื้อแดงหลายกลุ่มแยกตัวเองออกมาอย่างนายขวัญชัย สาระคำ หรือขวัญชัย ไพรพนา แกนนำจากอุดร ส่วนกลุ่มที่ยังอยู่กับ นปช.ก็อยู่ด้วยความอึดอัดใจ โดยเฉพาะแกนนำสายฮาร์ดคอร์ เมื่อมีการเปลี่ยนตัวแกนนำมาเป็นนายจตุพรหลายคนจึงเปิดหน้าออกมาตำหนิการทำงานของนางธิดา พร้อมทั้งยกย่องนายจตุพรกันเป็นทิวแถว

ชู “จตุพร” ดึงฮาร์ดคอร์

ด้วยภาพลักษณ์ของนายจตุพรที่ดุดัน ท้ารบกับทุกหน่วยงานที่คิดจะเป็นศัตรูกับรัฐบาลหรือใครก็ตามที่ทำให้รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยเดินไม่สะดวก จตุพรพร้อมชน

ยิ่งเมื่อย้อนไปถึงสถานการณ์ในปี 2553 ด้วยแล้ว ที่แกนนำอย่างวีระ จตุพร ณัฐวุฒิ ที่บัญชาการคนเสื้อแดงอยู่ในพื้นที่ราชประสงค์และพื้นที่ราชดำเนิน ช่วงแรกสามารถจัดการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลได้อย่างเด็ดขาด รวมไปถึงคำพูดที่เสมือนเชื้อเชิญให้คนเสื้อแดงกระทำการบางอย่างให้เกิดความเสียหายกับบ้านเมืองในเวลานั้น แม้จะต้องยอมจำนนในเวลาต่อมาแต่ความเสียหายจากการเผาห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ หลายแห่งก็กลายเป็นทั้งผลงานและตราบาปของ 3 เกลอไปพร้อมกัน

ขณะเดียวกัน การขับเคลื่อนเส้นทางเดินของกลุ่ม นปช.ที่มีแนวโน้มนำไปสู่ความรุนแรงเปิดฉากขึ้นในงาน นปช.ลั่นกลองรบ ที่บริเวณอาคารลิปตพัลลภฮอลล์ ภายในสนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2557 ครั้งนั้นมีทั้งข้อเสนอการแยกประเทศ หลังจากนั้นก็มีการขึ้นป้ายตามจังหวัดต่างๆ ขอแยกประเทศเป็น สปป.ล้านนา รวมถึงมีการกล่าวในเชิงว่าคนไทยมีปืน 10 ล้านกระบอกของนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

รวมถึงข้อเสนอจากนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หนึ่งในนั้นคือขอให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ยืนหยัดต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่ลาออกเด็ดขาดไม่ว่ากรณีใดๆ ไม่ต้องไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ ป.ป.ช.แสดงอารยะขัดขืนไม่ยอมรับอำนาจองค์กรอิสระ เปิดรับอาสาสมัครช่วยเฝ้าระวัง หากจำเป็นต้องตั้งรัฐบาลในภาคเหนือ หรืออีสานหรือตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น

นอกจากนี้ ยังเสนอให้ นปช.นัดหมายชุมนุมใหญ่เข้า กทม.ต้องการจะปิดหน่วยงานไหนก็ปิด อยากประกาศกองกำลังไล่ล่าใครก็ล่า ระดมคน คัดสรรชายฉกรรจ์ และอบรมให้มาช่วยทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัย จัดตั้งองค์กรเงา เช่น ศาลรัฐธรรมนูญเงาขึ้นมาเช่นกัน

