วงในเตือนอย่าไว้ใจคำสั่ง “อดุลย์” แย้มมีตำรวจที่ขึ้นตรงกับนักการเมือง เปลี่ยนยุทธวิธีหันมากำจัดคนมีสีสวมเสื้อการ์ดอยู่รอบตัวแกนนำออกไปก่อน มีทีมประกบ ชี้เป้าตำรวจตั้งด่านจับ แถลงข่าวใหญ่เพื่อให้ภาพของต้นสังกัดการ์ดมีสีติดลบ ต้องเรียกตัวกลับ เท่ากับถอดเสื้อเกราะแกนนำได้ หากปฏิบัติการเมื่อใดก็ง่ายขึ้น ขณะที่ “สุเทพ” ปรับทัพเหลือเวทีเดียวป้องกันง่าย แม้การ์ดจะหายไปแต่ได้ทหารเข้ามาเสริม ส่วนเสื้อแดงเปิดปฏิบัติการย้อนรอย กปปส.เน้นปิดองค์กรอิสระ ศาล-ป.ป.ช. เป้าต่อไป กกต.
หลังจากเสียฟอร์มในการขอคืนพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจตามคำสั่งของศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ที่เวทีกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ เชิงสะพานผ่านฟ้าเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2557 ต้องถอยร่นหนีออกมาไม่เป็นท่า เหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้สูญเสียทั้งฝั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายของผู้ชุมนุม
แม้จะไม่มีใครออกมายืนยันอย่างชัดแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าในวันดังกล่าวฝ่ายตำรวจมีการซ้อนแผนกันเอง ชุดแรกเป็นทีมเจรจา หลังจากนั้นเป็นชุดเคลียร์พื้นที่ เมื่อไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ ทีมเคลียร์พื้นที่ลุยเข้ามา จึงถูกตอบโต้จากทีมงานนิรนามจนแตกพ่าย หอบเอาผลงานที่ไร้ผลงานแถมยังเสียหน้ากลับไปฝากร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ผู้อำนวยการ ศรส.
วันรุ่งขึ้น 19 กุมภาพันธ์ แม้ศาลแพ่งจะมีคำสั่งไม่ยกเลิกพระราชกำหนดฉุกเฉิน แต่กลับมีข้อห้าม 9 ข้อ ให้ฝ่ายรัฐบาลและศรส.ต้องปฏิบัติ ข้อห้ามของศาลทั้งหมดเสมือนไม่มีพระราชกำหนดฉุกเฉินประกาศใช้ ทำเอาเฉลิม อยู่บำรุง ที่มักกร้าวใส่กับผู้ชุมนุมและอ้างเสมอว่า “ผมจบดอกเตอร์ อ่านกฎหมายรู้ ดูกฎหมายเป็น” ทำเอางานนี้ ดร.เฉลิมเดินต่อไปไม่เป็น
เสื้อแดงกดดันองค์กรอิสระ
คำพิพากษาของศาลแพ่งสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ นางดารุณี กฤตบุญญาลัย หรือเจ๊ดา ไฮโซเสื้อแดงนำมวลชนแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประมาณ 100 คน มาวางพวงหรีดหน้าศาลแพ่ง หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์
ในวันเดียวกันได้มีการเผยแพร่คำสั่งของพลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผ่านทางโซเชียลมีเดียกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นคำสั่งเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ โดยอ้างเหตุผลตามคำพิพากษาของศาลแพ่งเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ใจความสำคัญคือให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่งดการใช้อำนาจตามประกาศและคำสั่ง ศรส.
