“เสื้อแดง” เดินเกมพลาดออกบัตรเชิญทหารกระชับอำนาจรัฐบาล อหังการประกาศแบ่งแยกประเทศ ตั้งกองกำลังติดอาวุธ เหล่าสาวกแต่ละรายดาหน้าเปิดศึกขุนทหาร ฝ่ายความมั่นคงชี้ งานนี้เสื้อแดงพ่ายทุกแนวรบ ถูกเปลือยแนวคิดล่อนจ้อน เปิดช่องทหารเข้าดำเนินการโดยชอบธรรม เผยนาทีนี้เส้นทางเดินระหว่างทหารกับรัฐบาลแยกออกจากกัน ย้ำสิ่งที่เสื้อแดงทำทั้งหมดกลายเป็นเข้าทาง กปปส.ได้กองกำลังทหารเข้าปกป้อง จัดการ นปช.และเขี่ย “ยิ่งลักษณ์” ได้
ปฏิบัติการของคนเสื้อแดงนับวันจะนำไปสู่ความรุนแรงและท้าทายอำนาจรัฐมากขึ้นอาจเป็นเพราะเชื่อมั่นว่าสิ่งที่กระทำลงไปเพื่อจัดการผู้ชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณนั้นจะถูกใจนายใหญ่อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงความมั่นใจว่ามีอำนาจรัฐอยู่ในมือพวกตน ไม่มีทางที่ใครจะเอาผิดได้
ตั้งแต่การยกกำลังสกัดกั้นหรือดักทำร้ายผู้ชุมนุมระหว่างทางที่ผู้ชุมนุมเคลื่อนไหวไปตามพื้นที่ต่างๆ ซึ่งคดีความที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีความคืบหน้า ด้วยเหตุที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยปกป้องรัฐบาล ยืนอยู่ในจุดเดียวกัน
แต่แล้วก็เกิดจุดพลิกผันเมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์เริ่มเปลี่ยนเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2557 ในพื้นที่ย่านหลักสี่ กลุ่มของโกตี๋ หรือนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ ซึ่งจัดการส่องผู้ชุมนุมที่เคลื่อนที่ผ่านพื้นที่ดังกล่าว คงไม่คิดว่าปฏิบัติการครั้งนี้จะยากเหมือนครั้งก่อน เพราะจู่จู่ก็มีนักรบป๊อปคอร์นเข้ามาช่วยเปิดทางให้ผู้ชุมนุมเคลื่อนที่ไปได้อย่างปลอดภัย ทำเอาฝ่ายโกตี๋ที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบรวมอยู่ด้วยต้องล่าถอยไป
เช่นเดียวกับการขอคืนพื้นที่เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่สะพานผ่านฟ้า เจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบอาวุธครบมือที่ซ้อนแผนกับทีมเจรจาเปิดปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ แต่ถูกตอบโต้จากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายจนต้องถอยร่นไม่เป็นท่า
ที่สำคัญเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งดูเหมือนจะเอนเอียงไปอยู่ข้างรัฐบาลรักษาการและคนเสื้อแดงที่พยายามจะจัดการม็อบ กปปส.ก็ต้องหันมาทบทวนบทบาทใหม่หลังศาลแพ่งมีคำสั่งเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ ให้รัฐบาลใช้พระราชกำหนดฉุกเฉินได้ แต่กลับมีข้อห้าม 9 ข้อ ที่ฝ่ายรัฐบาลไม่สามารถนำมาบังคับใช้กับผู้ชุมนุม เท่ากับหน่วยงานศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ที่มีร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง รักษาการรัฐมนตรีแรงงาน เป็นผู้อำนวยการศูนย์ ไม่สามารถใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่สามารถออกคำสั่งใดๆ กับผู้ชุมนุมได้ สภาพของ ศรส.จึงไม่ต่างกับหน่วยงานที่ไม่มีเครื่องมือใดๆ ที่จะมาจัดการกับฝ่ายผู้ชุมนุม
ผลของคำสั่งศาลแพ่งทำให้พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของ ศรส.กลายเป็นหน่วยงานของตำรวจที่รัฐบาลเคยใช้เป็นเครื่องมือหลักหายไปในทันที และการเดินเกมของรัฐบาลรักษาการเพื่อจัดการกับกลุ่ม กปปส.ก็ดูจะยากยิ่งขึ้นไปอีกจนอาจเรียกว่าจนตรอกก็ว่าได้