นปช.ยุค “ตู่” รวมพลคนภาพลบ

การถอยของนางธิดาเพื่อเปิดทางให้นายจตุพรขึ้นมากุมบังเหียนกลุ่ม นปช.ในช่วงจังหวะเวลาที่ฝ่ายรัฐบาลกำลังเจียนอยู่เจียนไปจากคดีความต่างๆ จึงนับเป็นการพลิกสถานการณ์ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ในเวลานี้ต้องการผู้นำที่เด็ดขาดและเข้มแข็งพอที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น และการปรับทัพในครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยการตัดสินใจของกลุ่ม นปช.หรือมีใครบางคนในต่างประเทศส่งสัญญาณให้เปลี่ยนตัว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเตรียมการสำหรับพร้อมชนกับทุกฝ่ายที่เป็นศัตรูกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์

ดังนั้นการเปลี่ยนตัวประธาน นปช.ในครั้งนี้ โดยเอาสายฮาร์ดคอร์ขึ้นมานำทัพ จึงกลายเป็นภาพที่ทำให้คนทั่วไปเห็นว่าการเดินเครื่องของ นปช.นับจากนี้ไป จะเต็มไปด้วยการเดินเกมตอบโต้ที่มากกว่าคำปราศรัยบนเวทีเท่านั้น เพราะในอดีต นปช.มีกองกำลังติดอาวุธ ที่ขณะนั้นมีพลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง เข้ามาดูแลอยู่ โดยมีคนกำกับอีกชั้นหนึ่งคือพลเอก พัลลภ ปิ่นมณี เมื่อ เสธ.แดง เสียชีวิต ลูกสาวก็ได้รับการตอบแทนเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพรรคเพื่อไทย เช่นเดียวกับในครั้งนี้ก็มีการพูดถึงการดึงเอาพลเอก พัลลภ ปิ่นมณี เข้ามาช่วยงานในครั้งนี้เช่นกัน

บทบาทของแกนนำ นปช.ในเวลานี้ที่มีทั้งจตุพรและณัฐวุฒิ เป็นแกนนำหลักในสายปลุกระดมมวลชนแล้ว ยังมีมือปฏิบัติการอย่าง นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน ที่น่าจะได้รับการเลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นแถวหน้าเคียงบ่าเคียงไหล่กับ 2 สหาย และที่ดูเหมือนจะไร้สังกัดเป็นอิสระจาก นปช.อย่าง นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแนวทางของโกตี๋ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับกลุ่ม นปช.

เห็นได้จากภาพลักษณ์ เริ่มจากประธาน นปช.นายจตุพร พรหมพันธุ์ ถือเป็นหนึ่งในแกนนำเสื้อแดงร่วมกับ นายวีระ มุสิกพงศ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ใช้ถ้อยคำปราศรัยที่ดุดัน ปลุกเร้ามวลชนได้ดี ถึงลูกถึงคน จึงครองใจคนเสื้อแดงได้จำนวนมาก แม้จะไม่ใช่หน่วยที่เดินหน้านำมวลชนไปยังพื้นที่ต่างๆ แต่การประกาศตัวเพื่อโค่นล้มระบอบอำมาตย์ พร้อมด้วยการกล่าวพาดพิงไปถึงพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และคำปราศรัยหลายครั้งที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบัน ที่คนเสื้อแดงถูกฝ่ายเจ้าหน้าที่ปราบปราม กับถ้อยคำว่า “กระสุนพระราชทาน” จนฝ่ายกองทัพต้องดำเนินการฟ้องร้อง แต่สุดท้ายก็รอดมาได้ด้วยการที่กรมสอบสวนคดีพิเศษยุคนายธาริต เพ็งดิษฐ์ สั่งไม่ฟ้อง

โดยเฉพาะในช่วงปี 2553 เขาประกาศว่า “ให้เสื้อแดงทุกจังหวัดไปรวมตัวกันที่ศาลากลางจังหวัดของตัวเอง และรอฟังสัญญาณ หากจอมืดเมื่อไหร่ แสดงว่าส่งสัญญาณปราบปรามแล้ว พร้อมขอให้คนเสื้อแดงตัดสินใจทำอะไรทันที” หลังจากนั้นศาลากลางหลายจังหวัดก็ถูกเผา