เมื่อสถานการณ์พลิก ศรส.จึงกลายเป็นหน่วยงานที่แทบหมดสภาพไปทันที เพราะเดิมใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลักในการปฏิบัติงานเพื่อสนองนโยบายของรัฐ ขณะที่ทหารไม่เต็มใจ ขออยู่เป็นแนวหลัง แต่คำสั่งของ ผบ.ตร.ถึงกำลังพลจึงทำให้ ศรส. กลายเป็นเสือกระดาษไปทันที
ปฏิบัติการจากบนดินเคลื่อนลงสู่ใต้ดินทันที โดยมีเหตุระเบิดขึ้นที่ย่านประตูน้ำในช่วงใกล้ค่ำของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ วันรุ่งขึ้นปรากฎข่าวของพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี วัย 78 ปี อดีตนายทหารที่มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติในอดีตและผู้เป็นนักรบนอกแบบ ถูกหยิบขึ้นมาช่วยงานที่ ศรส. พร้อมด้วยในค่ำวันเดียวกันนั้นมีการขว้างระเบิดและกราดยิงเวทีของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. ที่จังหวัดตราด มีผู้เสียชีวิตเป็นเด็ก 2 ราย และผู้บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง
การนัดชุมนุมใหญ่ นปช.ลั่นกลองรบ ที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ แม้จำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมจะอยู่ในเกณฑ์หลักพัน แต่เนื้อหาในการสื่อออกมาของคนเสื้อแดง ล้วนแต่สร้างความกังวลใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ ทั้งเรื่องการแบ่งแยกประเทศเป็นของคนเสื้อแดงทั้งภาคเหนือและอีสาน การจัดตั้งกองกำลังของตนเอง หรือกระทั่งการออกมาพูดของนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ว่าคนไทยมีปืน 10 ล้านกระบอก เป็นไปในลักษณะที่เหมือนเตรียมพร้อมทำสงครามประชาชน ช่วงเย็นวันเดียวกันมีการยิงระเบิด M79 ที่บิ๊กซี ราชดำริ ใกล้เวทีราชประสงค์ของ กปปส. มีเด็กเสียชีวิตอีก 2 ราย
เล่น 2 ทางบนดิน-ใต้ดิน
จากนั้นเป็นต้นมาความรุนแรงเกิดขึ้นทุกวัน พร้อมๆ กับการเดินหน้าเคลื่อนทัพของกลุ่มคนเสื้อแดงในนามของกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) ออกมาปิดสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อ 26 กุมภาพันธ์ ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้การนัดรับทราบข้อกล่าวหาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณีโครงการจำนำข้าวในวันที่ 27 เดินต่อไปได้ แต่ในวันดังกล่าวมีทนายความตัวแทนของนางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางมารับหนังสือดังกล่าวจาก ป.ป.ช.
กลุ่มเสื้อแดงเปิดปฏิบัติการย้อนศรแนวทางที่กลุ่ม กปปส.ทำอยู่และได้รับความคุ้มครองจากศาล เสมือนเป็นการท้าทายว่าพวกเขาก็ทำแบบเดียวกันหากถูกดำเนินคดีก็จะนำมาใช้เป็นข้อต่อสู้ได้อีกว่าพวกเขาถูกเลือกปฏิบัติ แต่เลือกที่จะเน้นไปที่องค์กรอิสระที่จะมีผลต่อการตัดสินคดีความต่างๆ ของรัฐบาล
เห็นได้จากการแสดงความไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลแพ่งเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ ที่เจ๊ดาไปวางหรีดหน้าศาล จากนั้นช่วงเช้าของวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่เสื้อแดงนัดชุมนุมที่โคราช ก็พบหัวระเบิดที่ลานจอดรถบริเวณศาล ช่วงค่ำเกิดเหตุระเบิดที่บิ๊กซี ราชดำริ
