ทักษิณจนตรอก! สั่งลูกพรรคสู้ทุกรูปแบบ ลั่น “ผมจะไม่ยอมนอนรอความตาย” ใช้นักรบอดีตทหารเก่าสร้างความรุนแรงแบบล้มกระดาน เตือน กปปส.ตุลาการและ ป.ป.ช.คิวต่อไป เพื่อเป้าหมาย 2 ประการใหญ่ คือบีบให้ทหารปฏิวัติ และนำไปสู่การเจรจาแลกผลประโยชน์ ชู “ปู” ต้องอยู่ประเทศไทยได้โดยไม่มีคดีความติดตัว และธุรกิจชินวัตรไม่กระทบ หลังถูกมวลมหาประชาชน กปปส.กดดัน ขณะที่ “ตำรวจ” ออกมาช่วย ก็ถูก “มือปืนป๊อปคอร์น” เด็ดปีกจนถอยทัพไม่เป็นท่า จับตาเมษายนนี้ปัญหาคู่ขัดแย้งต้องจบ!
การประกาศระดมพลของคนเสื้อแดง เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในการจัดประชุมแกนนำคนเสื้อแดงจากทั่วประเทศ “นปช.ลั่นกลองรบ” ที่จังหวัดนครราชสีมา ที่มีแกนนำคนเสื้อแดงแต่ละภาคกว่า 3,000 คน พร้อมๆ กับการที่ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ประธานอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ (อพปช.) ประกาศรับสมัครนักรบประชาชน 2 แสนคน ในวันที่ 1 มีนาคมนี้ ที่จังหวัดมหาสารคาม รวมถึงการยิงและโยนระเบิดในที่ต่างๆ ทุกวัน และรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่สนเป้าหมายว่าจะเป็นเด็กไร้เดียงสาที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ นับเป็นการส่งสัญญาณว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ที่เทหมดหน้าตักของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะประเมินแล้วว่าใกล้แพ้เต็มที
โดยการต่อสู้ครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่ามีการต่อสู้เป็นลำดับขั้น มีการขยายวงการต่อสู้ที่กว้างกว่าเดิม และมีการขยายพื้นที่การต่อสู้ไปต่างจังหวัดเป็นครั้งแรก ในความรุนแรงที่เขาสมิงอันเป็นเหตุให้เด็กที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองต้องเสียชีวิตลงอย่างที่คนในประเทศล้วนหดหู่กับความใจดำอำมหิตของกองกำลังไม่ทราบฝ่ายกลุ่มนี้อย่างมาก
การต่อสู้ทางการเมืองเรียกว่ามาถึงจุด “ใช้ความรุนแรงเต็มรูปแบบ” และวันนี้ “ทักษิณ” สั่งลุยเต็มที่แล้ว ในสรรพกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด
ขณะที่ กปปส.ประกาศเดินหน้า 3 ยุทธวิธี คือ ไล่ล่ายิ่งลักษณ์ ปิดธุรกิจตระกูลชินวัตร และปิดสถานที่ราชการ ซึ่งแม้จะถูกกระทำความรุนแรงตลอด แต่ในวันนี้ กปปส.ยังมั่นใจกับพลังของมวลมหาประชาชน แถมยังมีหน่วยป๊อปคอร์นที่คอยช่วยเหลือปราบปรามกองกำลังตำรวจ และกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ซึ่งทำให้นายสุเทพยังมั่นใจที่จะเดินหน้าสู้ไม่ถอย
ประเมินสรรพกำลังของแต่ละฝ่าย ใครนำ ใครถอย?
ประการที่หนึ่งคือ มวลชนของแต่ละฝ่าย ต้องนับว่ามวลมหาประชาชนของ กปปส.นั้น มีจำนวนมหาศาล และมีกลุ่มชนชั้นนำทางสังคมเข้าร่วมการชุมนุมมากที่สุดในประวัติการณ์ ทั้งแพทย์ อาจารย์ นักธุรกิจ และประชาชนทั่วไป ที่กว่า 3 เดือนของการต่อสู้ มวลชนกลุ่มนี้ยังสู้ไม่ถอย ซึ่งแต่ละคนถือว่ามีกำลังทรัพย์จำนวนไม่น้อย และถึงแม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะประเมินครั้งแล้วครั้งเล่าว่า กปปส.จะค่อยๆ หายไปเอง เพราะทุนร่อยหรอ ย่อมไม่เป็นจริง เพราะทุกคนร่วมไม้ร่วมมือกันลงขันขับไล่คนตระกูลชินวัตรอย่างต่อเนื่อง และพร้อมจะทำตามยุทธศาสตร์ที่นายสุเทพประกาศ เช่น ให้ถอนเงินจากธนาคารออมสิน ก็เกิดปรากฏการณ์คนถอนเงินเกือบ 1 แสนล้านบาท ภายใน 3 วัน ทำให้นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ต้องยื่นใบลาออกภายใน 30 วัน
ขณะที่การรวมตัวของคนเสื้อแดงทุกครั้ง กลับเป็นเงินที่จ่ายโดยกระเป๋าของ พ.ต.ท.ทักษิณเพียงคนเดียว และทุกคนต่างรู้ดีว่า เพราะเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีการเทลงมาอีกครั้งหนึ่งจึงทำให้ปรากฏการณ์รวมตัวกันเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ที่โคราชเกิดขึ้นได้ ซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นเพียงแกนนำจากจังหวัดต่างๆ แต่ไม่มีมวลชนเข้าร่วมมากนัก หลายฝ่ายมองว่า วันนี้ นปช.ที่จะออกมาลุยเหมือนในปี 2553 นั้นไม่มีอีกแล้ว เพราะประชาชนฉลาดขึ้น ถูกใช้เป็นเครื่องมือได้น้อยลง และ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเองก็ไม่อยากได้ชื่อว่าพาหัวคะแนนตัวเองมาตาย
จะมีแต่กลุ่มเสื้อแดงที่ขึ้นชื่อว่า “ฮาร์ดคอร์” ซึ่งวันนี้เหลือไม่กี่คน
แหล่งข่าวสายทหารระบุว่า กองกำลังของคนเสื้อแดงนั้นเป็นเพียง “ภาพลวงตา” ซึ่งไม่มีทางสู้กับของจริง และเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว ธรรมะก็ย่อมชนะอธรรม
ดังนั้นไม่เชื่อเลยว่า “สงครามกลางเมือง” จะเกิดขึ้นได้ ในเมื่อคนเสื้อแดงมันปลุกไม่ขึ้น!
เช่นเดียวกับแหล่งข่าว ส.ส.อาวุโสพรรคเพื่อไทย บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้สั่งการลงมาที่ ส.ส.ว่านับจากนาทีนี้ไปให้สู้แบบ “ล้มทั้งกระดาน”
คำพูดที่ส่งตรงลงมามีคำพูดเดียวที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เวลานี้รู้กันดีคือ “ผมจะไม่ยอมนอนรอความตาย” ดังนั้นเวลานี้คือช่วงเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะต่อสู้ทางการเมืองแบบไม่สนว่าใครจะเดือดร้อน เพราะครอบครัวของเขาจะเดือดร้อนไม่ได้
“มันใกล้เข้ามาแล้ว สำหรับการตัดสินของ ป.ป.ช.เรื่องจำนำข้าวของคุณยิ่งลักษณ์ แต่มันไม่ใช่แค่คดีความ เพราะเมื่อมีการตัดสินเมื่อไร จะกระทบไปที่ธุรกิจของทั้งคุณยิ่งลักษณ์ และตระกูลชินวัตรด้วย”
ดังนั้น แหล่งข่าว ส.ส.อาวุโสพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกบีบหนัก และจะสู้ด้วยความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยใช้สงครามกองโจร มากกว่าจะใช้ขบวนการ นปช.เหมือนปี 2553 สร้างความรุนแรงทุกรูปแบบให้หนักหนาสาหัสที่สุด จนกระทั่งเกิดการล้มกระดาน
ส่วนนางสาวยิ่งลักษณ์ให้จับตา ในการพิจารณาของ ป.ป.ช.วันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้ จะมีการขอเลื่อนฟังการพิจารณาออกไป 15 วัน
บีบทหารปฏิวัติ-เจรจา แลกปูอยู่ไทย-ไม่กระทบธุรกิจชิน
ทั้งหมดนี้ทำขึ้นเพื่อให้เกิดอะไรก็ได้ระหว่าง 2 อย่างคือ
ให้ทหารออกมาปฏิวัติ และบีบให้ กปปส.และทหารเข้าสู่การเจรจา
สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เตรียมไว้ต่อรองในเวลานี้คือ น้องสาวจะโดนคดีความไม่ได้ ต้องอยู่ในประเทศไทยต่อไป และธุรกิจของตระกูลชินวัตรทั้งหมดจะต้องไม่กระทบ!
แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ จะยอมแพ้
นี่คือสิ่งที่ชัดเจนว่าทำไมความรุนแรงจากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายถึงทำงานหนักในช่วงนี้ ที่จะสร้างสถานการณ์ความรุนแรงให้เกิดขึ้นกับประชาชนของ กปปส.ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กเล็กๆ
รุนแรงแค่ไหนก็ได้ เพื่อให้ล้มกระดาน และธุรกิจของเขาต้องรอด!
“ตอนนี้เขาไม่ได้ใช้กองกำลังต่างชาตินะ คนไทยนี่แหละ เป็นพวกทหารเก่า ตอนนี้คนที่สู้กันแบบกองโจรคือคนมีสีทั้งสองฝ่าย และจะสู้ต่อไปในรูปแบบสงครามกองโจร”
แต่สำหรับพรรคเพื่อไทย และ นปช.แม้ไม่ได้ใช้งานตรงๆ แต่ก็จะมีการปลุกขึ้นมาให้โกรธแค้นอย่างต่อเนื่อง เพราะจากคำสั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่บอกว่า “ผมไม่ยอมนอนรอความตาย” ดังนั้นในกระบวนการตุลาการภิวัฒน์ที่จะทำลายครอบครัวของเขาในไม่ช้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะปลุกคนเสื้อแดงไปก่อกวนทั้งศาล ทั้ง ป.ป.ช.
“คอยดูนะ การยิงบ้าน เผาบ้าน คนสำคัญๆ ของ กปปส.คณะตุลาการศาล หรือ คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะมีเกิดขึ้นอีก ตามแผนที่สั่งให้ล้มกระดานให้หมด”
ที่ต้องทำเพราะว่า หลักฐานที่ฝ่ายตุลาการมีอยู่ เป็นหลักฐานจริง ผิดจริง เป็นเรื่องของการทุจริต ซึ่งการทุจริตนี้จะสร้างความเสียหายให้ตระกูลชินวัตรอย่างมาก
“จริงๆ ยุทธศาสตร์ของคุณทักษิณผิดมาตั้งแต่ต้น การสู้ทางการเมืองต้องสู้ด้วยการเสียสละ ต้องสู้ด้วยความดี เมื่อสู้ด้วยความเสียสละ สู้ด้วยความดี คนในสังคมที่เขากลางๆ เขาก็ไม่ออกมาต่อต้าน แต่นี่มันผิด เพราะสู้ด้วยการต้องเอาชนะ สู้ด้วยผลประโยชน์ มันผิดตั้งแต่แรก ต้องยอมรับ”
จี้นายกฯรับผิดชอบ “ประชาชน-เด็กบริสุทธิ์” ตาย
ตรงกับสิ่งที่ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่พูดในการประชุม นปช.ทั่วประเทศในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า
“สู้ครั้งนี้ตายจริง”
แต่คนตาย เป็นประชาชนใช่ไหมที่ต้องตาย ตายเพราะการรักษาอำนาจของตระกูลชินวัตร?
“คุณยิ่งลักษณ์ไปงานศพตำรวจ ขณะที่ตำรวจอยู่ในฐานะที่ไปปราบประชาชน แปลว่ารัฐบาลอยู่ข้างคนปราบประชาชน ตรงนี้ชัดว่าทำไปเพื่อเอาใจตำรวจ ที่เป็นพวกตัวเองในการรักษาฐานอำนาจของตัวเองเท่านั้น เพราะในฐานะของนายกรัฐมนตรี จะต้องเอาใจใส่ดูแลทุกข์สุขประชาชน” แหล่งข่าวด้านความมั่นคงกล่าว
แต่กลับไม่พบว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ทำอะไรเพื่อแสดงความเสียใจกับการที่ประชาชนต้องสูญเสียชีวิต
“คุณยิ่งลักษณ์เป็นผู้หญิง และเป็นแม่ แต่กลับไม่แสดงน้ำใจอะไรกับพ่อแม่ของเด็กที่เสียชีวิต ไม่มีทั้งการขอโทษ ไม่มีทั้งการดูแล ไม่มีทั้งการบอกว่าจะจัดการปัญหานี้อย่างไร”
สิ่งนี้ยิ่งชัดว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเลย
“เหตุการณ์อย่างนี้ ไม่ว่าใครจะมาเป็นนายกฯ ก็แล้วแต่ ต้องออกมารับผิดชอบในทุกข์สุขของประชาชน แต่กลายเป็นว่าไม่มีเลย แถมไปงานศพคนที่ปราบประชาชนอีก ภาพมันชัดว่าอยู่ข้างไหน แต่มันไม่ใช่ คุณเป็นนายกรัฐมนตรี”
ในส่วนของความพยายามที่จะใช้อำนาจทางกฎหมาย โดยผ่าน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยหวังให้ตำรวจเป็นผู้สลายการชุมนุมของ กปปส. โดยเฉพาะการสลายการชุมนุมในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่บริเวณผ่านฟ้า แต่ฝ่ายรัฐกลับพ่ายแพ้หมดรูป
ป๊อปคอร์นเหนือกว่า-ตำรวจแพ้หมดรูป
วัดกำลังกันแล้ว ยุทธวิธีทางการทหารตอนนี้เหนือกว่า!