นอกจากนี้ นายจตุพร ยังเป็นตัวท้าชนกับกองทัพบกอย่างเปิดเผย ทั้งกุเรื่องทหารเตรียมตัวทำการปฏิวัติเพื่อปลุกคนเสื้อแดงให้ออกมาร่วมกันต่อต้าน หรือปล่อยข่าวทหารเตรียมจับตัวนายกฯยิ่งลักษณ์

ขณะที่คู่หูของจตุพรอย่าง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นักพูดมืออาชีพที่ผันตัวเองมาทำงานการเมืองกับพรรคเพื่อไทย อาวุธหลักของทั้ง 2 คนคือคำปราศรัย จตุพรเน้นไปที่ดุดัน จริงจัง แต่แนวของณัฐวุฒิเน้นไปที่การหยอดมุกเฮฮา และเป็นขวัญใจแม่ยกเสื้อแดง ในช่วงสถานการณ์ปี 2553 คำพูดที่เป็นอมตะสำหรับณัฐวุฒิคือ

“ถ้าคุณยึดอำนาจผม ให้เผาไปเลยทั่วประเทศ และผมขอรับผิดชอบเอง ซึ่งหากใครจะมาจับก็มาเอากับผม หากมีการยิงหรือเสียงตูม คนเสื้อแดงที่ขี้ตกใจก็อาจจุดไฟเข้ามาก็ได้”

หลังจากที่แกนนำเสื้อแดงมอบตัว จากนั้นมีการวางเพลิงตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ทั้งที่บริเวณราชประสงค์และที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

อีกรายที่ต้องกล่าวถึงคือ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน ผลงานในช่วงปี 2553 เป็นผู้นำกลุ่มเสื้อแดงไล่ล่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ปิดล้อมที่กระทรวงมหาดไทย จนเกือบไม่รอดจากวงล้อมของคนเสื้อแดงที่ทุบทำลายรถยนต์ที่นายอภิสิทธิ์อยู่ด้านในอย่างบ้าคลั่ง

นอกจากนี้ ยังเป็นผู้นำคนเสื้อแดงไปประท้วงที่หน้าอาคารรัฐสภา จนเกิดเหตุบุกเข้าไปภายในรัฐสภา แล้วเดินทางไปชุมนุมปิดถนนประท้วงหน้าสถานีดาวเทียมไทยคม ถนนรัตนาธิเบศร์

นับได้ว่าสุภรณ์จัดเป็นฮาร์ดคอร์อีกรายที่พฤติกรรมส่วนใหญ่มักนำมวลชนไปตามพื้นที่ต่างๆ เพื่อจัดการกับกลุ่มเป้าหมาย ล่าสุดได้รับมอบหมายให้เป็นประธานอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตย ตั้งเป้าหมายรวบรวมกำลังคนให้ได้ 2 แสนคน

ยังไม่รวมถึงแกนนำอย่าง นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ที่จัดเป็นสายฮาร์ดคอร์อีกคนที่มีส่วนเข้าไปดูแลการฝึกด้านอาวุธให้กับคนเสื้อแดง แต่ระยะหลังลดบทบาทลง เนื่องจากภรรยาของเขาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพรรคเพื่อไทย

ขณะเดียวกัน แนวร่วมของคนเสื้อแดงยังมีนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ นักจัดรายการวิทยุชุมชน เสื้อแดงย่านปทุมธานี ที่แยกตัวออกมาเป็นแดงอิสระ มีลูกน้องในสังกัดและเคยปะทะกับกลุ่ม กปปส.มาแล้วที่ย่านหลักสี่ และการแสดงอิทธิฤทธิ์ของโกตี๋ในหลายครั้งเมื่อฝ่ายตำรวจร้องขอ ทุกอย่างก็จะจบโดยเร็ว ซึ่งโกตี๋ได้แสดงภาพความสนิทสนมกับพลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่โด่งดังจากป้ายในห้องทำงาน “มีวันนี้เพราะพี่ให้” และภาพให้ทักษิณ ชินวัตร ประดับยศพลตำรวจโทให้ โดยในระยะหลังโกตี๋เน้นไปที่การปกป้องนายกฯยิ่งลักษณ์เป็นหลัก