รวมถึงกลุ่มเสื้อแดงได้ใช้มอเตอร์ไซค์ติดสัญลักษณ์ธงชาติแล้วขับขึ้นบนโทรลเวย์ พร้อมด้วยป้ายระบุว่าประชาชนมาทำตามคำสั่งของศาลแพ่ง ว่าด้วยการห้ามปิดกั้นเส้นทางการจราจรและการใช้ยานพาหนะกับผู้ชุมนุม
กลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลเดินเกมคู่ขนาน ทั้งเปิดหน้าแสดงออกการคัดค้านและไม่เปิดเผยตัวเน้นไปที่การใช้ความรุนแรง สูตรก็จะเป็นอย่างนี้ไปตลอดแต่อาจจะเพิ่มระดับความเข้มข้นขึ้นตามสถานการณ์หรือใบสั่ง อย่างที่ ป.ป.ช.นั้นถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ใกล้ที่สุดที่จะมีผลต่อสถานะของนายกฯ ยิ่งลักษณ์โดยตรง จากนี้ก็จะมีหน่วยงานอื่นๆ ที่เป็นเป้าหมายต่อไปทั้งศาลและที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะถูกกดดันหากมีการพิจารณาหรือตัดสินคดีสำคัญ เพื่อหวังให้การทำงานของหน่วยงานเหล่านี้ไม่สะดวกหรือไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อตัวของนายกฯ ยิ่งลักษณ์
ตำรวจเปลี่ยนเป้าสกัดการ์ด
ขณะเดียวกันแม้พลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะออกคำสั่งไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามคำสั่ง ศรส. แต่ในทางปฏิบัติแล้วตำรวจก็ยังปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ และตอนนี้ทาง ศรส. ก็ไม่ได้มีคำสั่งพิเศษให้ปฏิบัติการใดๆ ออกมาเท่านั้น
“ปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดำเนินการต่อกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ยังมีอยู่ตลอดเวลา กรณีท่านอดุลย์ การออกคำสั่งดังกล่าวเป็นเรื่องของการป้องกันตัวเอง เพราะไม่เช่นนั้นจะขัดคำสั่งศาล อีกทั้งท่านจะเกษียณในปีนี้ ทุกอย่างจึงต้องระวังตัว” แหล่งข่าวจากวงการตำรวจกล่าว
เขากล่าวต่อไปว่า ในวงการตำรวจนั้นทุกอย่างไม่ได้ขึ้นตรงต่อ ผบ.ตร.เพียงคนเดียว ตำรวจบางหน่วยงานรับคำสั่งตรงจากนักการเมือง อย่างตอนนี้ตำรวจจำนวนหนึ่งทำงานให้กับเฉลิม อยู่บำรุง และ ศรส. แต่ไม่ได้สวมเครื่องแบบตำรวจเท่านั้น โดยเฉพาะตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล ตอนนี้ก็เข้าไปแทรกซึมในเวทีของ กปปส.ตลอดเวลา ทราบมาว่าตอนนี้เปลี่ยนเป้าหมายจากเดิมที่มุ่งเน้นหาช่องทางเพื่อจับตัวแกนนำ มาเป็นการขจัดการ์ดที่ดูแลแกนนำออกไปก่อน
โดยเฉพาะการ์ดที่ใกล้ตัวแกนนำนั้นส่วนใหญ่ถือว่าเป็นทีมที่มีฝีมือ ตำรวจที่แฝงตัวเข้าไปก็ทราบดีว่า หลายคนมาจากทีมทัพเรือ ครั้งแรกเมื่อ 15 มกราคม 2557 ที่สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง ตรวจค้นจับกุมชายฉกรรจ์ 3 คน มีบัตรเป็นการ์ดของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) มีอาวุธปืนสั้น เครื่องกระสุน ทราบว่าทั้งหมดเป็นทหารหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ หรือหน่วยซีล
จากนั้นเมื่อเกิดเหตุระเบิดขึ้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จึงมีการพาดพึงกันระหว่างตำรวจกับพลเรือตรีวินัย กล่อมอินทร์ ผู้บัญชาการหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ จากนั้นท่านผู้บัญชาการฯ ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อ 21 มกราคมว่าครั้งนี้มีการนำเอากองกำลังจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา ยิ่งทำให้หน่วยงานนี้เป็นที่จับตาของฝ่ายรัฐบาลและตำรวจมากยิ่งขึ้น