“ลักษณะที่นักรบป๊อปคอร์นสู้ คือใช้กำลังน้อยกว่าสู้กับกองกำลังมากกว่า คล้ายกับการต่อสู้แบบกองโจร คือนักรบป๊อปคอร์นมีไม่กี่คน มีการพูดกันว่าใช้เพียง 3 หมู่ (หมู่ละ 12 คน) เท่านั้น แต่ตำรวจที่ตั้งใจมาสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้า เมื่อวันที่ 18 กุมภาฯ ที่ผ่านมา มาตั้งหลายกองร้อยแต่กลับสู้ไม่ได้ ตำรวจหนีกระเจิง หนีแบบไม่มีรูปขบวน หลังจากนั้นกองกำลังส่วนน้อยนี้ก็หายไป จับไม่ได้”
ขณะที่ตำรวจหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ก็พบรอยแตกแยก
แตกเพราะตำรวจไม่พอใจ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผู้อำนวยการ ศรส.ที่ออกมาระบุว่า ไม่มีคำสั่งให้ใช้ความรุนแรง แต่ตำรวจกระทำความรุนแรงเอง
ขณะที่องค์กรตำรวจเองนั้นก็ไม่เหมือนองค์กรทหาร เพราะองค์กรทหารมีระบบปกป้องทหาร ที่สำคัญได้แก่ศาลทหาร แต่ตำรวจหากวันนี้มีการทำร้ายประชาชนขึ้นมา รวมกับคำสั่งศาลแพ่งที่ออกมาเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557 ที่แม้ไม่เพิกถอน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่สั่งห้ามการสลายการชุมนุมถึง 9 ข้อ
หากตำรวจกระทำการรุนแรงใดๆ ต่อประชาชนไป นั่นหมายความว่า อนาคตอาจถูกไล่เช็กบิล
“พลตำรวจเอก ประชา ต้องออกจากตำแหน่งไป เพราะมีอะไรที่เสี่ยงต่อความผิดในอนาคตเขาก็ไม่เซ็น ทาง พ.ต.ท.ทักษิณ เลยสั่งเปลี่ยนตัว ทีนี้มาดูที่ ผบ.ตร. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เอง นอกจากจะออกมาปกป้องลูกน้องด้วยการออกมาชนกับ ศรส.เองแล้ว พล.ต.อ.อดุลย์ ก็ไม่เซ็นอนุมัติจดหมายหลายฉบับที่จะนำความเสี่ยงติดคุกมาถึงตัวเขาเอง ก็สร้างความไม่พอใจไม่น้อย”
อย่าลืมว่าองค์กรตำรวจไม่มีความเหนียวแน่น ไม่เท่ากับองค์กรทหาร
“ตำรวจมีวัฒนธรรมองค์กรแบบตัวใครตัวมัน เวลาเติบโตเหยียบหัวใครขึ้นได้ก็ทำ”
เพราะฉะนั้นเมื่อตำรวจต้องมาสู้กับทหาร ความเข้มแข็งของทหารจึงเหนือกว่า ทั้งเรื่องของความมีวินัยและทักษะการจับอาวุธ
“ตำรวจมีหน้าที่รักษาความสงบภายในประเทศ แต่ทหารมีหน้าที่ป้องกันประเทศ วิธีการ วิธีคิดแตกต่างกัน มาวันนี้ชัด ตำรวจไม่กล้ายิงทหาร และไม่กล้าที่จะอยู่ถึงค่ำ ทั้งเหตุการณ์ที่ผ่านฟ้าและหลักสี่ เพราะยุทธวิธีของทหารเหนือกว่ามาก”
อีกทั้งที่น่าสังเกตคือ แม้ตำรวจจะมีจำนวนมาก แต่ในนั้นก็ยังพบข้อสังเกตด้วยว่ามีกองกำลังแฝงอยู่ในตำรวจ ซึ่งมีข้อสงสัยว่าเป็นเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ ที่ นายยงยุทธ ติยะไพรัช เคยฝึกเป็นกองกำลังส่วนตัวมาผสมด้วย ซึ่งอาจทำให้ยุทธวิธีของตำรวจขาดเอกภาพในการต่อสู้กับกองกำลังป๊อปคอร์นของ กปปส.
ระเบิดรัสเซีย-ซื้อชายแดนเขมรลูกละ 700 บาท
ขณะที่เรื่องของอาวุธนั้น แหล่งข่าวด้านความมั่นคงกล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็น M16, ปืนยิงระเบิด M79 หรือปืนอาก้านั้น ทั้งสองฝ่ายอยู่ในวิสัยที่หาได้ง่ายมาก และไม่ยากอะไรที่จะหลบสายตาการ์ด นำเข้าที่ชุมนุม
ทั้งสองมีโอกาสเท่ากัน แต่สำหรับระเบิดจากรัสเซียนั้น เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าฝ่ายไหนเป็นคนสร้างความรุนแรง
“ระเบิดของรัสเซีย ชัดเจนว่าฝ่ายทหารไม่มีใช้ ทั้งที่อนุสาวรีย์ฯ ทั้งที่บรรทัดทอง เป็นระเบิดรัสเซียที่หาซื้อได้ในตลาดมืดแถวๆ ชายแดนเขมร ราคาลูกละ 500-700 บาทเท่านั้น”
ใครมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศกัมพูชายิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าง่ายแค่ไหนในการหาอาวุธเหล่านี้มาใช้
แต่ไม่ว่าจะหวังใช้ตำรวจเข้าปราบประชาชนอย่างไร ไม่ว่าจะใช้อาวุธหนักขนาดไหน แต่เมื่อเจอยุทธวิธีของทหารที่ปกป้องประชาชนอยู่ วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ตัวแล้วว่า เขาทำอะไรไม่ได้ และจะแพ้ในไม่ช้า
จึงต้องประกาศตั้งกองกำลังของตัวเองขึ้นมา
พร้อมทั้งใช้สื่อในมือของตัวเอง ได้แก่ วอยซ์ทีวี, เอเชียอัปเดต ในการปลุกระดมคนเสื้อแดงให้พร้อมรบ (เพื่อเขา) เต็มที่ ขณะที่ กปปส.ก็ยังมีบลูสกาย, เอเอสทีวี และทีนิวส์ ที่ยังร่วมต่อสู้กับศึกครั้งนี้อย่างเหนียวแน่น
ไม่ต้องพูดเรื่องทุน แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีเงินมากเพียงใด แต่ยุทธศาสตร์การปิดธุรกิจตระกูลชิน ก็ทำให้ “ท่อน้ำเลี้ยง” ในการนำมาซื้อคนต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ สะดุดไม่น้อย แถมยังมีทีท่าว่าจะกระทบธุรกิจหลักของตระกูลชินวัตรเสียอีก ขณะที่ม็อบ กปปส.ท่อน้ำเลี้ยงไม่มี มีแค่แรงหนุนของประชาชนที่ร่วมกันลงขัน “ทำบุญ” ขับไล่ตระกูลชินวัตร เพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน
ทุกอย่างเป็นสัญญาณว่า “ทักษิณ” กำลังจนตรอก ถูกบีบทุกทางจนใกล้แพ้
โดยเฉพาะคำพูดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ สื่อไปยังสมาชิกพรรคเพื่อไทย “ผมจะไม่ยอมนอนรอความตาย” ขณะที่รักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ บริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ ไปไหนก็ไม่ได้ รวมไปถึงธุรกิจตระกูลชินวัตรก็ถูกมวลชน กปปส.เข้าไปกดดันเพื่อหวังจะจัดการกับปัญหาท่อน้ำเลี้ยงที่ให้การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยตลอดมา
แรงกดดันในทุกๆ ด้าน ทำให้ “พ.ต.ท.ทักษิณ” เข้าสู่ภาวะ “เข้าตาจน” จึงต้องส่งสัญญาณให้พลพรรคสู้ทุกรูปแบบและอ้างสถานการณ์ไม่ปกติเพื่อให้ยิ่งลักษณ์ยื้อเวลาเป็นรัฐบาลรักษาการต่อไปอย่างไม่มีกำหนด
“แต่ก็ประเมินกันว่า เมษายนนี้ต้องจบทุกอย่าง กรกฎาคมจะเป็นเดือนที่ประเทศไทยเริ่มต้นฟื้นฟูประเทศขึ้นมาใหม่แล้ว แต่วันนี้จะมีคนตายอีกมาก” แหล่งข่าว ส.ส.อาวุโสพรรคเพื่อไทยระบุ