การประกาศศักดาของโกตี๋นอกเหนือไปจากการท้ารบกับนายทหารที่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในภาคสนามแล้ว ยังลามไปถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และยังท้าทายขึ้นป้ายขอแบ่งแยกประเทศที่ย่านปทุมธานี

ตามมาด้วยการออกมากล่าวว่า ทันทีที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ถูกถอดถอน จะเปิดยุทธการ “ช้างสารกับมดแดง” โดยกล่าวว่า “ผมนัดหมายพี่น้องเรดการ์ด และกลุ่มผมว่า วันนั้น มันประกาศถอดถอนนายกฯ หรือตัดสินนายกฯ ให้ลอย หรือว่าไม่ให้ทำงาน วันนั้นเสียงปืนแตกจะดังทั่วกรุงเทพมหานคร และไม่ใช่กลุ่มผมกลุ่มเดียว มีกลุ่มแดงสยาม กลุ่มอีสานที่นัดหมายมีอีกเยอะ ที่เรารออยู่”

โกตี๋บอกอีกว่า วันนี้พวกเรามองไว้บรรดาธนาคารต่างๆ ฝ่ายของอำมาตย์ ไม่ว่าแบงก์กรุงเทพ กรุงไทย ทหารไทย กรุงศรีฯ เราต้องรีบหาทางมองไว้ หมายตาไว้ อันดับแรกเราต้องยืมเงินมาใช้ก่อน ไม่ได้ปล้นนะ แค่ยืมเงินมาใช้ก่อน ตู้เอทีเอ็มไปหาที่ยืมมา แม้แต่ร้านสะดวกซื้อ 7-11 ยืมเสบียงมาใช้ก่อน ปั๊มน้ำมันยืมน้ำมันมาก่อน เหตุการณ์สงบค่อยไปคืนมัน นั่นคือผมเตรียมไว้ ผมคิดไว้อย่างนี้

ดังนั้นเมื่อการเปลี่ยนตัวประธาน นปช.มาเป็นสายฮาร์ดคอร์อย่างจตุพร และณัฐวุฒิ ในตำแหน่งเลขาธิการ บวกรวมกับนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หากรวมโกตี๋เข้ามาไว้ด้วย ซึ่งไม่น่าจะใช่เรื่องยากสำหรับสถานการณ์ในเวลานี้ ชี้ให้เห็นว่ากลุ่ม นปช.ยุคนี้ย่อมเป็นกลุ่มที่คนทั่วไปยากที่จะไว้วางใจในเรื่องการต่อสู้ในแนวทางที่สงบ สันติ ปราศจากอาวุธ

ยิ่งลักษณ์! ต้องยุติความรุนแรง

ด้าน นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเปลี่ยนตัวประธานกลุ่ม นปช. จากนางธิดา ถาวรเศรษฐ มาเป็นนายจตุพร พรหมพันธุ์ และมีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นเลขาธิการว่า การเคลื่อนไหวจะเป็นในเชิงรุกมากขึ้น เนื่องจากนายจตุพรมีความเชี่ยวชาญด้านการปลุกระดม และเป็นตัวเชื่อมกลุ่มต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ทำให้การเคลื่อนไหวมีพลังในการสนับสนุนรัฐบาล

“คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ คำพูดของโกตี๋ที่ออกมาเรื่องกองกำลังหรือมีแผนจะเอาเงินที่ธนาคารหรือปั๊มน้ำมันต่างๆ นายกฯ ต้องดำเนินการทางกฎหมายเพื่อหยุดยั้งสิ่งเหล่านี้ไม่ให้เกิดขึ้น”