ขณะที่เกิดเหตุการณ์กราดยิงเวที กปปส.จังหวัดตราดเมื่อช่วงค่ำวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ได้มีการจับกุมตัวหน่วยซีลได้อีก 3 ราย เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ ซึ่งในช่วงนั้นฝ่ายรัฐกังวลว่าจะมีการดักจับตัวนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่ไปร่วมงานศพของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จังหวัดระยองเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ แต่ตรวจสอบแล้วพบว่าได้ลาออกจากราชการไปแล้วและทำหน้าที่คุ้มกันบุคคลหนึ่ง ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง
ถัดมา 26 กุมภาพันธ์ สถานีตำรวจนครบาลบุคคโล ควบคุมตัวการ์ด 2 คนของ กปปส. พบว่าเป็นทหารของหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ
“ตำรวจรู้หมดว่าการ์ดใน กปปส.เป็นใคร มาจากไหน จากนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนเวรก็ตามประกบ พร้อมทั้งชี้เป้าให้ตำรวจในเครื่องแบบที่ตั้งด่านอยู่ตรวจค้น ตำรวจไม่ได้เน้นไปที่การปะทะกับการ์ด แต่เน้นไปที่การจับกุมเนื่องจากมีการพกอาวุธซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย”
จับ-แถลง-บีบต้นสังกัดเรียกกลับ
หากสังเกตให้ดีว่าเมื่อจับกุมการ์ดเหล่านี้ได้จะเน้นไปที่การแถลงข่าว แน่นอนว่าข่าวที่ออกไปย่อมกระทบถึงภาพลักษณ์ของกองทัพเรือทันที ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วเมื่อเป็นข่าวอย่างนี้ทางต้นสังกัดก็ต้องดึงตัวกลับไปสอบสวน ดังนั้นจึงทำให้การ์ดของแกนนำ กปปส.เวทีต่างๆ ลดลง เท่ากับเป็นการถอดเสื้อเกราะของแกนนำออกไปทีละชั้น หากมีฝ่ายตำรวจมีปฏิบัติการพิเศษขึ้นมาทุกอย่างก็ง่ายขึ้น
การ์ดที่มีฝีมือส่วนใหญ่หนีไม่พ้นคนมีสีทั้งสิ้น เพราะได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะคนที่มาจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่มีความรู้ทั้งเรื่องยุทธวิธี การช่วยตัวประกันการอารักขาบุคคลสำคัญ ทุกหน่วยของกองทัพและของตำรวจมีทั้งหมด การเข้ามานั้นอาจเข้ามารับงานหลังเลิกงานหรือลาพักร้อนแล้วมารับงานก็ได้
ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงกล่าวเพิ่มเติมว่า ตำรวจรู้ว่าใครเป็นใครในพื้นที่การชุมนุม ทีมที่เข้ามาเก็บข้อมูลส่วนใหญ่เป็นทีมของนครบาลของพลตำรวจโทคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของ ผบ.ตร. เพราะขึ้นตรงต่อร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง และทักษิณ ชินวัตร การสกัดการ์ดออกไปให้ได้มากที่สุดก็จะทำให้ทีมงานที่คุ้มกันแกนนำอ่อนลง ก็เป็นช่องทางให้ตำรวจที่มีทีมปฏิบัติการพิเศษอย่างอรินทราช 26 และนเรศวร 261 เข้ามาจับกุมตัวแกนนำได้ง่ายขึ้น
แม้ว่าการ์ดบางส่วนจะถูกเรียกตัวกลับ แต่การ์ดที่ดูแลแกนนำไม่ได้มาจากหน่วยเดียว ดังนั้นคำถามที่จะต้องถามต่อไปคือตำรวจพร้อมปะทะกับทหารรึยัง เชื่อว่าตำรวจก็คงไม่โง่เข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่อย่างแน่นอน
