“4 ขุนพล” จากประชาธิปัตย์ สลัดภาพลักษณ์คุณหนู โดดเป็นแกนนำฮาร์ดคอร์ ในเวที กปปส. คุมปฏิบัติการไล่ล่ายิ่งลักษณ์ ปิดพื้นที่เสี่ยงสัญลักษณ์ระบอบทักษิณ ด้านผู้ใหญ่ในพรรคบอกทั้ง 4 คนใจสู้ ส่วนลูกหมียกให้ณัฏฐพลพี่ใหญ่ บีพี่รอง สกลธีเป็นน้องเล็ก เผยรวมตัวกันเองไม่ใช่ผู้ใหญ่จัดให้ ย้ำแต่ละคนช่วยเหลือกัน ตักเตือนกัน รับเป็นคนขี้โมโห พี่ ๆ ต้องเตือน สารภาพบางครั้งต้องลุยเดี่ยวทำเอาแกว่ง ยอมรับไม่กลัวถูกจับ แต่หวั่นลอบยิง ชี้แต่ละคนคอนเนกชันเพียบทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน แถมมีจุดแข็งเกื้อหนุนกัน
นอกจากพรรคประชาธิปัตย์จะมี “3 เกลอสายล่อฟ้า” ประกอบด้วย นายศิริโชค โสภา นายเทพไท เสนพงศ์ และนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ที่โดดเด่นในฐานะพิธีกรผู้จัดรายการสายล่อฟ้า ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมบลูสกาย ซึ่งเป็นรายการที่รู้กันอยู่ว่าชกตรง ชกแรง กับระบอบทักษิณในทุกรูปแบบ และยังมีคดีหมิ่นประมาท “ยิ่งลักษณ์” ว.5 โฟร์ซีซั่นส์ ที่ฮือฮาให้สังคมได้รับรู้แล้ว
แต่วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ยังมี 4 หนุ่มฮาร์ดคอร์ที่โดดเด่นอีกรูปแบบหนึ่งปรากฏภาพให้เห็นชัดเจน หลังจากที่พวกเขาประกาศลาออกจากการเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์แล้วโดดออกมาร่วมเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวขับไล่ระบอบทักษิณ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ล่วงเลยมากว่า 3 เดือน ภายใต้แนวทางการต่อสู้ของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. เพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณ โดยยึดมั่นในแนวทางชุมนุมโดยสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ
ขณะที่ยุทธวิธีในการกดดันรัฐบาลจะกระทำโดยการเคลื่อนขบวนไปชักชวนชาวกรุงเทพมหานคร ให้ออกมาร่วมกันขับไล่รัฐบาลรักษาการ และเดินทางไปกดดันปิดสถานที่ราชการที่เป็นสัญลักษณ์ในการรับใช้ระบอบทักษิณ และขอให้ข้าราชการกระทรวงต่างๆ หยุดรับใช้ระบอบทักษิณ ส่วนยุทธวิธีล่าสุด คือการไล่ล่ารักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ในทุกๆ พื้นที่ที่ยิ่งลักษณ์ไปปรากฏกายเพื่อไปกดดันให้ประกาศลาออกจากรักษาการนายกรัฐมนตรีต่อไป
ดังนั้นในทุกๆ พื้นที่ที่ 4 หนุ่มไปปฏิบัติการนั้นจะว่าไปแล้วล้วนแต่เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยเพราะต้องเผชิญกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร หน่วยอารักขาที่ไร้เครื่องแบบ และยังอาจมีกองกำลังไม่เปิดเผยตัวที่แฝงตัวเข้ามาซึ่งมีการเปิดเผยกันว่าเป็นกองกำลังต่างชาติที่ล้วนแต่โหดเกินกว่าคนไทยด้วยกันจะกล้ากระทำ
แต่ 4 หนุ่มไม่รู้สึกหวาดหวั่นแต่ประการใด เขายังคงต่อสู้นำทัพมวลมหาประชาชนไปจู่โจมเช่นเคย หากมองย้อนไปยังพื้นที่ที่เขาเข้าไปปิดล้อมมาแล้วทั้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน้าสโมสรกองทัพบก หรือหน้าสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จะเห็นได้ว่าพวกเขาสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้หลายๆ คนที่เคยรู้จักต้องลบภาพคุณหนูออกไปจากสารบบได้เลย
4 คุณหนูขาลุย
สำหรับคุณหนูฮาร์ดคอร์ในฐานะแกนนำ กปปส. ประกอบด้วย นายชุมพล จุลใส นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ และนายสกลธี ภัททิยกุล โดย 3 รายแรกเป็นอดีต ส.ส.ครั้งที่ผ่านมา ปี 2554 ส่วนรายสุดท้ายเป็นอดีต ส.ส.เมื่อปี 2550 ซึ่งหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า 4 คนนี้มารวมตัวกันได้อย่างไร เนื่องจากแต่ละคนมีความแตกต่างกันมาก และภาพลักษณ์ของเขาถูกมองว่าอยู่ในข่ายของไฮโซหรือพวกคุณหนูนั่นเอง
บุคลิกของลูกหมี หรือชุมพล จุลใส คนนี้ไม่มีใครกังขา ด้วยมาดของเด็กใต้ใจถึง อดีตตำรวจ พร้อมลุยทุกเมื่อ แต่ที่เหลืออีก 3 คนล้วนอยู่ในกลุ่มคุณหนูแทบทั้งสิ้น ณัฏฐพล เด็กนอกมาจากตระกูลนักธุรกิจบริหารงานในองค์กรใหญ่ๆ บี-พุทธิพงษ์ เด็กนอก ฐานะและตระกูลดี เคยผ่านงานแสดงมาบ้าง หรือน้องเล็กของทีมอย่าง จั๊ม-สกลธี หนุ่มหน้าตี๋ จบเมืองนอก ลูกนายทหารใหญ่ที่มีสายเลือดของการเมืองผสมการทหาร จาก พล.อ.วินัย ภัททิยกุล หนึ่งในคณะรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549
เขาทั้ง 4 คน แม้วันนี้จะเป็นภาพของนักเคลื่อนไหวโค่นล้มระบอบทักษิณ แต่เมื่อไหร่ที่มีการปฏิรูปประเทศไทยสำเร็จแล้ว และจัดให้มีเลือกตั้งใหม่โดยมีพรรคประชาธิปัตย์ลงสมัครเลือกตั้งด้วย เราอาจจะได้เห็นเขาทั้ง 4 คนอยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ ในพรรคประชาธิปัตย์เพื่อขับเคลื่อนพรรคประชาธิปัตย์ในการบริหารประเทศต่อไป
ผู้ใหญ่มองลงตัว
นายวิฑูรย์ นามบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุบลราชธานี บอกว่า แกนนำทั้ง 4 คนนี้มีการพูดคุยกันมาตลอดด้านหลังเวทีชุมนุม ด้วยอายุที่ไล่เลี่ยกัน อยู่ในวัยทำงาน จึงทำให้ทำงานเข้าขากัน
“ลูกหมีเป็นคนน่ารัก ใจถึง รักพวกรักพ้อง พร้อมสู้ ณัฏฐพล เป็นคนเรียบง่าย สังคมดี ธุรกิจดี และภรรยาพร้อมลุยด้วยก็เลยเป็นแรงหนุน ส่วนสกลธีคนนี้เป็นลูกทหาร สู้อยู่แล้ว มีเสน่ห์ น่ารัก เข้มแข็ง และบี-พุทธิพงษ์ แม้จะดูไฮโซ เป็นคนสบายๆ แต่ลุยได้ทุกรูปแบบ”
อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับว่าทุกคนที่ออกไปเป็นแกนนำใจสู้ทุกคน น้องๆ 4 คนนี้อยู่กับกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ มานาน และเป็นคนที่ชอบและศรัทธาในตัวกำนันอยู่แล้ว ดังนั้นการทำงานที่ออกมาจึงทุ่มเทเต็มกำลัง
ลูกหมียก ‘ณัฏฐพล’ พี่ใหญ่
ด้านขาลุยอย่างลูกหมี หรือนายชุมพล จุลใส เล่าถึงที่มาที่ไปของการรวมตัวกันของ 4 คนนี้ว่าไม่อยากให้เรียกว่าแก๊ง 4 กุมารทองเหมือนที่บางสื่อเรียกกัน แต่เรียกว่า 4 ลูกน้องกำนันดีกว่า และที่รวมตัวกันได้เพราะอายุพวกเราใกล้เคียงกัน มีคุณณัฏฐพลเป็นพี่ใหญ่ รองลงมาคือพุทธิพงษ์เป็นพี่รอง และสกลธีเป็นน้องเล็ก พวกเราเป็นพวกใจถึง แต่ไม่ใช่แบบฮาร์ดคอร์และเคารพในเหตุผล เราทำงานกัน 4 คน คุยกันรู้เรื่อง และมั่นใจ แบ่งหน้าที่กันคุมแต่ละประตู
“พี่ณัฏฐพล ความคิดเฉียบแหลม มีเหตุผล เป็นพี่ใหญ่ คอยเตือนน้องๆ สุขุม รอบคอบ พูดจามีหลักเกณฑ์ สุภาพ และรับฟังข้อคิดเห็นของน้องๆ สำหรับพี่บี เป็นคนมีเหตุผล กล้าคิด กล้าตัดสินใจ ไม่โกรธ ไม่ทะเลาะกัน วิเคราะห์ว่าทำแบบนี้ผิดกฎหมาย และใจถึง น้องเล็กอย่างสกลธี เป็นลูกทหาร รู้เรื่องทหารดี มีเหตุผล ส่วนตัวผมเอง เป็นคนมุทะลุบ้างในบางเรื่อง แต่ไม่ต้องการปะทะกับตำรวจ ที่พูดจาด่าว่ากันบ้างหลังจากนั้นก็จบ แต่ก็อาจทำให้บางท่านไม่พอใจ แต่ยืนยันว่าที่พูดไปทั้งหมดเป็นเรื่องเหตุผล”
ลูกหมี ย้ำด้วยว่าพวกเรารวมตัวกันเอง ไม่ได้มีใครจัดให้ว่าต้องรวมกัน ทำให้การต่อสู้เข้มข้นยิ่งขึ้น ทำงานร่วมกัน 4 คนไม่มีการแย่งชิงกัน และที่ผ่านมาไม่ได้มีการมอบหมายว่าจะต้องรับผิดชอบในพื้นที่เสี่ยง แต่เป็นเรื่องของความสมัครใจ ทั้งๆ ที่กำนันไม่ต้องการให้ใครไปเสี่ยง แต่เราทำลงไปเพื่อให้มวลชนเห็นว่าเราสู้ให้พวกเขาจริงและเราก็พยายามทำสิ่งที่ผิดกฎหมายให้น้อยที่สุด
นอกจากนี้เราต้องรับผิดชอบต่อมวลชนที่ไปกับเราด้วย อะไรที่มวลชนเราทำไม่ถูกก็ต้องห้ามปราม เราไปด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกัน อย่างที่เหตุการณ์ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยิงแก๊สน้ำตาที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล เราไปเพื่อแสดงออกให้เห็น เมื่อประเมินแล้วว่าช่วงค่ำจะมีความเสี่ยงเกิดขึ้นกับมวลชนก็ต้องกลับ
ขาดใครไป “รู้สึกแกว่ง”
ส่วนตัวแล้ว ลูกหมีบอกว่าตัวเองเป็นคนไม่มีอะไร พูดกันรู้เรื่อง อย่างเช่น ถ้าบอกว่าอันนี้เป็นหน้าที่ของแต่ละคน ก็โอเค แต่อย่างที่เคยคุยกันไว้เรื่องสถานที่ของกองทัพว่าไม่ใช่เป็นที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พวกเราก็เสียใจที่ไม่เป็นไปตามที่พูดคุยกันไว้ เรามีเหตุผล รู้ขอบเขตว่าทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ต้องประเมินด้วยว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นคุ้มหรือไม่ ถ้าไม่คุ้มหรือเสี่ยงเราก็ไม่ทำ อย่างที่หน้าสโมสรกองทัพบก เราก็พอจะทราบว่ามีคนที่จ้องทำร้ายอยู่เมื่อถึงเวลาก็กลับ
ส่วนเรื่องความปลอดภัยในชีวิตนั้น อดีต ส.ส.ชุมพร กล่าวว่า เรื่องความปลอดภัย ไม่กังวล แต่ไม่ได้ท้าทาย มาถึงขั้นนี้แล้วกลัวไม่ได้ ไม่กลัวการโดนจับตัว แต่ก็ต้องระวังเรื่องการลอบยิง เพราะเราก็พอรู้ว่ามีการเตรียมทีมเหล่านี้มา ดังนั้นเวลาไปไหนจะนั่งนานๆ ที่เดิมไม่ได้ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา
สำหรับอดีต ส.ส.จากพื้นที่ภาคใต้เพียงคนเดียวในกลุ่มนี้ คนที่รู้จักตัวตนของเขาดีจะรู้ว่าที่เห็นห้าวๆ อยู่นี้ แท้ที่จริงแล้วเขาเป็นคนขี้อาย ขึ้นพูดบนเวที กปปส.น้อยมากเพราะเป็นคนพูดไม่เก่ง ไม่ชอบสร้างภาพ จะเห็นได้ว่าขึ้นบนเวทีน้อยมาก เพราะกลัวว่าพูดแล้วจะหลุดคำที่ไม่สุภาพออกมา กลัวคนกรุงเทพฯ จะรับไม่ได้ แต่ถ้าเป็นต่างจังหวัดไม่เท่าไหร่ ไม่ชอบถ่ายรูป ไม่อยากเป็นคนดัง ชอบอยู่เบื้องหลังมากกว่า แต่บางครั้งก็เป็นหน้าที่ ระยะหลังมีคนมาขอถ่ายรูปเยอะขึ้น ไม่ชอบถ่ายรูปกับคนเยอะๆ ถ้าไม่จำเป็นก็หลบ ที่ต้องออกมาในครั้งนี้แค่อยากต่อสู้กับระบอบทักษิณ ไม่หวังเรื่องชื่อเสียง และไม่ได้เกลียดตัวบุคคลอย่างคุณทักษิณ หรือคุณยิ่งลักษณ์ แต่ไม่ชอบระบอบนี้ที่โกงกินเท่านั้น
พร้อมทั้งยอมรับว่าหากจำเป็นต้องปฏิบัติการที่ไม่ครบทั้ง 4 คนนั้นเขาก็หวาดหวั่นเช่นกัน “มีบางครั้งที่ผมต้องออกไปพื้นที่คนเดียวก็รู้สึกแกว่งๆ เหมือนกัน เราทำงานเข้าขากัน ตักเตือนกัน บางครั้งผมโมโหรุนแรง พี่ๆ ก็เตือนว่าไม่ใช่ลุยอย่างเดียว คิดว่าพวกผม 4 คนจะเกาะกันจนกว่าจะไล่รัฐบาลชุดนี้ออกไปได้”
เกื้อหนุนกันอย่างดี
อีกหนึ่งในทีมงานพรรคประชาธิปัตย์ที่เห็นการเกาะกลุ่มของ 4 แกนนำชุดนี้เล่าให้ฟังว่า 4 คนนี้เขาสนิทสนมกันตั้งแต่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์แล้ว อายุใกล้เคียงกันและไปไหนมาไหนด้วยกัน ต้องนับถือน้ำใจของพวกเขา อย่างวันที่เกิดเหตุที่เวทีแจ้งวัฒนะ ทั้ง 4 คนนี้ก็พร้อมจะไปช่วย
ดังนั้นเมื่อเข้าไปทำงานที่ กปปส. จึงเข้าขากันอย่างดี และถือเป็นส่วนผสมที่ลงตัว เกื้อหนุนกันได้เป็นอย่างดี ไล่เรียงกันตั้งแต่นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ที่ทำงานด้านแวดวงธุรกิจ ดังนั้นเรื่องสายสัมพันธ์จึงไม่ต้องเป็นห่วง อีกทั้งฝ่ายภรรยาคือคุณทยา ทีปสุวรรณ (สกุลเดิมศรีวิกรม์) ที่โดดลงมาลุยด้วยกัน ทุกคนก็รู้ว่ามาจากตระกูลธุรกิจใหญ่อย่างศรีวิกรม์ อีกทั้งคุณทยาเคยเป็นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ มาก่อน นี่จึงเป็นจุดแข็งของคุณณัฏฐพล โดยเข้ามารับผิดชอบเวทีชุมนุมที่อโศก
ส่วน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.เช่นกัน รู้พื้นที่เป็นอย่างดี พื้นฐานครอบครัวดีมาก อีกทั้งภรรยาเป็นดารา ทำให้มีเพื่อนๆ ดาราที่เห็นด้วยกับแนวทางปฏิรูปเข้ามาช่วยกัน ทำให้เวทีที่รับผิดชอบอยู่ที่ราชประสงค์คึกคัก
ขณะที่ นายสกลธี ทุกคนก็ทราบดีว่าคุณพ่อเป็นนายทหาร ดังนั้นจึงมีสายสัมพันธ์ในเรื่องทหารค่อนข้างดีมาก อีกทั้งเคยทำงานในกรมสอบสวนคดีพิเศษมาก่อน ทำให้รู้เส้นสนกลใน DSI ได้เป็นอย่างดี
รายที่ดูบู๊อย่าง นายชุมพล จุลใส เป็นตำรวจมาก่อน รู้เรื่องหลักการและการทำงานของตำรวจเป็นอย่างดี อีกทั้งอุปนิสัยแบบใจถึง
เมื่อ 4 คนมารวมกันจึงกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวทั้งในด้านการปฏิบัติงานในพื้นที่ต่างๆ และการดูแลเวทีชุมนุม ซึ่งจะเห็นได้ว่าณัฏฐพลกับสกลธีดูเวทีอโศก พุทธิพงษ์กับชุมพลดูแลเวทีราชประสงค์ ทั้ง 2 เวทีนี้จึงค่อนข้างแตกต่างกับเวทีอื่น เน้นไปที่ความครึกครื้น สนุกสนาน เนื่องจากสายสัมพันธ์ของแต่ละคนนั้นสามารถดึงเอาคนอื่นๆ เข้ามาร่วมกันได้เยอะ
แต่เมื่อไหร่ที่ทั้ง 4 คนเคลื่อนทัพไปปิดล้อมสถานที่ต่างๆ หรือไล่ล่ารักษาการนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เราจะเห็นภาพการผนึกกำลังและการแบ่งหน้าที่การทำงานทั้งบนรถปราศรัย และในพื้นที่ข้างล่างที่มีทั้งภาพเชิงรุกและเชิงรับที่หลายคนจะลืมภาพคุณหนูกลายร่างเป็นนักเคลื่อนไหวแบบฮาร์ดคอร์ไม่แพ้ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ สมาชิกพรรคเพื่อไทย
เพียงแต่ว่า เขาทั้ง 4 คนมาด้วยใจ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง “สู้แล้วรวย” เหมือนแกนนำเสื้อแดงบางคนเท่านั้นเอง!
นอกจากพรรคประชาธิปัตย์จะมี “3 เกลอสายล่อฟ้า” ประกอบด้วย นายศิริโชค โสภา นายเทพไท เสนพงศ์ และนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ที่โดดเด่นในฐานะพิธีกรผู้จัดรายการสายล่อฟ้า ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมบลูสกาย ซึ่งเป็นรายการที่รู้กันอยู่ว่าชกตรง ชกแรง กับระบอบทักษิณในทุกรูปแบบ และยังมีคดีหมิ่นประมาท “ยิ่งลักษณ์” ว.5 โฟร์ซีซั่นส์ ที่ฮือฮาให้สังคมได้รับรู้แล้ว
แต่วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ยังมี 4 หนุ่มฮาร์ดคอร์ที่โดดเด่นอีกรูปแบบหนึ่งปรากฏภาพให้เห็นชัดเจน หลังจากที่พวกเขาประกาศลาออกจากการเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์แล้วโดดออกมาร่วมเป็นแกนนำในการเคลื่อนไหวขับไล่ระบอบทักษิณ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ล่วงเลยมากว่า 3 เดือน ภายใต้แนวทางการต่อสู้ของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. เพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณ โดยยึดมั่นในแนวทางชุมนุมโดยสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ
ขณะที่ยุทธวิธีในการกดดันรัฐบาลจะกระทำโดยการเคลื่อนขบวนไปชักชวนชาวกรุงเทพมหานคร ให้ออกมาร่วมกันขับไล่รัฐบาลรักษาการ และเดินทางไปกดดันปิดสถานที่ราชการที่เป็นสัญลักษณ์ในการรับใช้ระบอบทักษิณ และขอให้ข้าราชการกระทรวงต่างๆ หยุดรับใช้ระบอบทักษิณ ส่วนยุทธวิธีล่าสุด คือการไล่ล่ารักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ในทุกๆ พื้นที่ที่ยิ่งลักษณ์ไปปรากฏกายเพื่อไปกดดันให้ประกาศลาออกจากรักษาการนายกรัฐมนตรีต่อไป
ดังนั้นในทุกๆ พื้นที่ที่ 4 หนุ่มไปปฏิบัติการนั้นจะว่าไปแล้วล้วนแต่เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยเพราะต้องเผชิญกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร หน่วยอารักขาที่ไร้เครื่องแบบ และยังอาจมีกองกำลังไม่เปิดเผยตัวที่แฝงตัวเข้ามาซึ่งมีการเปิดเผยกันว่าเป็นกองกำลังต่างชาติที่ล้วนแต่โหดเกินกว่าคนไทยด้วยกันจะกล้ากระทำ
แต่ 4 หนุ่มไม่รู้สึกหวาดหวั่นแต่ประการใด เขายังคงต่อสู้นำทัพมวลมหาประชาชนไปจู่โจมเช่นเคย หากมองย้อนไปยังพื้นที่ที่เขาเข้าไปปิดล้อมมาแล้วทั้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน้าสโมสรกองทัพบก หรือหน้าสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จะเห็นได้ว่าพวกเขาสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้หลายๆ คนที่เคยรู้จักต้องลบภาพคุณหนูออกไปจากสารบบได้เลย
4 คุณหนูขาลุย
สำหรับคุณหนูฮาร์ดคอร์ในฐานะแกนนำ กปปส. ประกอบด้วย นายชุมพล จุลใส นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ และนายสกลธี ภัททิยกุล โดย 3 รายแรกเป็นอดีต ส.ส.ครั้งที่ผ่านมา ปี 2554 ส่วนรายสุดท้ายเป็นอดีต ส.ส.เมื่อปี 2550 ซึ่งหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า 4 คนนี้มารวมตัวกันได้อย่างไร เนื่องจากแต่ละคนมีความแตกต่างกันมาก และภาพลักษณ์ของเขาถูกมองว่าอยู่ในข่ายของไฮโซหรือพวกคุณหนูนั่นเอง
บุคลิกของลูกหมี หรือชุมพล จุลใส คนนี้ไม่มีใครกังขา ด้วยมาดของเด็กใต้ใจถึง อดีตตำรวจ พร้อมลุยทุกเมื่อ แต่ที่เหลืออีก 3 คนล้วนอยู่ในกลุ่มคุณหนูแทบทั้งสิ้น ณัฏฐพล เด็กนอกมาจากตระกูลนักธุรกิจบริหารงานในองค์กรใหญ่ๆ บี-พุทธิพงษ์ เด็กนอก ฐานะและตระกูลดี เคยผ่านงานแสดงมาบ้าง หรือน้องเล็กของทีมอย่าง จั๊ม-สกลธี หนุ่มหน้าตี๋ จบเมืองนอก ลูกนายทหารใหญ่ที่มีสายเลือดของการเมืองผสมการทหาร จาก พล.อ.วินัย ภัททิยกุล หนึ่งในคณะรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549
เขาทั้ง 4 คน แม้วันนี้จะเป็นภาพของนักเคลื่อนไหวโค่นล้มระบอบทักษิณ แต่เมื่อไหร่ที่มีการปฏิรูปประเทศไทยสำเร็จแล้ว และจัดให้มีเลือกตั้งใหม่โดยมีพรรคประชาธิปัตย์ลงสมัครเลือกตั้งด้วย เราอาจจะได้เห็นเขาทั้ง 4 คนอยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ ในพรรคประชาธิปัตย์เพื่อขับเคลื่อนพรรคประชาธิปัตย์ในการบริหารประเทศต่อไป
ผู้ใหญ่มองลงตัว
นายวิฑูรย์ นามบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุบลราชธานี บอกว่า แกนนำทั้ง 4 คนนี้มีการพูดคุยกันมาตลอดด้านหลังเวทีชุมนุม ด้วยอายุที่ไล่เลี่ยกัน อยู่ในวัยทำงาน จึงทำให้ทำงานเข้าขากัน
“ลูกหมีเป็นคนน่ารัก ใจถึง รักพวกรักพ้อง พร้อมสู้ ณัฏฐพล เป็นคนเรียบง่าย สังคมดี ธุรกิจดี และภรรยาพร้อมลุยด้วยก็เลยเป็นแรงหนุน ส่วนสกลธีคนนี้เป็นลูกทหาร สู้อยู่แล้ว มีเสน่ห์ น่ารัก เข้มแข็ง และบี-พุทธิพงษ์ แม้จะดูไฮโซ เป็นคนสบายๆ แต่ลุยได้ทุกรูปแบบ”
อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับว่าทุกคนที่ออกไปเป็นแกนนำใจสู้ทุกคน น้องๆ 4 คนนี้อยู่กับกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ มานาน และเป็นคนที่ชอบและศรัทธาในตัวกำนันอยู่แล้ว ดังนั้นการทำงานที่ออกมาจึงทุ่มเทเต็มกำลัง
ลูกหมียก ‘ณัฏฐพล’ พี่ใหญ่
ด้านขาลุยอย่างลูกหมี หรือนายชุมพล จุลใส เล่าถึงที่มาที่ไปของการรวมตัวกันของ 4 คนนี้ว่าไม่อยากให้เรียกว่าแก๊ง 4 กุมารทองเหมือนที่บางสื่อเรียกกัน แต่เรียกว่า 4 ลูกน้องกำนันดีกว่า และที่รวมตัวกันได้เพราะอายุพวกเราใกล้เคียงกัน มีคุณณัฏฐพลเป็นพี่ใหญ่ รองลงมาคือพุทธิพงษ์เป็นพี่รอง และสกลธีเป็นน้องเล็ก พวกเราเป็นพวกใจถึง แต่ไม่ใช่แบบฮาร์ดคอร์และเคารพในเหตุผล เราทำงานกัน 4 คน คุยกันรู้เรื่อง และมั่นใจ แบ่งหน้าที่กันคุมแต่ละประตู
“พี่ณัฏฐพล ความคิดเฉียบแหลม มีเหตุผล เป็นพี่ใหญ่ คอยเตือนน้องๆ สุขุม รอบคอบ พูดจามีหลักเกณฑ์ สุภาพ และรับฟังข้อคิดเห็นของน้องๆ สำหรับพี่บี เป็นคนมีเหตุผล กล้าคิด กล้าตัดสินใจ ไม่โกรธ ไม่ทะเลาะกัน วิเคราะห์ว่าทำแบบนี้ผิดกฎหมาย และใจถึง น้องเล็กอย่างสกลธี เป็นลูกทหาร รู้เรื่องทหารดี มีเหตุผล ส่วนตัวผมเอง เป็นคนมุทะลุบ้างในบางเรื่อง แต่ไม่ต้องการปะทะกับตำรวจ ที่พูดจาด่าว่ากันบ้างหลังจากนั้นก็จบ แต่ก็อาจทำให้บางท่านไม่พอใจ แต่ยืนยันว่าที่พูดไปทั้งหมดเป็นเรื่องเหตุผล”
ลูกหมี ย้ำด้วยว่าพวกเรารวมตัวกันเอง ไม่ได้มีใครจัดให้ว่าต้องรวมกัน ทำให้การต่อสู้เข้มข้นยิ่งขึ้น ทำงานร่วมกัน 4 คนไม่มีการแย่งชิงกัน และที่ผ่านมาไม่ได้มีการมอบหมายว่าจะต้องรับผิดชอบในพื้นที่เสี่ยง แต่เป็นเรื่องของความสมัครใจ ทั้งๆ ที่กำนันไม่ต้องการให้ใครไปเสี่ยง แต่เราทำลงไปเพื่อให้มวลชนเห็นว่าเราสู้ให้พวกเขาจริงและเราก็พยายามทำสิ่งที่ผิดกฎหมายให้น้อยที่สุด
นอกจากนี้เราต้องรับผิดชอบต่อมวลชนที่ไปกับเราด้วย อะไรที่มวลชนเราทำไม่ถูกก็ต้องห้ามปราม เราไปด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกัน อย่างที่เหตุการณ์ปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยิงแก๊สน้ำตาที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล เราไปเพื่อแสดงออกให้เห็น เมื่อประเมินแล้วว่าช่วงค่ำจะมีความเสี่ยงเกิดขึ้นกับมวลชนก็ต้องกลับ
ขาดใครไป “รู้สึกแกว่ง”
ส่วนตัวแล้ว ลูกหมีบอกว่าตัวเองเป็นคนไม่มีอะไร พูดกันรู้เรื่อง อย่างเช่น ถ้าบอกว่าอันนี้เป็นหน้าที่ของแต่ละคน ก็โอเค แต่อย่างที่เคยคุยกันไว้เรื่องสถานที่ของกองทัพว่าไม่ใช่เป็นที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พวกเราก็เสียใจที่ไม่เป็นไปตามที่พูดคุยกันไว้ เรามีเหตุผล รู้ขอบเขตว่าทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ต้องประเมินด้วยว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นคุ้มหรือไม่ ถ้าไม่คุ้มหรือเสี่ยงเราก็ไม่ทำ อย่างที่หน้าสโมสรกองทัพบก เราก็พอจะทราบว่ามีคนที่จ้องทำร้ายอยู่เมื่อถึงเวลาก็กลับ
ส่วนเรื่องความปลอดภัยในชีวิตนั้น อดีต ส.ส.ชุมพร กล่าวว่า เรื่องความปลอดภัย ไม่กังวล แต่ไม่ได้ท้าทาย มาถึงขั้นนี้แล้วกลัวไม่ได้ ไม่กลัวการโดนจับตัว แต่ก็ต้องระวังเรื่องการลอบยิง เพราะเราก็พอรู้ว่ามีการเตรียมทีมเหล่านี้มา ดังนั้นเวลาไปไหนจะนั่งนานๆ ที่เดิมไม่ได้ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา
สำหรับอดีต ส.ส.จากพื้นที่ภาคใต้เพียงคนเดียวในกลุ่มนี้ คนที่รู้จักตัวตนของเขาดีจะรู้ว่าที่เห็นห้าวๆ อยู่นี้ แท้ที่จริงแล้วเขาเป็นคนขี้อาย ขึ้นพูดบนเวที กปปส.น้อยมากเพราะเป็นคนพูดไม่เก่ง ไม่ชอบสร้างภาพ จะเห็นได้ว่าขึ้นบนเวทีน้อยมาก เพราะกลัวว่าพูดแล้วจะหลุดคำที่ไม่สุภาพออกมา กลัวคนกรุงเทพฯ จะรับไม่ได้ แต่ถ้าเป็นต่างจังหวัดไม่เท่าไหร่ ไม่ชอบถ่ายรูป ไม่อยากเป็นคนดัง ชอบอยู่เบื้องหลังมากกว่า แต่บางครั้งก็เป็นหน้าที่ ระยะหลังมีคนมาขอถ่ายรูปเยอะขึ้น ไม่ชอบถ่ายรูปกับคนเยอะๆ ถ้าไม่จำเป็นก็หลบ ที่ต้องออกมาในครั้งนี้แค่อยากต่อสู้กับระบอบทักษิณ ไม่หวังเรื่องชื่อเสียง และไม่ได้เกลียดตัวบุคคลอย่างคุณทักษิณ หรือคุณยิ่งลักษณ์ แต่ไม่ชอบระบอบนี้ที่โกงกินเท่านั้น
พร้อมทั้งยอมรับว่าหากจำเป็นต้องปฏิบัติการที่ไม่ครบทั้ง 4 คนนั้นเขาก็หวาดหวั่นเช่นกัน “มีบางครั้งที่ผมต้องออกไปพื้นที่คนเดียวก็รู้สึกแกว่งๆ เหมือนกัน เราทำงานเข้าขากัน ตักเตือนกัน บางครั้งผมโมโหรุนแรง พี่ๆ ก็เตือนว่าไม่ใช่ลุยอย่างเดียว คิดว่าพวกผม 4 คนจะเกาะกันจนกว่าจะไล่รัฐบาลชุดนี้ออกไปได้”
เกื้อหนุนกันอย่างดี
อีกหนึ่งในทีมงานพรรคประชาธิปัตย์ที่เห็นการเกาะกลุ่มของ 4 แกนนำชุดนี้เล่าให้ฟังว่า 4 คนนี้เขาสนิทสนมกันตั้งแต่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์แล้ว อายุใกล้เคียงกันและไปไหนมาไหนด้วยกัน ต้องนับถือน้ำใจของพวกเขา อย่างวันที่เกิดเหตุที่เวทีแจ้งวัฒนะ ทั้ง 4 คนนี้ก็พร้อมจะไปช่วย
ดังนั้นเมื่อเข้าไปทำงานที่ กปปส. จึงเข้าขากันอย่างดี และถือเป็นส่วนผสมที่ลงตัว เกื้อหนุนกันได้เป็นอย่างดี ไล่เรียงกันตั้งแต่นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ที่ทำงานด้านแวดวงธุรกิจ ดังนั้นเรื่องสายสัมพันธ์จึงไม่ต้องเป็นห่วง อีกทั้งฝ่ายภรรยาคือคุณทยา ทีปสุวรรณ (สกุลเดิมศรีวิกรม์) ที่โดดลงมาลุยด้วยกัน ทุกคนก็รู้ว่ามาจากตระกูลธุรกิจใหญ่อย่างศรีวิกรม์ อีกทั้งคุณทยาเคยเป็นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ มาก่อน นี่จึงเป็นจุดแข็งของคุณณัฏฐพล โดยเข้ามารับผิดชอบเวทีชุมนุมที่อโศก
ส่วน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม.เช่นกัน รู้พื้นที่เป็นอย่างดี พื้นฐานครอบครัวดีมาก อีกทั้งภรรยาเป็นดารา ทำให้มีเพื่อนๆ ดาราที่เห็นด้วยกับแนวทางปฏิรูปเข้ามาช่วยกัน ทำให้เวทีที่รับผิดชอบอยู่ที่ราชประสงค์คึกคัก
ขณะที่ นายสกลธี ทุกคนก็ทราบดีว่าคุณพ่อเป็นนายทหาร ดังนั้นจึงมีสายสัมพันธ์ในเรื่องทหารค่อนข้างดีมาก อีกทั้งเคยทำงานในกรมสอบสวนคดีพิเศษมาก่อน ทำให้รู้เส้นสนกลใน DSI ได้เป็นอย่างดี
รายที่ดูบู๊อย่าง นายชุมพล จุลใส เป็นตำรวจมาก่อน รู้เรื่องหลักการและการทำงานของตำรวจเป็นอย่างดี อีกทั้งอุปนิสัยแบบใจถึง
เมื่อ 4 คนมารวมกันจึงกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวทั้งในด้านการปฏิบัติงานในพื้นที่ต่างๆ และการดูแลเวทีชุมนุม ซึ่งจะเห็นได้ว่าณัฏฐพลกับสกลธีดูเวทีอโศก พุทธิพงษ์กับชุมพลดูแลเวทีราชประสงค์ ทั้ง 2 เวทีนี้จึงค่อนข้างแตกต่างกับเวทีอื่น เน้นไปที่ความครึกครื้น สนุกสนาน เนื่องจากสายสัมพันธ์ของแต่ละคนนั้นสามารถดึงเอาคนอื่นๆ เข้ามาร่วมกันได้เยอะ
แต่เมื่อไหร่ที่ทั้ง 4 คนเคลื่อนทัพไปปิดล้อมสถานที่ต่างๆ หรือไล่ล่ารักษาการนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เราจะเห็นภาพการผนึกกำลังและการแบ่งหน้าที่การทำงานทั้งบนรถปราศรัย และในพื้นที่ข้างล่างที่มีทั้งภาพเชิงรุกและเชิงรับที่หลายคนจะลืมภาพคุณหนูกลายร่างเป็นนักเคลื่อนไหวแบบฮาร์ดคอร์ไม่แพ้ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ สมาชิกพรรคเพื่อไทย
เพียงแต่ว่า เขาทั้ง 4 คนมาด้วยใจ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง “สู้แล้วรวย” เหมือนแกนนำเสื้อแดงบางคนเท่านั้นเอง!