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังแสดงความเป็นห่วงสถานการณ์ เนื่องจากภาพลักษณ์ของแกนนำ นปช.สะท้อนถึงความรุนแรงและอาจเกิดการเผชิญหน้ากันได้ ส่วนจะมีเรื่องอื่น เช่น อาวุธหรือกองกำลังหรือไม่นั้นต้องติดตามดูกันต่อไป

“ประยุทธ์” ชี้ “ตู่” เป็นคนไม่มีเกียรติ

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเปลี่ยนตัวประธาน นปช.มาเป็นนายจตุพร ผู้บัญชาการทหารบกออกมากล่าวถึงเรื่องดังกล่าว คนที่เป็นผู้นำได้ต้องมีเกียรติ และไม่ใช่มีด้วยตัวเอง แต่คนอื่นมีให้เอง แต่ถ้ายังใช้วิธีการเลวๆ พูดหยาบคาย ฟังไม่ได้ คนแบบนี้หรือที่ท่านจะให้เขาเป็นใหญ่ เหมือนเราไปยกย่องคนไม่ดีมาเป็นผู้นำ เพราะฉะนั้นวันนี้ คนไทยต้องตาสว่าง

นับเป็นการตอบโต้นายจตุพรอย่างเผ็ดร้อน เพราะที่ผ่านมานายจตุพรมักจะพุ่งเป้าโจมตีมาที่ฝ่ายกองทัพอยู่เสมอ ทั้งเรื่องการออกมากล่าวถึงเรื่องการปฏิวัติรัฐประหาร

แกนนำแดงอุบลยันไม่รุนแรง

ส่วน นายพิเชษฐ์ ทาบุตดา หรือ “ดีเจต้อย” แกนนำคนเสื้อแดงกลุ่มชักธงรบ อุบลราชธานี กล่าวถึงการเปลี่ยนตัวประธาน นปช.ครั้งนี้ว่า แนวทางการทำงานของ นปช.ก็ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จริงๆ แล้วภาพของอาจารย์ธิดาเป็นผู้หญิง เป็นนักวิชาการ ส่วนจตุพรกลุ่มฮาร์ดคอร์อาจจะถูกใจ

สถานการณ์ตอนนี้เราเป็นรัฐบาล การเคลื่อนไหวบางครั้งอาจทำให้บางฝ่ายไม่สบายใจกับเรา อย่างกรณีนายสุภรณ์ ที่ไปรับสมัครอาสานั้น ถือว่าไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล ทางที่ดีตอนนี้เสื้อแดงน่าจะจัดกิจกรรมหรือชุมนุมต่อไป ซึ่งไม่มีใครว่า อย่าทำอะไรให้ใครมาสงสัยเรา การขัดแย้งกับทหารไม่มีประโยชน์ เราจะไปจุดไฟให้ลุกขึ้นมาหรืออย่างไร

ที่ผ่านมา การชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ที่ผ่านมา พวกเขาก็ไม่รู้จะหาอะไรมาเล่นแล้ว อย่าง กปปส.ที่ไปชุมนุมหน้าห้างอิมพีเรียลนั้น เพื่อต้องการหลอกล่อให้เราออกมา ดังนั้นเราอย่าไปเล่นเกมตามเขา และมองว่ากลุ่ม กปปส.กำลังหาทางลง ไม่รู้จะทำอะไรต่อไป เห็นได้จากการไปเล่นเรื่องหวยนายกฯ ที่กองสลาก

แกนนำคนเสื้อแดงกลุ่มชักธงรบ กล่าวถึงสถานการณ์ที่นายกรัฐมนตรีอาจถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดในเรื่องรับจำนำข้าว จนต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น เรามีรองนายกรัฐมนตรีที่พร้อมจะทำหน้าที่แทนอีกตั้ง 7 คน อย่าลืมว่าเราเป็นรัฐบาลอยู่ในเวลานี้ ทำไมจะต้องทำอะไรที่เป็นการรุกฝ่ายเราเอง

เมื่อให้ประเมินถึงทิศทางการขับเคลื่อนของกลุ่ม นปช.ภายใต้บังเหียนของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ดีเจต้อย ประเมินว่า ภาพรวมของการเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช.จากนี้ไปคงไม่แตกต่างจากเดิม ที่มองกันว่าอาจมีการใช้ความรุนแรงนั้นคงไม่มี เพราะ นปช.ไม่ใช่ของนายจตุพรหรือนายณัฐวุฒิ การจะทำอะไรก็ต้องประชุมหารือกันก่อน

อีกอย่างจตุพรเป็นคนมีเหตุผล รับฟังความคิดเห็นคนอื่นและการเคลื่อนไหวในทิศทางที่รุนแรงนั้น ตัวแกนนำก็มีคดีเต็มไปหมด หากถูกถอนประกันก็จะลำบาก เราจะไปเร่งให้คนเขาด่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ กันทำไม เพราะหากทำอะไรไปก็เหมือนกับว่านายกฯ ปากว่าตาขยิบ

“ยืนยันว่าไม่มีความรุนแรงเหมือนปี 2553 แน่ ซึ่งตอนนั้นเราเป็นฝ่ายค้าน แต่ตอนนี้เราเป็นรัฐบาล ผมรู้ใจน้องๆ พวกนี้ การเคลื่อนไหวแบบนี้ไม่เป็นผลดี”

“สุภรณ์-โกตี๋” แค่โชว์นาย

สำหรับกรณีที่แรมโบ้อีสานไปรับสมัครอาสานั้น เป็นเรื่องที่ทุกคนแสดงออกได้ แต่ทุกคนก็ต้องอยู่ในกรอบ ซึ่งถือว่าแรมโบ้เป็นน้อง บางครั้งการทำอะไรอาจจะไม่รอบคอบ จากเดิมเป็นแกนนำแถว 2 จึงต้องการสร้างศักยภาพให้เข้าตานาย ซึ่งเรื่องอาสาสมัครนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้เงินมาจัดการในเรื่องนี้ ที่ผ่านมามีการเปิดรับสมัครก็จริง แต่มาสมัครแล้วก็แจกเสื้อแล้วกลับบ้าน ไม่มีอะไรมาก คงจุดกระแสนี้ไม่ขึ้น

ขณะเดียวกัน ช่วงที่ผ่านมายังมีแดงอิสระที่เปิดยุทธการท้าทายฝ่ายทหาร รวมไปถึงการเคลื่อนไหวที่แยกเป็นอิสระจากกลุ่ม นปช. อย่างโกตี๋ แกนนำกลุ่มชักธงรบ อุบลราชธานี กล่าวว่า “ผมต่อสู้มาตั้งแต่ปี 2551 อย่างตอนที่ผมต่อสู้และต้องติดคุกจนพ้นโทษออกมาก็ไม่เคยเห็นชื่อของโกตี๋ เพิ่งจะมาในตอนหลังนี้เอง อย่าไปให้ความสำคัญ เป็นแค่การสร้างตัวเองขึ้นมาเท่านั้น อย่างโกตี๋จะเอากองกำลังจากที่ไหน ที่ออกมาก็แค่ขู่ทหาร ถ้าทหารเอาจริงใครจะกล้าไปตาย”

ที่ผ่านมาดีเจต้อยมักถูกต่อว่าเป็นขี้ข้าทักษิณ เขายืนยันว่าไม่ใช่ขี้ข้าทักษิณ แต่เป็นคนที่มีบุญคุณกับทักษิณ เพราะเลือกนายกฯ ยิ่งลักษณ์เข้ามา ส่วนการจะระดมพลกันเพื่อให้เกิดการฆ่าแกงกันนั้นคงไม่เอาด้วย การต่อสู้ของกลุ่มชักธงรบนั้นดูว่าอะไรถูกต้อง ส่วนคนอื่นที่ลุกขึ้นมาสู้เขาเป็นนักการเมือง เมื่อชนะแล้วก็ได้ดีขึ้นมา แต่เราไม่ใช่อย่างนั้น

“เราต้องรู้ทหารไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนเสื้อแดง พวกเราจะแก้ปัญหาบ้านเมืองด้วยวิธีการแบบนี้หรือ บ้านเมืองไม่ใช่ของเราคนเดียว เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วก็ต้องยอมให้เขาตำหนิบ้าง” ดีเจต้อยระบุ

แค่เพิ่มอำนาจต่อรอง

ขณะที่แหล่งข่าวด้านความมั่นคงประเมินว่า การปรับเปลี่ยนตัวประธาน นปช.ถือเป็นเพียงยุทธวิธีหนึ่งเพื่อสร้างการต่อรองกับฝ่ายตรงข้าม ด้วยการอาศัยภาพลักษณ์ของจตุพรเข้ามาเป็นจุดขายเท่านั้น เพราะหากประเมินจากกำลังที่จะเข้ามาเหมือนปี 2553 นั้นยังห่างกันมาก อีกทั้งคนเสื้อแดงถดถอยไปมาก หลังจากที่หลายคนเริ่มเห็นความจริงบางประการ เห็นได้จากการนัดชุมนุมหลายครั้งที่ผ่านมา กลุ่มคนเสื้อแดงหายไปมาก และจตุพรเองเป็นเพียงแค่นักปราศรัยเท่านั้น

อีกทั้งกองกำลังที่จะเข้ามาสนับสนุนรัฐบาลในครั้งนี้ ไม่เหมือนครั้งก่อน เรื่องชุดที่ติดอาวุธนั้นก็อาจจะมีบ้างแต่ไม่มาก หากฝ่ายความมั่นคงดำเนินการจริงจังคงสามารถจัดการได้ อีกทั้งที่ผ่านมาท่าทีของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ค่อนข้างจริงจังกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง เห็นได้จากการดำเนินคดีกับกลุ่มที่ประกาศแยกประเทศ รวมถึงคำสัมภาษณ์ตำหนินายจตุพรอย่างดุเดือด

แม้การออกมาขับเคลื่อนของกลุ่ม นปช.ที่เดินในเส้นทางเดียวกับพรรคเพื่อไทยมาตลอด ตั้งแต่การทวงอำนาจจนเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง และในยามที่สถานการณ์ของรัฐบาลเพื่อไทยกำลังเพลี่ยงพล้ำ กลุ่ม นปช.และคนเสื้อแดงก็ยังคงรับหน้าที่คอยปกป้องรัฐบาลนี้ตลอดเวลา แต่ในเวลานี้เสื้อแดงหลายคนเริ่มตาสว่าง เริ่มได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาลนี้ อย่างเช่นโครงการจำนำข้าวที่ยังไม่ได้รับเงิน ที่แม้แต่คนเสื้อแดงก็ถูกเบี้ยวจ่ายค่าจำนำข้าวเช่นกัน อีกทั้งยังถูกศาลยุติธรรมและองค์กรอย่าง ป.ป.ช. ตัดสินถึงความไม่ชอบธรรมในหลายเรื่อง

ดังนั้น การจะปลุกคนเสื้อแดงให้กลับมาคึกคักและมีพลังเหมือนปี 2553 นั้นคงเป็นไปได้ยาก แม้แต่คนเสื้อแดงเองก็ยังประเมินว่า ที่ออกๆ กันมานั้นเป็นเพียงการแสดงบทบาทหนึ่งเพื่อยกระดับตัวเองขึ้นมาให้เข้าตานายใหญ่เท่านั้นเอง!

กำลังโหลดความคิดเห็น