อีกประการหนึ่งการยุบรวมเวทีชุมนุมของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เหลือเพียงแห่งเดียวที่สวนลุมพินี ก็เป็นอีกยุทธวิธีหนึ่งที่ฝ่ายผู้ชุมนุมปรับตัว เพราะหลายเวทีดูแลความปลอดภัยยาก เห็นได้จากเหตุที่เกิดขึ้นหน้าบิ๊กซี ราชดำริ ดังนั้นการรวมเหลือเวทีเดียวจึงแก้ปัญหาได้ทั้งเรื่องความปลอดภัย ทั้งเรื่องการ์ดบางส่วนถูกเรียกตัวกลับ การ์ดที่เหลือก็รวมกันดูแลพื้นที่และตัวแกนนำได้ง่ายกว่า
ที่สำคัญการหายไปของการ์ดแกนนำ แต่กลับมีทีมงานของทหารเพิ่มเข้ามาจาก 29 จุดเพิ่มเป็น 167 จุด ทดแทนส่วนที่ขาดหายไปได้เป็นอย่างดี ดังนั้นปฏิบัติการที่จะจัดการกับแกนนำ กปปส. คงเป็นการบ้านให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิมและทีมงานต้องไปขบคิดกันใหม่ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
หลังจากเสียฟอร์มในการขอคืนพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจตามคำสั่งของศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) ที่เวทีกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ เชิงสะพานผ่านฟ้าเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2557 ต้องถอยร่นหนีออกมาไม่เป็นท่า เหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้สูญเสียทั้งฝั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายของผู้ชุมนุม
แม้จะไม่มีใครออกมายืนยันอย่างชัดแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าในวันดังกล่าวฝ่ายตำรวจมีการซ้อนแผนกันเอง ชุดแรกเป็นทีมเจรจา หลังจากนั้นเป็นชุดเคลียร์พื้นที่ เมื่อไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ ทีมเคลียร์พื้นที่ลุยเข้ามา จึงถูกตอบโต้จากทีมงานนิรนามจนแตกพ่าย หอบเอาผลงานที่ไร้ผลงานแถมยังเสียหน้ากลับไปฝากร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ผู้อำนวยการ ศรส.
วันรุ่งขึ้น 19 กุมภาพันธ์ แม้ศาลแพ่งจะมีคำสั่งไม่ยกเลิกพระราชกำหนดฉุกเฉิน แต่กลับมีข้อห้าม 9 ข้อ ให้ฝ่ายรัฐบาลและศรส.ต้องปฏิบัติ ข้อห้ามของศาลทั้งหมดเสมือนไม่มีพระราชกำหนดฉุกเฉินประกาศใช้ ทำเอาเฉลิม อยู่บำรุง ที่มักกร้าวใส่กับผู้ชุมนุมและอ้างเสมอว่า “ผมจบดอกเตอร์ อ่านกฎหมายรู้ ดูกฎหมายเป็น” ทำเอางานนี้ ดร.เฉลิมเดินต่อไปไม่เป็น
เสื้อแดงกดดันองค์กรอิสระ
คำพิพากษาของศาลแพ่งสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ นางดารุณี กฤตบุญญาลัย หรือเจ๊ดา ไฮโซเสื้อแดงนำมวลชนแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ประมาณ 100 คน มาวางพวงหรีดหน้าศาลแพ่ง หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์
ในวันเดียวกันได้มีการเผยแพร่คำสั่งของพลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผ่านทางโซเชียลมีเดียกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งเป็นคำสั่งเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ โดยอ้างเหตุผลตามคำพิพากษาของศาลแพ่งเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ใจความสำคัญคือให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่งดการใช้อำนาจตามประกาศและคำสั่ง ศรส.