“ลั่นกลองรบ” เปลือยตัวตนรัฐบาล
เมื่อรัฐบาลอยู่ในสถานะจนตรอก ไม่สามารถใช้อำนาจรัฐและหน่วยงานรัฐที่มีอยู่จัดการกับฝ่ายผู้ชุมนุมได้ การเปิดเกมใต้ดินจึงเริ่มอย่างเป็นทางการด้วยการกล่าวถึงชื่อของพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี อดีตนายทหารที่มีประสบการณ์รบนอกแบบและยังเป็นที่ปรึกษาของนายกฯ ยิ่งลักษณ์อยู่ ให้เข้ามาร่วมงานใน ศรส.ยังไม่มีคำสั่งแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ แต่กลับมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นกับผู้ชุมนุม
21 กุมภาพันธ์เกิดเหตุระเบิดที่ย่านประตูน้ำ
22 กุมภาพันธ์มีการกราดยิงและขว้างระเบิดใส่ผู้ชุมนุม กปปส.ที่จังหวัดตราด มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
23 กุมภาพันธ์มีการยิงปืน M79 ที่หน้าบิ๊กซี ราชดำริ มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต โดยทั้งที่ตราดและหน้าบิ๊กซี ราชดำริ ผู้เสียชีวิตเป็นเด็ก
ขณะเดียวกัน กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จัดงานลั่นกลองรบที่จังหวัดนครราชสีมา ในวันเดียวกันกับที่เกิดเหตุระเบิดที่บิ๊กซี ราชดำริ เนื้อหาหลักๆ ของการชุมนุมในครั้งนั้นเผยถึงแผนที่กลุ่ม นปช.ได้ดำเนินการเพื่อตอบโต้กับฝ่ายผู้ชุมนุมที่ต่อต้านรัฐบาล หนึ่งในนั้นมีการกล่าวถึงเรื่องการแยกประเทศออกเป็นไทยเหนือ ไทยอีสาน มีการรับสมัครอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ เพื่อเป็นกองกำลังของคนเสื้อแดง รวมไปถึงการปราศรัยที่แสดงเจตนาถึงการรบขั้นแตกหักกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาล โดยมีนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่กล่าวรับเอาข้อเสนอต่างๆ ของ นปช.มาไว้พิจารณา
การชุมนุมในวันดังกล่าวเท่ากับเป็นการเปิดยุทธศาสตร์ในการปฏิบัติการของกลุ่ม นปช. และรัฐบาลรักษาการออกมาทั้งหมด
หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์ระเบิด การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปสกัดกั้นการทำงานขององค์กรอิสระ ทั้งศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รวมถึงการเข้าไปสร้างสถานการณ์ในพื้นที่รอบเวทีชุมนุมของ กปปส.เกิดขึ้นทุกวัน
ออกบัตรเชิญทหาร
ไม่ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นการจงใจล่อให้ทหารออกมาจัดการกับผู้ก่อเหตุหรือไม่ก็ตาม แต่กลับกลายเป็นบัตรเชิญอันชอบธรรมที่ให้ฝ่ายกองทัพเพิ่มกำลังดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนจาก 29 จุด เพิ่มขึ้นเป็น 176 จุดทันที เมื่อ 26 กุมภาพันธ์
“การเสริมกำลังทหารเป็น 176 จุด และย้ายผู้ชุมนุมไปรวมอยู่สวนลุมฯ จุดเดียว เป็นเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แจ้งไปยังคุณสุเทพ ว่ามีการข่าวว่าจะเกิดเหตุรุนแรงและได้มีการจับกุมอาวุธสงคราม ระเบิด ปืน ของกลุ่มกองกำลังที่จะเข้ามาทำร้ายผู้ชุมนุมในช่วง 26 ก.พ-4 มี.ค.จึงขอให้คุณสุเทพรวมอยู่จุดเดียวเพื่อที่ทหารจะเข้ามาดูแลรักษาความปลอดภัยได้ง่าย”
ด้านแหล่งข่าวความมั่นคงบอกว่า สิ่งที่เสื้อแดงและคนของพรรคเพื่อไทยทำมาทั้งหมด ไม่ต่างกับคนที่กำลังจนตรอก ทำอะไรก็ย้อนเข้าหาตัวเองทั้งหมด ทั้งนี้เพราะฝ่ายของเขากำลังจะแพ้ในทุกแนวรบ และยิ่งพวกเขาทำมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นการเปิดเผยตัวแนะแนวคิดของพวกเขามากขึ้น โดยเฉพาะการชุมนุมเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ซึ่งหลังจากนั้นมีการเดินหน้าตามแผนที่ประกาศเอาไว้ ประเด็นใหญ่ที่สุดคือเรื่องการแยกประเทศ เพราะหลังจากนั้นเริ่มมีการขึ้นป้ายขอแบ่งประเทศติดที่จังหวัดพิษณุโลกในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ และอีกหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ
การจุดประกายแนวคิดเรื่องการแยกดินแดนแทนที่จะกลายเป็นเรื่องบวกกับกลุ่มคนเสื้อแดง แต่กระแสตีกลับ มีประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากการทำลายป้ายแยกประเทศแล้วขึ้นป้ายใหม่ที่ไม่ต้องการเห็นการแบ่งแยกประเทศ
ขณะเดียวกัน ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายกองทัพเข้ามาดำเนินการในเรื่องนี้ได้อย่างชอบธรรม เนื่องจากเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ เห็นได้จากการให้แม่ทัพภาคที่ 3 ไปดำเนินการแจ้งความเอาผิดกับผู้กระทำการดังกล่าว นับเป็นการเข้าไปกระชับอำนาจของกลุ่มคนที่สนับสนุนรัฐบาลได้โดยไร้ข้อกังขา
อีกทั้งยังเป็นความชอบธรรมที่ฝ่ายกองทัพจะเพิ่มกำลังพลเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯ มากขึ้น ด้วยเหตุที่กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศรับสมัครอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติที่ตั้งเป้าไว้ 2 แสนคน ที่มี นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เป็นประธาน แล้วจะเคลื่อนพลเข้ากรุงเทพฯ พร้อมด้วยกองกำลังที่จะมาปกป้องรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์
“คุณจะให้ทหารรู้สึกอย่างไรเมื่อเสื้อแดงเชียงใหม่แสดงสัญลักษณ์ทั้งธง ป้ายผ้า ที่มีข้อความ สปป.ล้านนา เพื่อรอต้อนรับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ โดยที่ก่อนหน้านี้มีการเผยแพร่คลิปสวนสนามของกองกำลังตำรวจบ้านที่จังหวัดพะเยา โดยมี นายสงวน พงษ์มณี อดีต ส.ส.ลำพูน ปรากฏตัวพร้อมแกนนำฮาร์ดคอร์อย่างนายอดิศร เพียงเกษ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ขึ้นแท่นตรวจรับการสวนสนามของตำรวจบ้าน 8,300 นาย องค์ประกอบครบถ้วนทั้งเจตนาแบ่งแยกดินแดน มีกองกำลังเป็นของตัวเอง เข้าข่ายกบฏแบ่งแยกดินแดน”
“จตุพร-โกตี๋” เปิดหน้าชน
นอกจากนี้ขุนพลเสื้อแดงยังพยายามเดินหน้าชนกับบรรดานายทหาร ทั้งเรื่องของการ์ด กปปส.ที่มองกันว่าเป็นทีมที่กองทัพเรือส่งมา โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.ได้พาดพิงไปถึงพลเรือตรี วินัย กล่อมอินทร์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ (ผบ.นสร.) ที่เคยออกมาเตือนว่าอาจมีการขนกองกำลังต่างชาติเข้ามา รวมถึงการกล่าวหาไปถึงพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่มองว่าอาจจะใช้ทหารมาทำการปฏิวัติรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ล่าสุดกับการที่นายจตุพรต่อว่าพลเอกประยุทธ์ทั้งเรื่องการแจ้งความกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 และกลุ่มคนเสื้อแดง จ.พะเยา เรื่องการแบ่งแยกประเทศ และกล่าวหาว่ากลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.ขัดขวางการเลือกตั้ง ยึดถนน แต่กลับเอาทหารมาตั้งบังเกอร์คุ้มครองให้ พร้อมบอกพลเอกประยุทธ์ให้ไปทำเรื่องอื่น เพราะเหลือเวลาอีกเพียงแค่ไม่กี่เดือนก็จะเกษียณอายุ จะไปแบบดีๆ หรือจะไปแบบทรราช
ไม่เพียงแค่นายจตุพรที่เปิดศึกกับกองทัพเท่านั้น ยังมีนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง จังหวัดปทุมธานี ที่ท้าชนกับกองทัพ ทั้งเรื่องการประกาศผ่านสถานีวิทยุของคนเสื้อแดง ให้มวลชนไปจับตัว พลตรี วราห์ บุญญะสิทธิ์ ผบ.พล.1 รอ.และพันเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.ร.11 รอ.รวมถึงการให้สัมภาษณ์ท้าทายไปถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และยังขึ้นป้ายด้วยถ้อยคำ “อยู่กันด้วยความสามัคคีไม่ได้ ก็แบ่งแยกกันอยู่” และตัวหนังสือสีขาวเขียนว่า “มึงกับกู...แยกแผ่นดินกันเลย…” ลงชื่อ โกตี๋ เรดการ์ด
ถือเป็นการท้าชนกับผู้บัญชาการทหารบกแบบไม่เกรงกลัว
ยิ่งลักษณ์เอียงป้องแดง
ไม่เพียงแค่กลุ่มคนเสื้อแดง และสมาชิกของพรรคเพื่อไทยที่เดินเครื่องเปิดศึกกับฝ่ายทหารเท่านั้น นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แม้จะต้องวางท่าทีที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการแบ่งแยกประเทศของฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลของเธอ แต่หากพิจารณาจากคำพูดของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่ประชุมร่วมกับกองทัพ มีคำพูดที่น่าสนใจต่อเรื่องการแบ่งแยกดินแดนว่า
“ทุกวันนี้เราก็ไม่ได้สนับสนุนอยู่แล้ว ในเมื่อกองทัพจะตรวจสอบเราก็ยินดี ถือว่าเป็นสิ่งที่กองทัพทำหน้าที่ของกองทัพ แต่ขอให้มีการตรวจสอบทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน ถ้าตรวจสอบเน้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็จะกลับมาเกิดในเรื่องของความน้อยเหนือต่ำใจ ก็จะมีปัญหาเกิดขึ้น แต่ถ้าเราทำทุกอย่างบนหลักความยุติธรรม อย่างเท่าเทียมกันเชื่อว่าปัญหานี้จะลดน้อยลงไป”
อีกทั้งยังเสนอให้กองทัพปรับบังเกอร์ทหารที่ตั้งตามจุดต่างๆ ว่า จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศ
ฝ่ายความมั่นคงกล่าวต่อไปว่า จะเห็นได้ว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ พยายามที่จะปกป้องคนเสื้อแดงและฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาล เพียงแต่ไม่สามารถทำได้อย่างเปิดเผย เนื่องจากตัวเองมีตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมค้ำอยู่
ประยุทธ์โต้ทุกดอก
ขณะที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวที่หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.) เมื่อ 6 มีนาคม 2557 ถึงกรณีที่ นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำเสื้อแดงปทุมธานี นำแผ่นป้ายแบ่งแยกดินแดนมาติดว่า รัฐต้องดำเนินการ และจะเร่งรัดให้ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ดำเนินการ เพราะรัฐและ ศรส.มีหน้าที่ในการดูแลในพื้นที่ที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
ผู้บัญชาการทหารบกกล่าวเพิ่มเติมว่า จะมีการปรับกำลังทหารให้มีความเหมาะสม และกำหนดบทบาทให้ชัดเจน เพราะถูกกล่าวหาว่า ไปดูแลใครเป็นพิเศษ ยืนยันว่าเราไม่ได้ไปดูแลให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ที่ต้องนำกำลังทหารไปดูแลเพราะพื้นที่ตรงนั้นเป็นที่หมายในการใช้อาวุธสงครามและการใช้ความรุนแรงทั้งในและนอกพื้นที่ หากเราลดจุดหนึ่งจุดใดลงไปจะทำให้สถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น
นอกจากนี้ ได้พูดคุยกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เพื่อให้หยุดการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง และได้รับการบอกกล่าวว่าจะพยายามห้ามปราม ซึ่งตนก็พยายามรายงานขึ้นไปตลอด
พลเอก ประยุทธ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า สังคมวันนี้จะหยุดได้โดยพวกเราช่วยกันให้ทุกคนเคารพกติกา และเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ถ้าใช้อาวุธต่อสู้ไม่มีใครชนะ ซึ่งทหารก็ปล่อยไม่ได้ที่จะให้ทุกคนมารบกัน
“เราต้องเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม หากเราไม่เชื่อมั่น ประเทศจะไปไม่ได้ ทุกประเทศต้องใช้กระบวนการยุติธรรม ส่วนจะเป็นธรรมหรือไม่ ต้องติดตามดู คิดว่าการตัดสินอะไรก็แล้วแต่ ท้ายสุดจะอยู่ที่กระบวนการตรวจสอบ พยานหลักฐาน และสิ่งที่พิสูจน์ทราบได้ชัดเจน และแก้ต่างได้หรือไม่ แต่จะถูกหรือผิด ไม่ได้อยู่ที่เราเป็นคนตรวจสอบ ผมไม่ก้าวล่วงอำนาจศาล เป็นเรื่องที่ประชาชนทุกคนพูดได้ว่า ใครถูกหรือผิด แต่พูดแล้วไม่เกิดประโยชน์ และสุดท้ายต้องเข้าไปสู่กระบวนการยุติธรรม และตัดสินด้วยการไม่ถูกบังคับ แต่ถ้าคิดว่า ตัดสินไม่ดีก็สามารถอุทธรณ์ ต่อสู้ได้” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว
ส่วนการที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้มีการปรับบังเกอร์ เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้พยายามปรับอยู่ อาจจะปรับติดดอกไม้ เอาผ้าม่านสีชมพูมาติด แต่การดำเนินการเป็นไปตามโซนนิ่งเพื่อควบคุมดูแลความปลอดภัย ส่วนที่มีการใช้อาวุธสงครามเราก็ป้องกันอยู่ และที่สร้างบังเกอร์เพราะต้องใช้ป้องกัน เนื่องจากทหารไม่ได้ใช้อาวุธ แต่อาจจะทำให้บังเกอร์ดูนุ่มนวลลงหน่อย แต่ทหารก็คือทหาร จะให้อ่อนแอพับเพียบเรียบร้อยเป็นลิเกหรืออย่างไร
แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า หากประเมินคำพูดของพลเอก ประยุทธ์ ให้ดีจะพบว่า นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างพลเอก ประยุทธ์ กับนางสาวยิ่งลักษณ์ได้เป็นอย่างดี จะเห็นได้ว่าผู้บัญชาการทหารบกกล่าวถึงจุดอ่อนที่ฝ่ายรัฐบาลดำเนินการมาว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย รัฐบาลต้องเข้าไปจัดการ เช่น กรณีโกตี๋ และยังได้ให้นายกฯ ไปปรามกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งนายกฯ รับปาก นั่นหมายถึงนายกฯ รู้เห็นและทราบในเรื่องเหล่านี้ ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่หนุนรัฐบาลอยู่
ขณะที่ยังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งหมายรวมถึงนายกรัฐมนตรีและกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยหรือไม่ที่ต้องเคารพกระบวนการนี้ ถือว่าท่าทีของพลเอกประยุทธ์ในวันนี้เลือกที่จะยืนไม่ใช่ข้างรัฐบาลชัดเจน
พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ในการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองที่มีมาโดยตลอดนั้น ไม่เคยมีครั้งใดที่ประกาศแยกประเทศไทย ไม่ว่าฝ่ายที่เพลี่ยงพล้ำหรือใกล้จะพ่ายแพ้ นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อผู้ที่ใกล้จะแพ้แล้ว มาชูธงเรื่องการแบ่งแยกประเทศ และโชคดีที่คนเกือบทั้งประเทศไม่เอาด้วยกับแนวคิดดังกล่าว
สถานการณ์ในเวลานี้การที่จะกอบกู้สถานการณ์ของรัฐบาลในสายตาของทหารนั้นคงเป็นเรื่องยาก เพราะทุกอย่างชัดเจน เพียงแต่ว่าทหารจะเลือกวิธีจัดการกับปัญหาเหล่านี้อย่างไร
ทหารกับรัฐบาลเดินคนละทาง
ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ นักวิชาการอิสระ ประเมินสถานการณ์ขณะนี้ว่า เส้นทางเดินระหว่างทหารกับรัฐบาลตอนนี้ได้เดินแยกออกจากกัน เพราะทหารมีหน้าที่ในการปกป้องประชาชน และทหารต้องเข้ามาดำเนินการกลับกลุ่มที่คิดแบ่งแยกประเทศ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นอาการถลำตัวของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่มีทั้งเรื่องของการขนคนที่เป็นกองกำลังเข้ามา เพื่อให้เกิดสงครามกลางเมือง
ดังนั้น สิ่งที่ทหารดำเนินการไปทั้งหมดทั้งเรื่องการฟ้องดำเนินคดีกับผู้ที่แบ่งแยกดินแดน หรือการเพิ่มจุดตรวจทั่วกรุงเทพฯ เป็น 176 จุด รวมไปถึงคำพูดของพลเอกประยุทธ์ที่มองว่าเหตุรุนแรงในขณะนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อปี 2553 แสดงให้เห็นว่าทหารไม่เอาด้วยกับทักษิณ
“สิ่งที่เสื้อแดงและทักษิณทำในเวลานี้ทั้งหมด เป็นการคิดแบบตะวันตก เน้นไปที่การสู้รบกัน ใครเก่งกว่า ใครเหนือกว่า ยอมแพ้ไม่เป็น ถ้าคุณทักษิณรู้จักอ่อนลงมาบ้างก็จะไม่เป็นปัญหาอย่างทุกวันนี้ ยังกลับมาประเทศไทยได้ ทำธุรกิจได้”
ขณะที่เหตุการณ์ในปี 2553 นั้นทักษิณก็ไม่มีกองกำลังมากนัก เพียงแต่ทำให้สถานการณ์นำไปสู่การใช้ทหารเข้ามาปราบปรามผู้ชุมนุม แล้วใช้สถานการณ์นี้มาเป็นเครื่องมือในการสร้างความได้เปรียบ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ต้องการทำให้ทหารเข้ามาจัดการกับคนเสื้อแดงและรัฐบาล เพื่อหวังจะใช้เป็นข้ออ้างในการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น เรื่องนี้ทหารก็ทราบดีจึงเลือกที่จะยืนอยู่ในจุดของเขา ไม่เดินตามเกมที่ขุดล่อไว้
นอกจากนี้ อาการดิ้นพล่านของกลุ่มคนเสื้อแดงและคนของพรรคเพื่อไทย ที่เดินเครื่องป่วนการชุมนุมของ กปปส.ที่เดินเกมลงใต้ดิน รวมไปถึงการเปิดหน้าท้าชนกับกองทัพทุกรูปแบบ และยังท้าทายทั้งเรื่องแนวคิดในการแบ่งแยกดินแดน มีการจัดตั้งกองกำลังเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจวางหมากเพื่อเปิดตัวทหารว่าเลือกข้างฝ่ายใด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นถือเป็นการสร้างความชอบธรรมให้ทหารเข้ามาจัดการกับปัญหาที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ชนิดที่ไม่มีข้อครหาใดๆ
แม้ว่าการเลือกออกมายืนปกป้องประชาชนของฝ่ายทหาร ที่ดูเหมือนเป็นการเอนเอียงไปในทางเดียวกับกลุ่ม กปปส.แต่ทหารยังคงทิ้งระยะห่างกับฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล เลือกที่จะเดินหมากที่ไม่สุ่มเสี่ยงต่อการปฏิวัติ และเลือกที่จะบีบรัฐบาลในทุกสถานการณ์ที่เปิดช่อง
นาทีนี้แม้ทหารจะไม่ประกาศเลือกข้างฝ่ายใด แต่ก็ชัดเจนแล้วว่าฝ่ายกองทัพกับรัฐบาลเดินกันคนละเส้นทาง