เมื่อสถานการณ์พลิก ศรส.จึงกลายเป็นหน่วยงานที่แทบหมดสภาพไปทันที เพราะเดิมใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลักในการปฏิบัติงานเพื่อสนองนโยบายของรัฐ ขณะที่ทหารไม่เต็มใจ ขออยู่เป็นแนวหลัง แต่คำสั่งของ ผบ.ตร.ถึงกำลังพลจึงทำให้ ศรส. กลายเป็นเสือกระดาษไปทันที
ปฏิบัติการจากบนดินเคลื่อนลงสู่ใต้ดินทันที โดยมีเหตุระเบิดขึ้นที่ย่านประตูน้ำในช่วงใกล้ค่ำของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ วันรุ่งขึ้นปรากฎข่าวของพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี วัย 78 ปี อดีตนายทหารที่มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติในอดีตและผู้เป็นนักรบนอกแบบ ถูกหยิบขึ้นมาช่วยงานที่ ศรส. พร้อมด้วยในค่ำวันเดียวกันนั้นมีการขว้างระเบิดและกราดยิงเวทีของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. ที่จังหวัดตราด มีผู้เสียชีวิตเป็นเด็ก 2 ราย และผู้บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง
การนัดชุมนุมใหญ่ นปช.ลั่นกลองรบ ที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ แม้จำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมจะอยู่ในเกณฑ์หลักพัน แต่เนื้อหาในการสื่อออกมาของคนเสื้อแดง ล้วนแต่สร้างความกังวลใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ ทั้งเรื่องการแบ่งแยกประเทศเป็นของคนเสื้อแดงทั้งภาคเหนือและอีสาน การจัดตั้งกองกำลังของตนเอง หรือกระทั่งการออกมาพูดของนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ว่าคนไทยมีปืน 10 ล้านกระบอก เป็นไปในลักษณะที่เหมือนเตรียมพร้อมทำสงครามประชาชน ช่วงเย็นวันเดียวกันมีการยิงระเบิด M79 ที่บิ๊กซี ราชดำริ ใกล้เวทีราชประสงค์ของ กปปส. มีเด็กเสียชีวิตอีก 2 ราย
เล่น 2 ทางบนดิน-ใต้ดิน
จากนั้นเป็นต้นมาความรุนแรงเกิดขึ้นทุกวัน พร้อมๆ กับการเดินหน้าเคลื่อนทัพของกลุ่มคนเสื้อแดงในนามของกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) ออกมาปิดสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อ 26 กุมภาพันธ์ ต่อเนื่องจนถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้การนัดรับทราบข้อกล่าวหาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณีโครงการจำนำข้าวในวันที่ 27 เดินต่อไปได้ แต่ในวันดังกล่าวมีทนายความตัวแทนของนางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางมารับหนังสือดังกล่าวจาก ป.ป.ช.
กลุ่มเสื้อแดงเปิดปฏิบัติการย้อนศรแนวทางที่กลุ่ม กปปส.ทำอยู่และได้รับความคุ้มครองจากศาล เสมือนเป็นการท้าทายว่าพวกเขาก็ทำแบบเดียวกันหากถูกดำเนินคดีก็จะนำมาใช้เป็นข้อต่อสู้ได้อีกว่าพวกเขาถูกเลือกปฏิบัติ แต่เลือกที่จะเน้นไปที่องค์กรอิสระที่จะมีผลต่อการตัดสินคดีความต่างๆ ของรัฐบาล
เห็นได้จากการแสดงความไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลแพ่งเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ ที่เจ๊ดาไปวางหรีดหน้าศาล จากนั้นช่วงเช้าของวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่เสื้อแดงนัดชุมนุมที่โคราช ก็พบหัวระเบิดที่ลานจอดรถบริเวณศาล ช่วงค่ำเกิดเหตุระเบิดที่บิ๊กซี ราชดำริ
รวมถึงกลุ่มเสื้อแดงได้ใช้มอเตอร์ไซค์ติดสัญลักษณ์ธงชาติแล้วขับขึ้นบนโทรลเวย์ พร้อมด้วยป้ายระบุว่าประชาชนมาทำตามคำสั่งของศาลแพ่ง ว่าด้วยการห้ามปิดกั้นเส้นทางการจราจรและการใช้ยานพาหนะกับผู้ชุมนุม
กลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลเดินเกมคู่ขนาน ทั้งเปิดหน้าแสดงออกการคัดค้านและไม่เปิดเผยตัวเน้นไปที่การใช้ความรุนแรง สูตรก็จะเป็นอย่างนี้ไปตลอดแต่อาจจะเพิ่มระดับความเข้มข้นขึ้นตามสถานการณ์หรือใบสั่ง อย่างที่ ป.ป.ช.นั้นถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ใกล้ที่สุดที่จะมีผลต่อสถานะของนายกฯ ยิ่งลักษณ์โดยตรง จากนี้ก็จะมีหน่วยงานอื่นๆ ที่เป็นเป้าหมายต่อไปทั้งศาลและที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่จะถูกกดดันหากมีการพิจารณาหรือตัดสินคดีสำคัญ เพื่อหวังให้การทำงานของหน่วยงานเหล่านี้ไม่สะดวกหรือไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อตัวของนายกฯ ยิ่งลักษณ์
ตำรวจเปลี่ยนเป้าสกัดการ์ด
ขณะเดียวกันแม้พลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะออกคำสั่งไม่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามคำสั่ง ศรส. แต่ในทางปฏิบัติแล้วตำรวจก็ยังปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ และตอนนี้ทาง ศรส. ก็ไม่ได้มีคำสั่งพิเศษให้ปฏิบัติการใดๆ ออกมาเท่านั้น
“ปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดำเนินการต่อกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ยังมีอยู่ตลอดเวลา กรณีท่านอดุลย์ การออกคำสั่งดังกล่าวเป็นเรื่องของการป้องกันตัวเอง เพราะไม่เช่นนั้นจะขัดคำสั่งศาล อีกทั้งท่านจะเกษียณในปีนี้ ทุกอย่างจึงต้องระวังตัว” แหล่งข่าวจากวงการตำรวจกล่าว
เขากล่าวต่อไปว่า ในวงการตำรวจนั้นทุกอย่างไม่ได้ขึ้นตรงต่อ ผบ.ตร.เพียงคนเดียว ตำรวจบางหน่วยงานรับคำสั่งตรงจากนักการเมือง อย่างตอนนี้ตำรวจจำนวนหนึ่งทำงานให้กับเฉลิม อยู่บำรุง และ ศรส. แต่ไม่ได้สวมเครื่องแบบตำรวจเท่านั้น โดยเฉพาะตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล ตอนนี้ก็เข้าไปแทรกซึมในเวทีของ กปปส.ตลอดเวลา ทราบมาว่าตอนนี้เปลี่ยนเป้าหมายจากเดิมที่มุ่งเน้นหาช่องทางเพื่อจับตัวแกนนำ มาเป็นการขจัดการ์ดที่ดูแลแกนนำออกไปก่อน
โดยเฉพาะการ์ดที่ใกล้ตัวแกนนำนั้นส่วนใหญ่ถือว่าเป็นทีมที่มีฝีมือ ตำรวจที่แฝงตัวเข้าไปก็ทราบดีว่า หลายคนมาจากทีมทัพเรือ ครั้งแรกเมื่อ 15 มกราคม 2557 ที่สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง ตรวจค้นจับกุมชายฉกรรจ์ 3 คน มีบัตรเป็นการ์ดของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) มีอาวุธปืนสั้น เครื่องกระสุน ทราบว่าทั้งหมดเป็นทหารหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ หรือหน่วยซีล
จากนั้นเมื่อเกิดเหตุระเบิดขึ้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จึงมีการพาดพึงกันระหว่างตำรวจกับพลเรือตรีวินัย กล่อมอินทร์ ผู้บัญชาการหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ จากนั้นท่านผู้บัญชาการฯ ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อ 21 มกราคมว่าครั้งนี้มีการนำเอากองกำลังจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา ยิ่งทำให้หน่วยงานนี้เป็นที่จับตาของฝ่ายรัฐบาลและตำรวจมากยิ่งขึ้น
ขณะที่เกิดเหตุการณ์กราดยิงเวที กปปส.จังหวัดตราดเมื่อช่วงค่ำวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ได้มีการจับกุมตัวหน่วยซีลได้อีก 3 ราย เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ ซึ่งในช่วงนั้นฝ่ายรัฐกังวลว่าจะมีการดักจับตัวนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่ไปร่วมงานศพของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จังหวัดระยองเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ แต่ตรวจสอบแล้วพบว่าได้ลาออกจากราชการไปแล้วและทำหน้าที่คุ้มกันบุคคลหนึ่ง ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง
ถัดมา 26 กุมภาพันธ์ สถานีตำรวจนครบาลบุคคโล ควบคุมตัวการ์ด 2 คนของ กปปส. พบว่าเป็นทหารของหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ
“ตำรวจรู้หมดว่าการ์ดใน กปปส.เป็นใคร มาจากไหน จากนั้นเมื่อมีการเปลี่ยนเวรก็ตามประกบ พร้อมทั้งชี้เป้าให้ตำรวจในเครื่องแบบที่ตั้งด่านอยู่ตรวจค้น ตำรวจไม่ได้เน้นไปที่การปะทะกับการ์ด แต่เน้นไปที่การจับกุมเนื่องจากมีการพกอาวุธซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย”
จับ-แถลง-บีบต้นสังกัดเรียกกลับ
หากสังเกตให้ดีว่าเมื่อจับกุมการ์ดเหล่านี้ได้จะเน้นไปที่การแถลงข่าว แน่นอนว่าข่าวที่ออกไปย่อมกระทบถึงภาพลักษณ์ของกองทัพเรือทันที ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วเมื่อเป็นข่าวอย่างนี้ทางต้นสังกัดก็ต้องดึงตัวกลับไปสอบสวน ดังนั้นจึงทำให้การ์ดของแกนนำ กปปส.เวทีต่างๆ ลดลง เท่ากับเป็นการถอดเสื้อเกราะของแกนนำออกไปทีละชั้น หากมีฝ่ายตำรวจมีปฏิบัติการพิเศษขึ้นมาทุกอย่างก็ง่ายขึ้น
การ์ดที่มีฝีมือส่วนใหญ่หนีไม่พ้นคนมีสีทั้งสิ้น เพราะได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะคนที่มาจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่มีความรู้ทั้งเรื่องยุทธวิธี การช่วยตัวประกันการอารักขาบุคคลสำคัญ ทุกหน่วยของกองทัพและของตำรวจมีทั้งหมด การเข้ามานั้นอาจเข้ามารับงานหลังเลิกงานหรือลาพักร้อนแล้วมารับงานก็ได้
ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงกล่าวเพิ่มเติมว่า ตำรวจรู้ว่าใครเป็นใครในพื้นที่การชุมนุม ทีมที่เข้ามาเก็บข้อมูลส่วนใหญ่เป็นทีมของนครบาลของพลตำรวจโทคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของ ผบ.ตร. เพราะขึ้นตรงต่อร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง และทักษิณ ชินวัตร การสกัดการ์ดออกไปให้ได้มากที่สุดก็จะทำให้ทีมงานที่คุ้มกันแกนนำอ่อนลง ก็เป็นช่องทางให้ตำรวจที่มีทีมปฏิบัติการพิเศษอย่างอรินทราช 26 และนเรศวร 261 เข้ามาจับกุมตัวแกนนำได้ง่ายขึ้น
แม้ว่าการ์ดบางส่วนจะถูกเรียกตัวกลับ แต่การ์ดที่ดูแลแกนนำไม่ได้มาจากหน่วยเดียว ดังนั้นคำถามที่จะต้องถามต่อไปคือตำรวจพร้อมปะทะกับทหารรึยัง เชื่อว่าตำรวจก็คงไม่โง่เข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่อย่างแน่นอน
อีกประการหนึ่งการยุบรวมเวทีชุมนุมของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เหลือเพียงแห่งเดียวที่สวนลุมพินี ก็เป็นอีกยุทธวิธีหนึ่งที่ฝ่ายผู้ชุมนุมปรับตัว เพราะหลายเวทีดูแลความปลอดภัยยาก เห็นได้จากเหตุที่เกิดขึ้นหน้าบิ๊กซี ราชดำริ ดังนั้นการรวมเหลือเวทีเดียวจึงแก้ปัญหาได้ทั้งเรื่องความปลอดภัย ทั้งเรื่องการ์ดบางส่วนถูกเรียกตัวกลับ การ์ดที่เหลือก็รวมกันดูแลพื้นที่และตัวแกนนำได้ง่ายกว่า
ที่สำคัญการหายไปของการ์ดแกนนำ แต่กลับมีทีมงานของทหารเพิ่มเข้ามาจาก 29 จุดเพิ่มเป็น 167 จุด ทดแทนส่วนที่ขาดหายไปได้เป็นอย่างดี ดังนั้นปฏิบัติการที่จะจัดการกับแกนนำ กปปส. คงเป็นการบ้านให้ร้อยตำรวจเอกเฉลิมและทีมงานต้องไปขบคิดกันใหม่ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป