xs
xsm
sm
md
lg

สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 12

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 12

กรรัมภาเดินหลุดมาได้ก็โล่งอก

"นายจุนจีประสาทหรือไง โทร.ตามให้มาหาที่กองถ่ายทำไมก็ไม่รู้ เกือบโดนแฟนคลับ ยำเละ แล้วนี่ ให้มาหาตัวเองถ่ายละครอยู่ตรงไหนล่ะ"
กรรัมภาชะเง้อมองหา ซองซูเดินตามมา
"โอ๊ะ! ระวังครับ"
กรรัมภาตกใจ สะดุ้ง
"อุ้ย! อะไรคะ"
"ระวัง...เดี๋ยวจะตกหลุมรักผมน่ะสิฮะ"
กรรัมภาหัวเราะคิก
"ฮิๆๆ...โอปะซองซู รูปหล่อแล้วยังมุขเยอะอีกนะคะ"
"ดูผมก่อนสิครับ... 1 + 1 น่ารักป๊ะ? 2 + 2 น่ารักป๊ะ? 3 + 3 น่ารักป๊ะ? นะ นะ น่ารักป๊ะ? นะ นะ น่ารักป๊ะ?"
กรรัมภาฝืนยิ้มขำ
"น่ารักจุงเบยคะ แล้วนี่คุณซองซูไม่เข้าฉากเหรอคะ ถึงมีเวลามาทำควิโยมี่อยู่แถวนี้"
"ตอนนี้เป็นคิวนายจุนจีถ่ายอยู่ ผมเลยมีเวลาได้เจอคุณแก้ม แล้วนี่คุณแก้มมากองถ่าย ทำไมครับ มีธุระอะไรกับจุนจี"
กรกรัมภาแอบคิด เพราะตกลงกับจุนจีว่าจะโกหกคนในกองถ่ายว่า เธอเป็นตัวแทนบริษัทเครื่องสำอางของพ่อเธอเอง
"อ้อ...ค่ะๆ พอดีคุณพ่ออยากให้คุณจุนจีดูเอกสารสัญญานิดหน่อยนะคะ ก่อน เซ็นสัญญาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้เครื่องสำองค์O-O-OKกับเรา"
ซองซูแอบอิจฉา
"จุนจีนี่โชคดีมากนะครับ อยู่เกาหลีก็มีเครื่องสำอางมาติดต่อ มาเมืองไทยแป๊บเดียวก็มีโฆษณาเข้าซะแล้ว ทีผมไม่เห็นมีมั่งเลย"
ซองซูทำตาอ้อนกรรัมภา
"โถ...อย่าเพิ่งน้อยใจซีคะคุณซองซู แก้มได้ยินมาว่า ตอนนี้ทางบริษัทเครื่องสำอางคู่แข่ง
ของO-O-OKของแก้ม กำลังหาดาราชายมาโฆษณาอยู่นะคะ อาจจะกำลังติดต่อต้นสังกัด
ของคุณซองซูอยู่ก็ได้"
"แหม คุณแก้มนี่นอกจากจะสวยแล้วยังปลอบใจคนเก่งอีกนะครับ หึ ไม่เป็นไรหรอกครับ
ผมชินเสียแล้ว ปรกติผมเองก็ดังไม่เท่ากับจุนจีอยู่แล้ว บุญวาสนาคงแข่งกันไม่ได้ ที่ได้มีโอกาสมาเล่นซีรี่ส์เรื่องนี้กับเขาก็นับว่าโชคดีมากแล้ว"
ซองซูทำเป็นพูดพลางทำท่าอ้อนกรรัมภาให้สงสาร
"คุณซองซูอ่ะ ถ่อมตัวมากไปแล้ว รู้มั้ยคะ แก้มน่ะชอบซีรี่ย์เรื่องล่าสุดที่คุณแสดงเป็นมือปืนใบ้มากเลยนะคะ ถึงคุณจะไม่ได้พูดเลยซักคำทั้งเรื่อง แต่ว่ามันเท่มากเลยนะคะ โดยเฉพาะท่าแสยะยิ้มก่อนยิงของคุณ ไหนทำให้แก้มดูอีกสักครั้งซีคะ"
ซองซูทำท่าควงปืน แสยะยิ้มก่อนยิง
"นั่นแหละค่ะ เจริญสติมาก!" กรรัมภาชมแบบประชด
"ผมดีใจจริงๆครับที่มีคนชอบ ผมต้องซ้อมท่องบทเกือบทุกวัน ถึงเล่นออกมาได้ดีขนาดนั้น"
"ท่องบท แล้วนั่นเล่นดีแล้วหรือคะ เอ่อ...ฮิๆ จริงๆนะคะ ใครๆก็ชอบบทพระรองที่คุณเล่น คุณแสดงได้สมบทบาทมาก"
"คุณแก้มพูดแบบนี้ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย บอกตามตรงนะครับผมถูกชะตากับคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันแล้ว เมื่อไหร่คุณแก้มว่างผมขอเลี้ยงดินเน่อร์สักมื้อ นะครับ เราจะได้ทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้"
"ดินเนอร์ ได้ค่ะ ไว้คุณซองซูกลับไปเกาหลีก่อนนะคะ แล้วเราดินเนอร์กัน"
"ห๊า...กลับเกาหลี แล้วจะดินเนอร์ยังไงล่ะครับ"
"นั่นน่ะสิคะ"
"อ้อ...คุงแก้มจะบินไปหาผมที่เกาหลีเพราะนักข่าวไทยตามมาวุ่นวายใช่ไหมครับ"
"ค่ะๆๆ"
กรรัมภาชักไม่ไหวแล้ว

ปาร์คจุนจีดีใจเดินพูดมือถือกับลีจองกุ๊กลงบันไดมาจากชั้นบนเพื่อมองหากรรัมภา
"คุณแก้มมาแล้วเหรอนายกุ๊ก ไหนล่ะ ฉันกำลังเดินหาอยู่เนี่ยะ ยังไม่เห็นเลย อยู่ไหนนะ"
จุนจีก็ชะงัก เห็นกรรัมภากำลังยืนคุยยิ้มหัวเราะกับซองซูก็มีอาการหึง ปรี๊ดขึ้นมา
"เห็นแล้ว"
ปาร์คจุนจีวางสายอย่างหงุดหงิด
"สั่งให้มาหาเรา แต่กลับไปคุยกับคนอื่น เสียงแรงที่อุตส่าห์...หึ!"
ปาร์คจุนจีสะบัดหน้าหันเดินกลับขึ้นไป กรรัมภาเห็นหลังเขาไวๆ
"ห่ะ...นั่นจุนจีนี่ แก้มไปก่อนนะคะโอปะซองซู"
"เอ่อ..."
ซองซูจะรั้งไว้ แต่กรรัมภารีบวิ่งแจ้นตามปาร์คจุนจีไปแล้ว
"โธ่เว้ย ไอ้ซุปเปอร์สตาร์หน้าเก๊ก แกจะโชคดีไปถึงไหนวะ ทั้งงาน ทั้งผู้หญิงแย่งซองซู สุดหล่อไปหมด! แล้วนี่เมื่อไหร่จะได้ถ่ายซะทีเนี่ยะ มาตั้งแต่ไก่โห่ มีแค่ 2 ฉาก โธ่เว้ย... ซองซู เห็นทีกลับเกาหลีหนนี้ ต้องไปโมหน้าใหม่ เอาให้หล่อกว่าไอ้จุนจีเลย"

เวลากลางวันต่อเนื่องมา รถอรวีวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าโรงแรม โกลเดนเบบี๋นั่งอยู่ที่เบาะข้างๆ โดยมีกระเป๋า และเอกสารของอรวีวางอยู่บนตัก อรวีมองไปที่โรงแรมด้วยสีหน้าหวั่นๆ โกลเดนเบบี๋หันมองพี่สาวอย่างเห็นใจ
"มาหานายจุนจีทีไร ฉันใจคอไม่ดีทุกที เห็นหน้าเค้าแล้วฉันกลัว"
"แล้วพี่จะมาหาเค้าอีกทำไม นายนักร้องกิมจิขวัญใจพี่แก้ม ไม่เห็นจะชอบหน้าพี่เลย"
"เอาเถอะ เพื่อคุณอติเทพ ยอมทนให้นายนักร้องนั่นโขกสับอีกสักครั้งจะเป็นไรไป"
อรวีหันไปคว้ากระเป๋าและซองเอกสาร แต่โกลเดนเบบี๋หายไปจากเบาะรถแล้ว

มุมหนึ่ง ปาร์คจุนจีกับปาริฉัตรกำลังยืนท่องบทซ้อมคิวกล้องเพื่อถ่ายฉากต่อไป
ผู้กำกับบอกทีมงาน
"เดี๋ยวเราถ่ายฉากที่10 นี้เสร็จ ค่อยย้ายเข้าไปถ่ายฉาก 9 ในห้องจัดเลี้ยงนะ "
"ครับพี่"
กรรัมภาเดินตามหามา
"ถ่ายอยู่นี่เอง"
เธอเห็นปาร์คจุนจีซ้อมคิวเสร็จหันมา เลยยิ้มโบกมือบอกว่าตัวเองมาแล้วแต่ปาร์คจุนจีกลับ มึนตึงใส่ ไม่ยิ้มให้ แถมยังเมินหน้าหนี ทำเอาเธอยืนหน้าแตก ปาริฉัตรหันมาเห็นก็ปิดปากขำ เยาะเย้ย กรัมภาทิ้งมือลงอย่างน้อยใจ
"ผีเข้าอะไรขึ้นมาอีก เป็นคนโทร.เรียกเรามาเอง เจอหน้าแล้วมาทำกันยังงี้ ไม่น่ามาเลย"
ลีจองกุ๊กเดินเข้ามาพอดี
"อยู่นี่เองเหรอครับคุณแก้ม จุนจีกำลังตามหาคุณอยู่"
"ตามหาอะไรเหรอคุณจองกุ๊ก หึ! ตะกี้เค้าเห็นแก้ม แก้มยิ้มทักเค้า เค้ากลับทำหน้ายักษ์ใส่
แก้มจะกลับแล้ว มีอะไรก็ไปหาแก้มที่บริษัทเองก็แล้วกัน"
"ดะๆเดี๋ยวซีครับคุณแก้ม จุนจีเค้าคงทำสมาธิจะถ่ายละครอยู่ ก็เลยไม่ได้สนใจใคร"
ทีมงานบอก

"เงียบนะครับ จะถ่ายแล้ว! พร้อมนะ...5...4...3...2…กล้องไป"

ในละคร...ปาร์คจุนจีเดินหนี ปาริฉัตรวิ่งร้องไห้ตาม มาข้างหลัง

"คุณไปไม่ได้นะ ฉันไม่ให้คุณไป หยุดเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกให้หยุด"
ปาร์คจุนจีหยุด สีหน้าเจ็บช้ำ
"ใช่ ผมควรจะหยุดเสียที หยุดคิดถึงคุณ หยุดรักคุณ เพราะคุณกำลังจะแต่งงาน"
"ไม่นะ...อย่าหยุดรักฉัน ถ้าไม่มีคุณเมื่อไหร่ ฉันคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ฉันรักคุณ"
ปาร์คจุนจีตะลึง หันปรี่เข้าไปจับไหล่ปาริฉัตรทันที
"เมื่อกี้...คุณพูดว่าอะไรนะ พูดให้ผมฟังชัดๆอีกทีซิ"
"ฉันรักคุณค่ะ...ได้ยินไหม...ฉันรักคุณ"
ปาร์คจุนจีพยักหน้า สุดแสนดีใจจนน้ำตาคลอ ปาริฉัตรก็น้ำตาคลอ อินสุดๆ
"ผมได้ยินแล้ว...ผมได้ยิน...ผมก็รักคุณ"
ทั้ง 2มองหน้ากันซึ้งสุดๆ อินไปทั้งกองถ่าย ลีจองกุ๊กมองเหว๋อ กรรัมภาถึงกับจิกมือ
ซองซูเดินเข้ามายืนมอง แล้วเบ้ปาก
"โธ่เอ้ย...แสดงไม่เห็นได้เรื่อง"
กรรัมภากลับชม
"ว้าว...ฟินมาก"
และแล้วปาร์คจุนจีก็ค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปจะจูบเป้ย กรรัมภาอ้าปากค้างตาเหลือก
"ถามจริง! จะๆๆ จูบจริงเหรอเนี่ยะ"
ขณะนั้นเอง เสียงของปาร์คจุนจีดังออกจากมอนิเตอร์
"เย้ย..ผี"
ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว ซองซูขำก๊าก
"ฮ่ะๆๆฟังดิคุณแก้ม วันก่อนหูแว่วเสียงผี วันนี้อาการหนัก ถึงกับเห็นผีเลย ขำว่ะ"
ซองซูยืนหน้าเสียไป
"ไม่เห็นขำเลย รีบเข้าไปดูจุนจีเถอะค่ะ คุณจองกุ๊ก"
"เอ่อ...ขอโทษกั๊บผู้กำกับ เดี๋ยวผมไปคุยกับจุนจีให้เอง"
กรรัมภากับลีจองกุ๊กรีบเดินเข้าไปหาปาร์จุนจียืนตกใจมองปาริฉัตรอยู่

ปาริฉัตรหลับตาพริ้มรอรับจูบจากปาร์คจุนจี พลางแอบคิดฟินในใจ
"ฮี่ๆๆในที่สุดฉันก็สมหวัง ได้จูบกับปาร์คจุนจี ผู้หญิงทั้งโลกต้องอิจฉาฉัน"
ปาร์คจุนจีตกใจตาค้าง หน้าซีด เมื่อเห็นโกลเดนเบบี๋กำลังขี่หลังปาริฉัตรพลางแลบลิ้นปลิ้นตาใส่
"ห่ะ!"
"ล่อแล่ๆ เคยเห็นไหมผีเด็กน่ะ ...ล่อแล่ๆ"
ว่าแล้วโกลเดนเบบี๋ก็หายตัวเกาะหน้าเกาะหลังปาริฉัตรไปมา

ขณะที่ผู้กำกับและทีมงานต่างรอให้ปาร์จุนจีจูบ
"อ้าวเฮ้ย...ทำไมไม่จูบสักที ทำไมทำหน้าอย่างงั้นเล่า ยังกับเห็นผี คัท! ... เป็นอะไรไปจุนจี เมื่อกี้อารมณ์เป๊ะแล้ว ทำไมไม่เล่นต่อ"
ผู้กำกับเซ็ง จับขมับพยายามนับ1-100 ทีมงานต้องเอาบทพัดๆให้อารมณ์เย็น
ปาริฉัตรลืมตาขึ้นอย่างอารมณ์เสีย
"นั่นซิจุนจี ทำไมไม่จูบล่ะคะ เป้ยหลับตารอตั้งนาน"
"ผมๆ...ผมเห็นผีเด็ก"

ขณะที่ปาริฉัตรกำลังอามรณ์เสียใส่ปาร์คจุนจีที่ยืนมองเธอเหมือนเห็นผี
"คุณเป็นอะไรของคุณจุนจี นี่มันกลางวันแสกๆนะ ผีที่ไหนกัน ไม่มีหรอก"
"มีซิครับ ตอนนี้มัน...มันกำลังเกาะหลังคุณอยู่"
ปาริฉัตรตกใจ ปัดหลัง
"อ๊ายๆ คุณจะบ้าหรือไง ฉันกลัวนะ อย่ามาพูดอย่างงี้
"จุนจี...นายพูดจริงๆเหรอ นายเห็นผี" ลีจองกุ๊กถาม
"โธ่เอ้ย ฉันจะโกหกทำไม เนี่ยะ...ตอนนี้มันกำลังแล่บลิ้นปลิ้นตาอยู่บนหลังคุณเป้ย แล้วพูดว่า ล่อแล่ๆๆ"
โกลเดนเบบี๋
"ล่อแล่ๆ"
"อ๊ายๆ...บอกว่าอย่าพูด ฉันกลัว"
"มา...แก้มดูเอง"
กรรัมภาถอดถุงมือจับไปที่บ่าปาร์คจุนจี แล้วเธอก็เห็นภาพอย่างที่จุนจีเห็น โกลเดนเบบี๋กำลังขี่หลังปาริฉัตรแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกจุนจีอยู่
"โกลเด้น หยุดเดี๋ยวนี้นะ"
"อึ๋ย!พี่แก้ม"
ปาร์คจุนจีหันขวับมามองกรรัมภาทันที
"ห่ะ...ผีเด็กนี่รู้จักคุณด้วยเหรอ"
"รู้จักดีเลยล่ะ"
"รู้จักดี"
ขณะที่ปาริฉัตรงง
"นี่พวกคุณคุยเรื่องผีอะไรกัน บ้าไปแล้ว"
"เอ่อ...งั้นขอตัวนะคะ โกลเดนตามพี่มาเดี๋ยวนี้!"
"จ้ะ"
กรรัมภาหันเดินไป โกลเดนเบบี๋ก็หายตัวตามไปด้วย ปาร์คจุนจีสะดุ้ง
"อะไรกัน...เป้ยไม่ยอมๆ ผู้กำกับถ่ายใหม่เลยค่ะ เร็วๆ"

กรรัมภาเดินห่างจากบริเวณกองถ่ายออกมาหยุดยืนเท้าสะเอวเรียก
"ออกมาเดี๋ยวนี้เลยแม่ตัวดี หน๋อย!เดี๋ยวนี้แอบทำลับๆล่อๆ มีให้คนอื่นเห็นตัว แต่อำพรางไม่ให้พี่เห็นตัว ทำไมทำอย่างงี้ห่ะ"
โกลเดนเบบี๋ค่อยๆโผล่ออกมา
"หนูขอโทษเจ๊"
"ไม่ต้องเลย บอกมาซะดีๆ อยู่ๆโผล่มากองถ่ายได้ไง"
"เอ๊า...เหตุผลง่ายๆมาก หนูอยากเจอดารา"
"อยากเจอดาราแล้วไปแกล้งคุณจุนจีทำไม รู้ไหมว่าถ้าคุณจุนจีเค้าแสดงไม่ได้ กองถ่ายก็จะป่วนไปหมด แล้วชื่อเสียงของคุณจุนจีเค้าจะเสียหาย"
"แหมพี่แก้ม หนูไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย แค่ล้อเล่น พี่อย่าทำหน้ายับอย่างงั้นซี เดี๋ยวตีนกาขึ้น ไม่สวยน้า"
"ไม่ต้องพาหลงประเด็น ห้ามไปก่อกวนคุณจุนจีเค้าอีกนะ ไม่งั้นพี่จะบอกยัยรสให้มา
พาตัวไปลงหม้อ ไม่ให้ออกมาซ่าสักชาตินึง"
"โอ๊ย...หนูผิดไปแล้ว อย่าทำอย่างงั้นเลยพี่แก้มคนสวยแต่...อย่าบอกนะว่า เมื่อกี้พี่แก้ม ไม่ดีใจที่หนูออกมาหลอกคุณจุนจี คุณจุนจีเค้ากำลังจะจูบแม่เป้ยอยู่เชียว"
คำพูดของโกลเดนเบบี๋แทงใจดำกรรัมภา
"เอาล่ะๆ วันนี้จะปล่อยไปก่อน แต่ต่อไปอย่าทำอีกนะ ไม่งั้นล่ะก็...เจอเจ๊แซ่บเอาแน่"
" รู้แล้วน่าว่าพี่แก้มหวงอ๊อปป้ารูปหล่อไว้แต๊ะอั๋งคนเดียว"
"เดี๋ยวเหอะ"

โกลเดนเบบี๋รีบหนีหายตัวไป

กรรัมภาหันไป เห็นปาร์คจุนจียืนมอง

"ผีเด็กนั่นมาจากไหน"
"เอ่อ...อย่าตกใจนะคะ คือว่า...ผีเด็กนั่นไม่ได้มาจากไหนหรอกค่ะ แต่เป็นวิญญาณเด็ก
ที่เพื่อนฉันเลี้ยงเอาไว้เองค่ะ"
"ห่ะ ว่าไงนะ เลี้ยงเอาไว้"
"ใช่ ที่แกมานี่ แค่อยากมาเที่ยวกองถ่าย"
ปาร์คจุนจีหน้าเหว๋อ พูดอะไรไม่ออก
กรรัมภาขำ
"คุณยังกลัวอยู่อีกเหรอ"
"กลัวซิ กลัวมากด้วย"
ปาร์คจุนจีแกล้งทำเป็นกลัวเข้ามาจับมือกรรัมภาไว้ เธอทำอะไรไม่ถูก
"เอ่อ..แต่ตอนนี้แกไปแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้วค่ะ"
ปาร์คจุนจีมองหน้ากรรัมภา ลีจองกุ๊กดันเข้ามาขัดจังหวะ
"จุนจี!"
กรรัมภารีบดึงมือกลับ
"รู้แล้วน่า กำลังจะไป พักถ่ายสักสองสามนาทีก็ไม่ได้"
"ฉันไม่ได้มาตามนายกลับไปถ่าย แต่มีคนมาหานาย...เจ้าเดิม...คนของคุณอติเทพ"
ปาร์คจุนจีทำหน้าสุดเซ็ง หันเดินฉับออกไปทันที
"เฮ้ย จุนจี ใจเย็นๆนะ"
ลีจองกุ๊กกับกรรัมภารีบตามไป ปาร์คจุนจีเดินเร็วหน้าเข้มเข้ามา เห็นอรวีนั่งรออยู่พร้อมซองเอกสารก็ใส่ไม่ยั้ง
กรรัมภากับลีจองกุ๊กรีบตามหลังมา ...
"ที่ผมพูดไปทั้งหมด ไม่เข้าใจกันหรือไง ยังจะมาหาผมอีก! ผมได้หลักฐานแน่นอนเมื่อไหร่ ผมแจ้งตำรวจจับพวกคุณแน่"
อรวีรีบลุกขึ้นยืนอย่างไม่มั่นคง แววตาดูกลัวๆปาร์คจุนจี ลีจองกุ๊กกับกรรัมภาต้องรีบเบรกๆเขาไว้
"อย่าดุซิจุนจี ดูหน้าคุณอรวีก็รู้ว่าเธอคงไม่อยากมาหรอก"
"เยๆ(ใช่) เธอคงถูกบังคับให้มา"
แต่ปาร์คจุนจีไม่คิดอย่างงั้น เขาฉลาดพอที่จะไม่ไว้ใจ
"รู้ได้ไง คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจหรอก บางคนอาจจะพร้อมที่จะฆ่าคนทั้งๆที่ร้องไห้อยู่ก็ได้"
"ถะ..ถ้าคุณไม่อยากเห็นฉันมาเกะกะคุณอีก ก็ช่วยเซ็นเอกสารยอมรับพินัยกรรมอีกใบ
ให้ครบซีคะ ฉันสัญญาค่ะ ว่าจะไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีกเลย นะคะ...ช่วยเซ็นให้ครบซะที"
อรวีเดินเข้ามายื่นเอกสารให้ ปาร์คจุนจีมองเอกสารหน้าเย็นชา อรวีมองลุ้นๆ
ปาร์คจุนจีชี้ปากตัวเอง
"ผม...ไม่...เซ็น!"
อรวีร้องไห้ออกมาพร้อมระบายความอัดอั้น
"ทำไมคุณถึงดื้ออย่างงี้! รู้มั๊ยว่าฉันอึดอัดใจแค่ไหนที่ต้องมาเจอหน้าให้คุณด่าคุณไล่
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า"
"แน่ล่ะ คูณต้องอึดอัดใจเพราะทำผิดเอาไว้ พวกคุณรวมหัวกันฆ่าคุณย่าของผม"
ปาร์คจุนจีพูดพลางจับแขนอรวีมองหน้าจับผิด ทำเอาอรวีร้องไห้กลัวลนลาน
"ห่ะ! อย่ามาใส่ร้ายฉันนะ ฉันไม่ได้ทำ"
"หึ ถ้าไม่ได้ทำ คุณต้องรู้เห็นแน่ๆ เพราะคุณเป็นคนเอากุญแจเซฟของคุณย่ามาให้ผม
แต่พอโพ้มไปเปิด สร้อยเพชรของคุณย่าผมก็หายไปแล้ว มีแต่สร้อยปลอมวางไว้แทน
คุณสารภาพมาซะดีๆ ใครเป็นคนไปเปิดตู้เซฟ แล้วขโมยสร้อยเพชรคุณย่าผมไป
คุณ หรือว่าใคร บอกมา"
"ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ฉันไม่ได้เป็นคนเปิด ฉันไม่รู้เรื่อง"
"โพ้มไม่เชื่อคุณ บอกมา นายอติเทพหรือว่าใคร บอกมา"
"ฉันเจ็บนะ...ปล่อยฉัน ฉันไม่รู้"
อรวีดิ้นร้องไห้อย่างรุนแรง ลีจองกุ๊กกับกรรัมภาเห็นท่าไม่ดีต้องเข้าช่วยดึงปาร์คจุนจี
"พอเถอะจุนจี...ที่นี่นักข่าวเต็มไปหมดเลย โวยวายเสียงดังแบบนี้ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่"
แต่ปาร์คจุนจียังไม่ยอมปล่อยแขนอรวีง่ายๆ กรรัมภาต้องเข้ามาช่วยแกะมือเขาออกจากแขนอรวี
"ปล่อยคุณอรวีเถอะจุนจี...ปล่อย โอ๊ะ"
ทันทีที่กรรัมภาจับตัวอรวีดึงออกมาจากปาร์คจุนจีได้ ก็เห็นภาพ เนื่องจากเธอถอดถุงมืออยู่

ในญาณสัมผัสเป็นภาพขาวดำในอดีต ... บ้านไม้หลังเก่าๆ เห็นเด็กหญิงคนหนึ่งสวมชุดนักเรียนเก่าๆนั่งร้องไห้อยู่ที่แคร่ไม้เก่าๆหน้าบ้าน ใบหน้าของเด็กหญิงผมยาวปล่อยรุงรัง ใบหน้าขาวซีด หน้าตาเหมือนโกลเดนเบบี๋ราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน กำลังสะอื้นจนตัวโยน น้ำตาไหลอาบแก้ม
"แม่จ๋า…ฮือๆๆ"

กรรัมภายืนนิ่งอึ้ง...ขณะที่อรวีก้มลงเก็บเอกสารแล้ววิ่งออกไป โดยมีเสียงของลีจองกุ๊กตามขอโทษ
"ผมต้องขอโทษแทนจุนจีด้วยนะครับ ขอโทษด้วยจริงๆ"
"นายไปขอโทษแทนฉันทำไมจองกุ๊ก ผู้หญิงคนนั้นเป็นพวกเดียวกับคนที่ฆ่าคุณย่าฉันนะ"
"ไม่อ้าว...ม่ายพูด...เราไม่มีหลักฐานไปกล่าวหาเค้านะ"
"ไม่มีหลักฐาน ฉันก็เดาออก ถึงฉันจะเป็นนักร้อง ฉันไม่ได้มีสเต็ปอย่างเดียวนะ ฉันก็ไม่มีสมองด้วย"
"อูย! เจ็บว่ะ "
ปาร์คจุนจีถอนใจ หันมาเห็นกรรัมภายังยืนนิ่งตาค้างอยู่ ก็ตกใจเป็นห่วงรีบเข้ามาจับไหล่เรียก
"เป็นอะไรไปคุณแก้ม"
กรรัมภาสะดุ้ง กระพริบตาหลุดจากภาพที่เห็น
"เมื่อกี้ตอนที่จับตัวคุณอรวี ฉันเห็นภาพเด็กผู้หญิงคนนึงหน้าเหมือนผีเด็ก เอ้ย..โกลเดนเบบี๋
ที่คุณเห็นขี่หลังคุณเป้ยเมื่อกี้ยังกับเป็นคนๆเดียวกันเลย"
"อ้าว แล้วไงครับ วิญญาณผีเด็กที่เพื่อนคุณเลี้ยงไว้ มาเกี่ยวอะไรกับเลขาทนายของคุณย่าผมล่ะ"

บริษัทซิกส์เซนส์ สุคนธรสบอก
"มันคนละเรื่องเดียวกันแล้วยัยสาวกกิมจิ โกลเด้นเบบี้ของฉันจะไปเกี่ยวข้องกับคุณอรวี ได้ยังไงกัน"
สุคนธรสพูดพลางหันไปเห็นปาร์คจุนจีนั่งมองหน้าเข้มอยู่ข้างกรรัมภาก็ยิ้มๆ ญาณินช่วยแก้เก้อ
"แฮ่...กิมจิแซ่บดีนะคะ ฉันชอบ"
ทำเอากรรณา เนตรสิตางศุ์ หมอวรวรรธ ก้องฟ้าที่อยู่ด้วยพากันขำ
"แต่ดูท่าทางตอนนี้คุณปาร์คจุนจิจะเบื่อกิมจิ หันมาชอบกินต้มยำแก้มแล้ว"
กรรัมภาปราม
"เจ้าก๊อง"
"แหมๆๆ ก๊อง..อย่าพูดผิดๆสิ น้องพี่ น้องตั้งใจจะพูดว่า.. ต้มยำกุ้ง! ใช้มะๆ"
"ช่ายคร้าบ..ต้มยำแก้มกุ้ง"
กรรัมภาแยกเขี้ยว จิกกรงเล็บใส่ก้องฟ้า ญาณิน เนตรสิตางศุ์ สุคนธรสหัวเราะขำ แต่ปาร์คจุนจีเก็บอาการเฉย ไม่ยอมเสียฟอร์ม
"โพ้มอยากรู้เรื่องคุณอรวีเลขาทนายกับเด็กผีที่คูณเลี้ยงไว้น่ะครับ ตกลงมันเกี่ยวกับการ
ตายของคุณย่าผมรึปล่าว"
สาวๆหยุดหัวเราะแทบไม่ทัน หมอวรวรรธขำ เนตรสิตางศุ์หันมาตี
"เอ่อ...ยัยโกลเดนเบบี๋ของฉันไม่เกี่ยวแน่ๆค่ะ"
"แต่ฉันเห็นจริงๆนะยัยรส ภาพชัดเจนมาก เด็กคนนั้นหน้าเหมือนโกลเดนเบบี๋ยังกับแกะ"
เนตรสิตางศุ์บอก
"ภาพที่ยัยแก้มเห็น ก็ไม่เคยพลาดเลยสักครั้งนะรส บางทีเด็กคนนั้นอาจจะเป็นโกลเดน ก็ได้"
"ไม่ใช่หรอก อย่างยัยโกลเดนทะโมนเนี่ยะนะ มีแต่แลบลิ้นปลิ้นตาแกล้งคนไปวันๆ จะมาร้องห่มร้องไห้ชีวิตรันทดกับเค้าได้ยังไง"
"ถ้าอย่างงั้น...เด็กผู้หญิงคนนั้นที่คุณแก้มเห็นจากคุณอรวีเป็นใครล่ะครับ"
ทุกคนเงียบกริบ หมอวรวรรธคิดอะไรได้ ลุกขึ้นพูด
"เอายังงี้ครับ เรามาสืบเรื่องนี้จากศพกัน"
เนตรสิตางศุ์ถาม
"ศพใครคะหมอ"
"ก็ศพของโกลเด้นเบบี๋น่ะซีครับ ผมก็อยากจะรู้มานานแล้วว่า กำเนิดของโกลเด้นเบบี๋เป็นยังไง"
"ศพของยัยกุมาริกา...ไม่มีแล้วค่ะ หลวงปู่ทำพิธีไปแล้ว"
"แต่ปกติ...พวกกุมารทองพวกนี้ เค้าต้องมีศพเด็กก่อนไม่ใช่เหรอ" ญาณินบอก
ก้องฟ้าสยอง
"ช่าย...ศพเด็กที่แท้ง.ตายก่อนกำหนดแบบที่วัดนั้น ที่มีคนไปเจอศพเด็ก จากคลีนิคทำแท้งเป็นพัน"
สุคนธรสคิดย้อนไป

"ไม่ใช่..เพราะโกลเด้นเบบี๋ ไม่ใช่กุมารทองแบบเก่าๆแบบนั้น กำเนิดโกลเด้นเบบี๋ มันนานมากแล้ว ตอนนั้นฉันยังเด็กๆ เพิ่งเรียนวิชากับพระอาจารย์ปู่ พระอาจารย์เล่า ให้ฟังว่ากุมาริกาตัวนี้เป็นวิญญาณของเด็กที่ตายหลังจากคลอดออกมาไม่นาน"

ราว 25 ปีที่ผ่านมา เวลาเช้าตรู่ ที่วัดพุทธาวนาราม แม่วัยสาวแต่ดูยากจนและโทรมหมดเรี่ยวแรงเพราะเพิ่งคลอดลูก พนมมือ หน้าศพเด็กแรกเกิดห่อผ้าขนหนูเก่าๆที่วางอยู่
 
พระอาจารย์ปู่เดินอุ้มบาตรฟังอยู่
"ลูกสาวของอิฉันมันบุญน้อยค่ะหลวงพ่อ เกิดออกมาดูโลกไม่ทันได้ลืมตา ก็ตายเสียแล้ว
อิฉันมันจน อยากจะทำศพให้ลูกก็ไม่มีเงิน จะฝังศพมันทิ้งไว้หลังบ้านเหมือนหมูเหมือนหมา ก็สงสารมันเหลือเกิน หลวงพ่อช่วยเมตตามันด้วยเถอะเจ้าค่ะ"
หลวงพ่อหันไปส่งบาตรให้เด็กวัดถือไว้ แล้วหันมา เปิดผ้าที่คลุมหน้าเด็กออก หน้าโกลเดนเบบี๋ตอนเด็กช่างน่ารัก พระอาจารย์หลับตาลงเข้าสู่การเพ่งกรรมฐานอย่างเกจิผู้แก่กล้าวิชา เพียงครู่เดียวก็รู้เห็น ลืมตาขึ้น
"ไม่ต้องห่วงนะโยม อาตมาจะช่วยทำพิธีจัดการศพลูกของโยมให้เอง"
"กราบขอบพระคุณค่ะเจ้าค่ะ เป็นบุญของลูกอิฉันเหลือเกิน สาธุ"
เวลากลางคืน ศพของโกลเดนเบบี๋ถูกห่อไว้ด้วยผ้าขาวสะอาด วางต่อหน้าโต๊ะหมู่บูชาโดยมีการโยง สายสิญจน์ 4 มุมเล็กๆรอบศพ พร้อมดอกไม้ธูปเทียน และรูปกุมาริกาเนื้อเรซินในพานทอง พระอาจารย์นั่งพนมมือถือปลายสายสิญจน์สวดคาถาอัญเชิญวิญญาณ
สุคนธรสเล่าว่า
"หลังพระอาจารย์ปู่เพ่งกรรมฐานแล้วเห็นว่า วิญญาณของเด็กคนนี้ยังไม่ถึงเวลาไปเกิด จึงได้ทำพิธีอัญเชิญวิญญาณดวงนี้มาสถิตอยู่ในรูปหล่อกุมารทองเนื้อเรซิน กุมาริกาตนนี้ไม่เหมือนกุมารทองตนอื่นๆ ที่มักมาจากเดรัจฉานวิชา นำเด็กที่ตายท้องกลมมาทำพิธีย่างให้แห้งแล้วลงรักปิดทอง ปลุกเสกตามตำรา แต่สำหรับเจ้ากุมาริกา หรือยัยโกลเดนของพวกเรานั้น เกิดจากไสย์ขาว"
พระอาจารย์สวดทำพิธีอัญเชิญวิญญาณอยู่ครู่ใหญ่...ก็เห็นวิญญาณดวงเล็กๆเป็นเหมือนดวงดาวเจิดจ้าลอยออกมาจากห่อผ้าขาว แล้วลอยเข้าไปที่รูปหล่อกุมาริกา...ทันทีที่วิญญาณหายเข้าไป...รูปหล่อก็ค่อยๆ ขยับแรงขึ้นๆ ก่อนรูปหล่อจะตีลังกากลับหัวเท้าชี้ฟ้าอย่างขี้เล่น พร้อมเสียงหัวเราะ ทักทายของเด็กๆดังก้องขึ้น
"ฮิๆๆๆ"
พระอาจารย์ค่อยๆลืมตาขึ้นมองไปที่รูปหล่อ ใบหน้าฉาบยิ้ม

ทุกคนทึ่งกับสิ่งที่สุคนธรสเล่า
"นี่ก็แสดงว่า ก่อนที่โกลเดนเบบี๋จะตาย ก็ต้องมีพ่อแม่พี่น้อง มีครอบครัวเหมือนกับพวกเราทุกคน" วรวรรธว่า
"นั่นสิโกลเดนต้องมีครอบครัว แต่ตอนที่ฉันบอกหลวงลุงสุวิทย์ว่า จะชวนยัยโกลเด้นมาช่วยงาน หลวงลุงก็ไม่ได้เหล่ารายละเอียดอะไรว่า พ่อแม่ยัยโกลเดนเป็นใคร ครอบครัวอยู่ที่ไหน" สุคนธรสบอก
"ทำไมไม่ลองถามเจ้าตัวดูเองล่ะ" เนตรสิตางศุ์ว่า
ญาณินขานรับ
"เออใช่! เรียกยัยซ่านั่นมาถามให้รู้เรื่องดิ คิดถึงอยู่เหมือนกัน พักนี้ไม่ค่อยมาให้เห็นหน้า เห็นตาเลย"
"โอเค...ตามคำเรียกร้อง"
ว่าแล้วสุคนธรสก็เดินไปจุดธูปที่หน้ารูปหล่อของกุมาริกา ปาร์คจุนจีลุกพรวดทันที
"มว๋อ! (อะไรนะ!) นี่พวกคูณจะเรียกเด็กผีนั่นมาเหรอ"
วรวรรธบอก
"ไม่ต้องกลัวครับคุณจุนจี แรกๆผมก็ขนหัวตั้งเหมือนกับคุณนั่นแหละ สักพักก็ชิน"
กรรัมภาเตือน
"อย่าไปเรียกว่าผีเด็กเชียวนะจุนจี เดี๋ยวจะโกรธ แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกเอาอีก"
ก้องฟ้าบอก
"เค้าชอบให้เรียกว่าโกลเด้นเบบี๋ครับฮยอง..ตอนผมมาใหม่ๆ ชอบมาแกล้งผมบ่อย ดูเหมือนเด็กๆ ธรรมดาๆ เลยครับ ดูไม่ออกหรอก ว่าผีหรือคน"
ปาร์คจุนจีค่อยโล่ง หันไปมองเห็นกรรัมภาปิดปากขำเขาอยู่ ปาร์คจุนจีเลยนั่งลงกระแทกไหล่
"ขำอะไร"
กรรัมภาเลยกระแทกไหล่คืน
"ขำคนกลัวผี"
"เดี๋ยวจะโดน"
"โดนอะไร"
ทั้ง 2 นั่งกระแทกไหล่หยอกเย้ากันไปมา
ก้องฟ้าบอก
"สงสัยจะโดนจูบ"
ทั้ง 2 รีบหยุดทำไม่รู้ไม่ชี้ กรรัมภาจิกก้องฟ้าอีก
ขณะที่สุคนธรสพนมมือท่องคาถาเรียกหาโกลเดนเบบี๋อยู่นานแต่โกลเด้นก็ไม่มา เลยบอกลาปักธูป
"ไม่มา...เงียบสนิท" เนตรสิตางศุ์ว่า
"ไม่มีสัญญาณตอบรับ...จากหมายเลขที่ท่านเรียก" ญาณินบอก
"โกลเดนหายไปไหนเนี่ยะ"

ภายในคอนโดอรวี โกลเดนเบบี๋ยืนโกรธที่อติเทพกำลังมองขู่อรวี
"เค้าไม่ยอมเซ็นต์ แล้วยังถามเรื่องสร้อยเพชรในตู้เซฟที่หายไปด้วยสิคะ"
"มั่วแล้วๆๆ! หายที่ไหนกัน สร้อยมันก็ยังอยู่ในตู้เซฟนั่นแหละ"
"เค้าบอกว่ามันเป็นของปลอมค่ะ"
คราวนี้อติเทพตกใจหน้าซีดเลย
"ห่ะ! มันรู้แล้วเหรอว่าเป็นสร้อยปลอม"
"นี่แปลว่า คุณเป็นคนไปแอบเปิดเซฟแล้วสับเปลี่ยนสร้อยเพชรเหรอคะ คุณทำอย่างงั้น ทำไม" " ของพวกนี้มันตรวจสอบง่ายจะตายไป ถ้าเค้าแจ้งตำรวจ คุณต้องแย่แน่ๆ"
"โอ๊ย...หนวกหูโว้ย จะไปไหนก็ไป อยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เกะกะน่ารำคาญ ไปให้พ้นหน้าฉัน ไป"
"แต่นี่ห้องฉันนะ"
"แล้วไง คอนโดเธอแล้วทำไม...ไป๊"
"ว้าย!"
อติเทพผลักอรวีกระเด็นไปไหลกระแทกผนัง เธอร้องไห้ลุกขึ้นคว้ากระเป๋าวิ่งออกไปจากห้อง อติเทพยังฉุนเฉียวเตะโน่นปัดนี่อยู่ในห้อง โกลเดนเบบี๋ยืนโกรธ จนหน้าแดงเถือก
"ไอ้ผู้ชายเลว รังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้ หนูเกลียด"
สิ้นเสียงโกลเดนเบบี๋ ...ข้าวของทุกสิ่งทุกอย่างในห้องก็พุ่งเข้าใส่อติเทพจนร้องลั่นหนีหัวซุกหัวซุน
"อ๊าก"
โกลเดนเบบี๋เดินทะลุผนังออกไปจากห้อง อติเทพวิ่งไปหลบอยู่หลังโซฟา ก่อนจะค่อยๆโผล่หน้าขึ้นมามองอย่างมึนงง
"เมื่อกี้เกิดแผ่นดินไหวหรือไงวะเนี่ยะ"

อรวีร้องไห้ออกมา เปิดประตูขึ้นไปนั่งบนรถ แล้วขับเอี๊ยดออกไป เธอขับวนมาตามทางในลานจอดรถอย่างเร็ว เสียงเอี๊ยดอ๊าดไปตลอด โกลเดนเบบี๋โผล่ขึ้นมานั่งที่เบาะหลัง
"พี่จะทำอะไร! ขับรถเร็วๆแบบนี้มันอันตรายนะ"
อรวีได้ยินเสียง แต่ยังไม่เห็นตัว
"ห่ะ ใครพูด"
"หนูรู้ว่าพี่กำลังเสียใจ แต่ถ้าพี่จะทำอะไรตัวเอง หนูไม่ยอมเด็ดขาด"
"ใคร...ใครพูดน่ะ"
"พี่คาดเข็มขัดซะก่อนเถอะนะ แล้วหนูจะบอก"
อรวีเบรกรถเอี๊ยด... โกลเดนเบบี๋หันไปคาดเข็มขัดให้ อรวีก้มลงมองเห็นเข็มขัดคาดเอง
"ห่ะ อะไรกันเนี่ยะ"
"ไม่ต้องตกใจ หนูเป็นคนคาดเข็มขัดให้พี่เอง"
โกลเดนเบบี๋ยอมโผล่กายให้เห็น

"แอร๊ย..."
 
อ่านต่อหน้า 2

สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 12 (ต่อ)

ในรีสอร์ท...ติณห์แต่ตัวหล่อเป็นพิเศษก้าวเข้ามาแอบหยุดมองไปที่เบญจา ที่กำลังช่วยมิรันตี และสมชาติ ดูคนงานจัดสถานที่เป็นซุ้มจัดเลี้ยง เบญจาทำงานไป พลางยกมือดูแหวนที่ติณห์ให้เป็นระยะ ตั้งใจให้มิรันตีเห็น แต่สมชาติเห็นก่อน

“แหวนใหม่เหรอครับ เห็นหนูเบญจาดูปลาบปลื้มตลอดเวลา”
“แหวนพี่ติณห์ให้เบญจาเมื่อวานน่ะค่ะ”
สมชาติตาโต
“หา คุณติณห์ให้แหวนคุณเบญจาเหรอครับ”
มิรันตีหันขวับมามองทันที
“โอ้มายกู๊ดเนส...นี่ติณห์ขอหนูแต่งงานโดยไม่บอกฉันก่อนได้ยังไงกันหะ”
“เปล่าค่ะ พี่ติณห์ยังไม่ได้ขอหนูแต่งงาน แต่เป็นแหวนที่พี่ติณห์สวมจับจองหนูเอาไว้เป็นรักเดียวของพี่ติณห์น่ะค่ะคุณแม่”
แต่มิรันตีไม่ได้คิดในแง่ดี กลับสงสัย
“ มีอย่างนี้ด้วยเหรอ อยู่ๆก็เอาแหวนมาให้แต่ไม่ขอแต่งงาน มันจะมาไม้ไหนหรือเปล่า”
คำพูดของมิรันตี ทำให้เบญจาเริ่มจะฉุกคิด ติณห์เซ็งเลย ต้องรีบเข้ามาโอบเอวเบญจาก่อนที่จะเสียแผน
“เหนื่อยมั้ยจ๊ะเบญจา”
“อุ้ยพี่ติณห์อ่ะ ตกใจหมดเลย เอ่อ...อย่าซีคะ ต่อหน้าผู้ใหญ่”
เบญจาทำเป็นปัดมือเขาออกจากเอว
“นั่นซินะ จะทำอาไรต้องเกรงใจผู้ใหญ่ อย่าเห็นผู้ใหญ่เป็นหัวหลักหัว...”
ติณห์มองไปที่สมชาติ เขารีบยกมือห้ามไว้
“หยู๊ด ไม่ต้องพูดต่อนะครับคุณติณห์ เดี๋ยวพูดผิด แฮ่ๆ จะทำอะไรก็ตามสบายเถอะครับ”
“มัมใช้งานเบญจาหนักเกินไปแล้ว ดูหน้าน้องซีครับ เหนื่อยมากเลย” เขาทำเป็นซับๆเหงื่อให้เธอ “มัมควรให้ดาร์ลิ่งค์โพ้มพักได้แล้ว”
มิรันตีหน้าเหวอ
“อ้าว...ลูกคนนี้ ห่วงแฟน แล้วมาจิกแม่ จะพาไปประคบประหงมที่ไหนก็ไปเถอะไป๊”
“แท้งกิ้วโซมัชม่ามี้ คัมม่อนเบบี้”
ติณห์รีบจูงมือเบญจาไป มิรันตียืนมองอย่างพอใจ
“เบญจานี่มันเสน่ห์แรงจริงๆ แป๊บเดียวเท่านั้น ทำเอาตาติณห์ติดหนึบไม่ยอมให้อยู่ห่างเลย”
สมชาติถอนใจ
“เฮ่อ เห็นอย่างงี้แล้ว ก็อดสงสารคุณญาณินไม่ได้นะครับ”
“Stop” มิรันตีเสียงดัง
สมชาติสะดุ้ง
“ห้ามพูดถึงนังแม่มดนั่นให้ฉันได้ยินอีก ที่นี่เป็นเขตปลอดพวกบ้าไสยศาสตร์ เข้าใจมั้ยคุณ Lawyer” มิรันตีเสียงสูงปรี๊ด
“เยส...มาดาม”
สมชาติหน้าแหยๆ มิรันตีคิดกระหยิ่ม
“นังญาณิน...ถ้าฉันยังไม่ตาย อย่าหวังเลยว่าแกจะได้รักกับลูกชายฉัน”

บ้านกำนันพงษ์ยามบ่าย...รถญาณินมาจอดหน้าบ้าน อรวรรณที่นั่งอยู่ในรถสงสัย
“คุณหนูคะ นี่มันบ้านกำนันพงษ์นี่คะ”
“คะ...กำนันพงษ์เขาอนุญาตให้เราใช้บ้านเขาเป็นเซฟเฮ้าส์ไปพลางๆก่อนค่ะ แล้วหนูก็นัดเขาไว้ที่นี่ด้วยค่ะ”
อรวรรณหน้าตื่น
“ห๊า...แต่กำนันพงษ์อยู่ในคุกไม่ใช่เหรอคะ”
“ใช่ค่ะ...เอาน่าป้าออ อย่าลืมสิคะ เขาก็เคยเรียนวิชาอาคมขั้นสูงมา ถึงเลิกเรื่องไสยศาสตร์ไปแล้ว แต่ความสามารถในการปฏิบัติจิตก็ยังมีอยู่ เหมือนคนที่เคยขี่จักรยาน หรือว่ายน้ำนั่นแหละค่ะ เมื่อขี่ หรือว่ายเป็นแล้ว ก็จะทำได้ตลอดไป”
“ยังไงนะคะ” อรวรรณยังมึนๆงงๆอยู่
คนดูแลบ้านวิ่งมาที่ประตูบ้าน
“คุณญาณินใช่ไหมครับ”
ญาณินเปิดหน้าต่าง
“ค่ะ”
“เชิญครับ”
คนดูแลบ้านเปิดประตูให้รถญาณินเข้าไป

ญาณินและอรวรรณเดินเข้ามาภายในบ้าน หญิงสาวรีบหาที่เหมาะๆ นิ่ง แล้วนั่งลงขัดสมาธิ
“โธ่คุณหนู...เพิ่งมาถึงก็ลุยเลย ไม่พักไม่ผ่อนเลยหรือคะ” อรวรรณมองอย่างห่วงใย
“ป้าไม่ต้องห่วงญินหรอกค่ะ เราหาคำตอบได้เร็วเท่าไหร่ คุณติณห์ คุณหลวง เพื่อนๆณิน รวมทั้งป้าก็จะพ้นภัยจากเบญจาได้เร็วเท่านั้น”
“เฮ่อ...ป้ารู้ค่ะ”
“แล้วณินก็มั่นใจว่าถึงเราจะออกมาจากที่นั่นแล้ว แต่เบญจาก็ไม่มีทางเอาพวกเราไว้”
อรวรรณชะงักใจหายวาบ
“แล้วมันต้องการอะไรจากเรากันแน่”
“ตัวตนที่แท้จริงของเบญจาเท่านั้น ที่จะตอบคำถามทุกอย่างให้เราได้”
ญาณินหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าออก เข้าสู่สมาธิ
“ระวังตัวนะคะคุณหนู”
ร่างญาณิน เป็นจิตโปร่งใสลุกออกจากร่าง

ติณห์จูงมือเบญจาเดินไปยังต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า ที่ปูผ้าปิคนิคพร้อมอาหารว่างไว้รอเรียบร้อยแล้ว
“ถึงแล้วครับ พิเศษสำหรับเบญจาของพี่ติณห์”
“ว้าว จะชวนมาปิกนิกกันก็ไม่บอก หนูไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย”
“ก็ไม่เห็นต้องเตรียมอะไรเลย แค่เรา 2 คนเตรียมใจมาด้วยกันก็พอแล้ว”
ติณห์พูดพลางทิ้งตัวลงนอนตะแคงเหยียดยาวเอกเขนกที่ผ้าปู พลางตบมือเบาๆไปที่ว่างข้างๆ
“มานั่งข้างๆพี่ซิครับ”
เบญจามองสายตาหยาดเยิ้มของเขาที่มองมาแล้วสะเทิ้น เธอถอดรองเท้านั่งลงข้างๆ ติณห์พลิกตัวนอนหนุนตักหญิงสาวทันที
“อืม...ตักนุ๊มนุ่ม”
เบญจาหัวเราะคิก ตีเขาเบาๆ
“พี่ติณห์อ่ะ เอาเปรียบหนู”
ติณห์เลยคว้ามือเบญจาที่ตีเขามาจูบ
“อย่างนี้...เขาไม่เรียกว่าเอาเปรียบ เขาเรียกว่ารัก”
เบญจายิ่งเคลิ้มไปกันใหญ่ หยิบองุ่นมาป้อนให้
“ปากหวานจัง”
ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่อีกต้นไม่ไกลกันนัก จิตโปร่งใสของญาณินค่อยๆปรากฏขึ้น เดินมาหยุดยืนมองอย่างเศร้าๆ ติณห์กำลังป้อนองุ่นคืนให้เบญจา หัวเราะกันสนุกสนาน เหลือบหันมาเห็นจิตญาณินมองอยู่เขาหุบยิ้ม เห็นสีหน้าญาณินแล้วปวดใจแปลบ ขณะที่เบญจากำลังเคลิ้มไปกับความรักความหวาน ของติณห์ หลับตาพริ้ม
“พี่ติณห์คะ ทำไมเงียบไปล่ะ”
เบญจาจะหันมองตาม ติณห์รีบยกฝ่ามือข้างหนึ่งปิดตาเธอไว้ทันที
“พี่ติณห์ทำอะไรอ่ะ ปิดตาหนูทำไม”
“เอ่อ...อยู่นิ่งๆก่อน พี่มีอะไรจะเซอร์ไพร้ส”
ติณห์รีบโกหก พลางส่งสายตาไปบอกญาณินให้รีบไป

“เซอร์ไพร้สอีกแล้ว เมื่อคืนให้แหวน วันนี้จะให้อะไรหนูอีกค่ะ”

วิญญาณหลวงพิชัยภักดี ปรากฏตัวขึ้นใกล้ๆ จิตของญาณิน

“อยู่นี่เองหนูณิน ฉันก็รอหนูอยู่ตั้งนาน มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้” หลวงพิชัยภักดีพูดขึ้นเบาๆ
“คุณหลวง”
ญาณินหันกลับไปที่ติณห์กับเบญจา หลวงพิชัยภักดี หันไปเห็นแล้วก็อ่อนใจ รีบดึงจิตญาณินไป
“อภิโธ่...จะมองไปใยให้เจ็บหัวใจ แสร้งว่าไม่เห็นจะดีกว่านังหนู เรารีบไปกันเถอะหนูณิน”
ญาณินพยักหน้า มองไปที่ติณห์อีกครั้งก่อนหันเดินไปกับหลวงพิชัยภักดี...หายตัวไป

ติณห์ชะเง้อมองเห็นญาณินที่หายตัวไปกับหลวงพิชัยภักดี
“พี่ติณห์คะ ทำอะไรอยู่คะ” เบญจาถามขึ้น
ติณห์ได้สติรีบคว้าดอกเดซี่ในตะกร้าที่วางตกแต่งอยู่ใกล้ๆมาเหน็บหูให้ตัวเอง แล้วเอามือที่ปิดตาเบญจาออกพลางยิ้มทำโพสต์ท่า
“เซอร์ไพร้ส”
เบญจาหัวเราะคิกชอบใจ
“พี่ติณห์อ่ะ น่ารักมากๆเลยค่ะ”
เบญจาพูดพลางยื่นหน้าไปจุ๊บแก้มติณห์ พอปากเธอสัมผัสกับแก้มเขา ของในตัวของเบญจาทำให้ติณห์ราวกับถูกป้ายยา เกือบเคลิ้มๆไป จนต้องดึงเธอมาโอบกอดไว้ แล้วกระพริบตาเรียกสติตัวเอง รำพึงในใจ
“คุณณิน...รีบหาเร็วๆเข้า ผมจะคุมสติตัวเองไม่ไหวอยู่แล้ว”

จิตญาณินและหลวงพิชัยภักดีหายตัวเข้ามาอยู่ในห้องเบญจา
“ช่วยกันหาเร็วๆค่ะ กระเป๋าใบนั้นของเบญจาอยู่ที่ไหน”
“คราวนี้ต้องหาให้เจอ...ลุย”
ว่าแล้วทั้ง 2 ก็แยกย้ายกัน รีบหาไปทั่วห้อง

มิรันตีกับสมชาติ ดูพนักงานจัดสถานที่กันอยู่
“เรื่องทองแท่งที่อยู่ในธนาคารคืบหน้ายังไงบ้างคุณทนาย” มิรันตีหันไปถาม
“คงไม่เป็นปัญหาอะไรนะครับ คุณติณห์คงจะเซ็นมอบสิทธิให้คุณมิรันตีในเร็ววันนี้ล่ะครับ”
“ยังอยู่ครบใช่ไหม”
“ครบครับ ผมเช็คแล้วครับ”
สมคิดซุ่มมองมิรันตี ที่กำลังเดินถือพัดๆตรวจดูงานอย่างประสงค์ร้าย และครางอย่างโกรธแค้นในคอ...มิรันตีรู้สึกได้ว่าเหมือนมีใครแอบมองหันมองไปที่สวน สมคิดหลบวูบเข้าหลังพุ่มไม้ แต่ตามินรันตีเห็นอะไรแว๊บๆ
“คุณสมชาติ”
“มีอะไรครับคุณมิรันตี”
“ฉันเห็นใครแว๊บๆอยู่ตรงพุ่มไม้ ตรงนั้น”
มิรันตีใช้พัดชี้ไปตรงสวนไม้ดัดที่มีต้นไม้ค่อนข้างหนาแน่น
“แล้วไงครับ”
มิรันตีหงุดหงิด
“จะให้ฉันเดินไปดูเองเหรอ”
“อ๋อ เข้าใจแล้วครับ เป็นหน้าที่ผมต้องเดินไปดู”
“บางทีอาจจะเป็นนังแม่มดญาณินแอบดอดเข้ามาจะมาหาติณห์ก็ได้ ถ้าเจอตัวล่ะก็จับเลยนะ ฉันจะแจ้งความว่ามันจะเข้ามาฆ่าฉัน”
สมชาติอึ้ง
“เล่นถึงข้อหาพยายามฆ่าเลยเหรอครับ”
“รีบไปเร็วๆซี เดี๋ยวมันก็หนีไปซะก่อน Goๆ”
“ครับๆ”
สมชาติรีบเดินตรงมาที่พุ่มไม้แล้วโผล่พรวดไปดูหลังพุ่มไม้ แต่ว่างเปล่าไม่พบใคร
“เจอไหมคุณสมชาติ”
“ไม่เห็นใครนี่ครับ”
สมคิดหลบห่างออกไปซุ่มมอง

เบญจาหวานกับติณห์สุดขีด ถึงขนาดนั่งอิงแอบอกเขาแล้วเอามือถือถ่ายรูปคู่กัน...ขณะเดียวกันนั้นสายตาคู่หนึ่งกำลังจ้องติณห์กับเบญจาอยู่ในสวนหย่อมใกล้ๆ...เบญจากำลังมองตัวเองกับติณห์จากจอในมือถือ
“ขยับเข้ามาชิดๆหนูอีกค่ะพี่ติณห์ มันหลุดเฟรม”
ติณห์อึดอัดแต่ฝืนสวมกอดเบญจาทางด้านหลังตามองจอมือถือ
“แค่นี้ชิดพอหรือยังจ๊ะ”
“ฮิๆ ชิดแล้วค่ะ ยิ้มนะคะ หนึ่ง...สอง...ซั่ม”
เบญจาหันไปยื่นหน้าทำปากจุ๊บติณห์พร้อมกับกดชัตเตอร์ ติณห์อึดอัดมาก แต่ก็ฝืนยิ้ม
“เอ่อ...เป็นไง...รูปโอเคมั้ย ถ้าไม่โอเค เดี๋ยวพี่กอดเบญจาให้ถ่ายทั้งวันเลย”
“พี่ติณห์อ่ะ โอเคแล้วค่า”
เบญจากดเช็คดูรูปแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นชายคนหนึ่งในชุดดำๆยืนซุ่มอยู่ที่สวนด้านหลัง ซึ่งเบญจาเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร
“ไหนพี่ดูรูปหน่อยซิ”
ติณห์ยื่นมือมาจะคว้ามือถือไปดูรูป แต่เบญจาเบี่ยงมือถือหลบทำเป็นยกหูขึ้นพูด
“ฮัลโหล...ค่ะ...กำลังพูด อะไรนะคะ...ไม่ค่อยได้ยินเลย” เธอหันมาบอกเขา “พอดีมีลูกค้าโทรมาน่ะค่ะ สัญญาณตรงนี้ไม่ค่อยดีเลย พี่ติณห์รอแป๊บนะคะ”
เบญจาทำเป็นลุกเดินพูดมือถือไปที่สวนหย่อมใกล้ๆ
“ฮัลโหลค่า...ได้ยินชัดขึ้นแล้วค่ะ...เรื่องสถานที่จัดเลี้ยงเหรอคะ...กำลังจัดอยู่ค่ะ”
ติณห์ทำเป็นหันไปยกแก้วน้ำขึ้นดื่มพลางแอบมองตามไป เห็นเธอเดินพูดสายตรงไปที่สวน
ก็ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ แต่ไม่เอะใจสงสัยอะไร
“โอย...สาธุๆ รอดไปอีกยก”
ติณห์หันกลับไปมองทางบ้านพักของเบญจา ห่วงญาณินมากกว่า
“คุณณิน ขอให้ทำสำเร็จนะครับ ดาร์ลิ้ง”

จิตญาณินกับหลวงพิชัยภักดี ยังคงช่วยกันค้นห้องทั่วห้อง แต่ยังหาไม่พบ
“เจอกระเป๋าไหมคุณหลวง”
ทันใดนั้น ฝาหีบใส่ของโบราณเปิดออก หลวงพิชัยภักดีนอนอยู่ในนั้น
“ในหีบนี้ก็ไม่มี...หีบโน้นก็ไม่มี...คราวที่แล้วไอ้ติณห์มันก็หาไม่เจอ”
“กระเป๋าใบไม่ใช่เล็กๆ ไม่น่าจะซ่อนที่ไหนได้มิดชิด อยู่ไหนนะ เราต้องรีบแล้ว ก่อนที่เบญจาจะรู้ตัว”
“บางทีหาด้วยตา เราอาจจะไม่เจอ มันต้องหาด้วยไหวพริบ”
“ใช่ เบญจามีวิชาอาคม ถ้าในกระเป๋านั่นมีความลับของเขาซ่อนอยู่” ญาณินคิดๆ “เขาต้องเก็บมันไว้แบบผีบังตา”
หลวงพิชัยภักดีไม่เข้าใจ
“เอ๊า นังหนู ผีมันจะบังตาผีได้ไง”
“นั่นสิคะ แต่หนูขอใช้วิธี ผีหาผีแบบขั้นพื้นฐานก่อนนะ”
ญาณินว่าแล้วก็ก้มลงมองลอดใต้หว่างขาตัวเอง แล้วก็ต้องตกใจเมื่อมองไปที่มุมห้องเห็นผีตายโหงสาวตัวหนึ่งนั่งโอบกระเป๋าอยู่มุมห้อง มันแสยะฟันช้ำเลือดช้ำหนองใส่
“อ๊าย”
ญาณินตกใจกระเด้งหงายหลัง
“ตกใจอะไรหนูณิน”
“กระเป๋าอยู่ตรงนั้น แต่มีผีตายโหงมันเฝ้าไว้อยู่ ท่าทางมันเฮี้ยนมาก”
หลวงพิชัยภักดีหน้าตื่น
“หา...ผีซ่อนผีอย่างฉันได้ด้วย แสดงว่ามันเป็นผีโอเวอร์ผีน่ะสิ แล้วเราจะเอากระเป๋ามายังไงล่ะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ หนูมีคาถาสะกดวิญญาณขั้นสูงแอดว้านซ์ที่ยัยรสสอนไว้ให้ติดตัวเอาไว้ใช้”
“ด่วนเลยหนูณิน...จัดการเร็ว”

ญาณินเดินไปที่มุมห้อง ใกล้ๆที่วิญญาณผีตายโหงพิทักษ์กระเป๋าอยู่ เธอยืนพนมมือ เริ่มสวดคาถาสะกดวิญญาณ

เบญจาทำเดินพูดมือถือผ่านดงไม้เข้าสวนหย่อม พอลับตาสายตาของติณห์ก็ลดมือถือลงกวาดตามองไปทั่วบริเวณ แววตาที่เคยดูเย็นชา ไม่กลัวใคร เปลี่ยนมาดูหวั่นๆไม่มั่นใจ เบญจาเดินมองหาหมุนเคว้งสักพักก็หยุดชะงัก เมื่อรู้สึกว่ามีใครก้าวออกมายืนอยู่ข้างหลัง เธอหันไปก็เจอเข้ากับด้านหลังชายคนหนึ่งอยู่ในชุดโทรมๆเสื้อสวมทับด้วยแจ๊คเก็ตสีดำดึงปกขึ้น เบญจาค่อยๆเดินเข้าไปหา

“ในที่สุด...คุณก็มา”
ชายคนนั้นหัวเราะในคอเสียงต่ำๆ แล้วค่อยๆหันมามองหน้าเบญจา...เขาคือหมอสมคิดอดีตจอมขมังเวทย์ที่ตอนนี้หมดอาคม อยู่ในสภาพกร้านโทรมราวกับนักโทษแหกคุก แต่ดวงตาดูโหดเหี้ยมมากกว่าเดิม
“ฉันต้องมา ก่อนที่แกจะถลำลึกมากไปกว่านี้”
“หนูทำอะไรผิด ทุกอย่างไปตามแผน หนูทำตามคำสั่งทุกอย่าง”
“แกหลงเพื่อนไอ้ไตรรัตน์ ศัตรูฉัน...จนหัวปักหัวปำน่ะเหรอแผน”
เบญจาอึ้งไป แต่ก็ยังรั้น
“ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเสียแผนที่เราวางไว้นี่คะ แค่หนูได้ค้นพบสิ่งที่หนูไม่เคยเรียนรู้มาก่อน นั่นก็คือความรัก”
“ความรักบ้านแกสิ นี่ฉันส่งแกมาหาผัวรึไง นังโง่ อะไรที่แกควรรู้ก็ไม่รู้ อะไรที่แกควรเห็น ก็ไม่เห็น คาถาอาคมเสื่อมถอยเพราะหลงผู้ชาย ลืมไปแล้วเหรอเบญจา ศัตรูของแกไม่ใช่คนธรรมดา นัง 5 สาวนั่นมันมีญาณพิเศษ ป่านนี้มันอาจจะทลายกำแพงอาคม รู้ตัวตนที่แท้จริงของแกแล้วก็ได้”
เบญจานิ่งอึ้งไป สติ ความระแวงเริ่มมา นึกห่วงกระเป๋าที่ทิ้งไว้ให้ผีตายโหงเฝ้า

ญาณินท่องคาถาสะกดวิญญาณจบ วิญญาณผีสาวหยุดนิ่งตาแข็งราวกับถูกตอกวิญญาณสต๊าฟไว้
“มันนิ่งยังกับถูกสต๊าฟไว้เลยเว้ยเฮ้ย...หนูณินรีบไปเอากระเป๋ามาเร็ว” หลวงพิชัยภักดีรีบบอก
ญาณินรีบคว้ากระเป๋ามาเปิดออกดู ต้องตะลึง เมื่อเห็นเอกสารมากมายภายใน เจอพลาสปอร์ต IDการ์ดหลายใบเป็นหน้าเบญจาแต่หลายชื่อและหลายสัญชาติ
“ทำไมมีบัตรประชาชนกับพลาสปอร์ตเยอะนักล่ะ...แต่ละเล่มหน้าเดียวกัน แต่คนละชื่อ”
“แบบนี้นางโจรชัดๆ”

เบญจาเดินรีบร้อนตรงไปที่บ้านพัก โดยมีติณห์รีบลุกเดินตามมา
“เบญจาเดี๋ยวเบญจา นั่นจะไปไหน”
“หนูลืมรายชื่อลูกค้าไว้ที่ห้องน่ะค่ะต้องรีบกลับไปเอา”
ติณห์ตกใจ
“ทำไมต้องรีบ เรายังไม่ทานอาหารที่พี่เตรียมมาเลย พี่ทำเองกับมือเลยนะจ๊ะ”
“พี่ทานไปก่อนพลางๆ เดี๋ยวหนูไปเอารายชื่อเสร็จแล้วจะตามมาค่ะ”
“เอ่อ...เบญจา...เดี๋ยว”
แต่เบญจาไม่ฟัง เดินลิ่วไป ทำเอาติณห์นึกห่วงญาณิน
“แย่แล้วญาณิน คุณออกมาจากห้องเบญจารึยัง”

จิตญาณินยังค้นๆดู มองทุกอย่างด้วยความสับสน
“เป็นไงหนูณิน ทีนี้รู้หรือยังว่าแม่เบญจาเป็นใครมาจากไหน” หลวงพิชัยภักดีถาม
“จะไปรู้ได้ยังไงคุณหลวง มีบัตรประชาชนเป็นโหลขนาดนี้ หนูไม่รู้ว่าใบไหนตัวจริงตัวปลอม”
“หรือเผลอๆอาจจะปลอมหมดนี่เลยก็ได้”
ญาณินคลำในกระเป๋าแล้วก็เจอบางอย่าง
“เอ๊ะ”
“ทีนี้เจออะไรเข้าอีกล่ะ”
ญาณินหยิบไอ้งั่ง 2 ตัวประกบกันขึ้นมาในกระเป๋า
หลวงพิชัยภักดีสะดุ้ง
“เฮ้ย...ตุ๊กตาอาคมหรือป่าวเนี่ย”
“ใช่ค่ะ มันเป็นไอ้งั่งที่เบญจาใช้ทำเสน่ห์ใส่ติณห์ให้หลงค่ะ”
ขณะเดียวกันนั้นหลวงพิชัยภักดีได้ยินเสียงคนเดินมา
“แย่แล้วหนูณิน ฉันได้ยินเสียงคนกำลังมาที่ห้อง นังเบญจาแน่ๆเลย รีบเก็บของเอากระเป๋าไว้ที่เดิมเร็วเข้า”
ญาณินรีบเก็บพลางมองไปที่ประตูห้องอย่างตื่นเต้น

เบญจาเดินมาถึงห้องพัก ไขกุญแจผลักประตูห้องเข้าไปยืนมองทันที ติณห์ที่ตามหลังมาลุ้นระทึก
แต่เบญจาพบว่าในห้องว่างเปล่า เธอกวาดตามอง ใช้หูฟัง จมูกสัมผัสแต่ไม่พบวิญญาณหรืออะไรผิดปกติอยู่ในห้อง เบญจามองไปที่มุมห้อง เห็นวิญญาณผีตายโหงยังคงโอบบังกระเป๋าให้เธออยู่ ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เธอยังระแวงไม่ไว้ใจ อยู่ๆติณห์ก็เดินเข้ามาจับไหล่เธอจากทางด้านหลัง
“มีอะไรรึเปล่า”
เบญจาสะดุ้งเล็กๆ
“ไม่มีอะไรค่ะ ขอไปหยิบรายชื่อลูกค้าก่อนนะคะ”

เบญจาเดินผละไป ทำเป็นไปเปิดหาที่ลิ้นชัก ติณห์ยืนโล่งอกที่ญาณินออกจากห้องได้ทัน

ภายในบริษัทซิกซ์เซนส์...กรรณา เนตรสิตางศุ์ สุคนธรส ก้องฟ้ากำลังประชุมกันเรื่องกรรณาถูกโทรศัพท์ขู่ฆ่ากันอยู่ กรรณาทำหน้าทำตาโรคจิตเลียนเสียงขู่จากโทรศัพท์
 
“ฮิๆ เตรียมตัวไว้ให้ดี...ฉันจะเอา...แก....ลงนรก มันโทรขู่ฉันยังงี้แหละแก”
ก้องฟ้ากลัว กระโดดหดขาขึ้นโซฟาเกาะเนตรสิตางศุ์
“เย้ย...ชัวร์เลยพี่กรรณ...นั่นไม่ใช่เสียงคน...เสียงผีโทรหาพี่แน่ๆ”
“เฮ้ย...แต่ที่ผ่านมา ฉันไม่เคยมีประสบการณ์ผีโฟนอินหาฉันมาก่อนเลยนะ” กรรณาสงสัยไม่หาย
“แหมแก อย่าลืมว่ายุคนี้มันยุคการสื่อสารทันสมัยนะเว้ย ก็อาจจะเป็นไปได้นะ ที่จะมีผีสมาร์ทโฟน” สุคนธรสแย้ง
“ผีอินเตอร์เน็ต” เนตรสิตางศุ์โพล่งออกมา
“ผีสามจี” ก้องฟ้าเสริม
กรรณาคิดๆ
“ถ้าเป็นอย่างที่พวกแกว่า ถ้างั้นจะเป็นผีใครล่ะที่โทรมาขู่ฉัน”
“ใช่ผียัยช่อเพชรรึเปล่า” เนตรสิตางศุ์ออกความเห็น
“ไม่น่าใช่นะแก ยัยช่อเพชรยังไม่ตายซะหน่อย” กรรณาแย้ง
“ถ้างั้นก็ไม่ใช่ผีสางที่ไหนหรอก อาจจะเป็นยัยช่อเพชรนั่นแหละที่พยายามจะโทรมาหลอกผีแก” เนตรสิตางศุ์ยืนยัน
สุคนธรสเห็นด้วย
“เออใช่ ยัยนั่นตั้งใจจะขู่แกให้กลัวจนขนหัวลุก แกจะได้เลิกตามสืบเรื่องเขาซะที”
“ผีขู่ฆ่า ยังไม่น่ากลัวเท่าคนขู่ฆ่านะครับ คุณกรรณน่าจะไปแจ้งความให้เขาลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานหน่อย” วรวรรธแนะนำ

สุคนธรสมองเห็นณัฐเดชเดินเข้ามาในบ้าน
“คิดถึงตำรวจ ตำรวจก็มา”
ก้องฟ้าหันไปมอง
“เฮ้ย! ใครโทรสั่งตำรวจดิลิเวอรี่ว้า”
เนตรสิตางศุ์หันไปมองณัฐเดชหน้านิ่งไม่ยินดียินร้าย
“ฉันเองค่ะ” กรรณาบอก
“หวัดดีทุกคน พี่รู้ว่ายัยกรรณถูกโทรศัพท์ลึกลับโทรขู่ แล้วจะให้พี่อยู่เฉยได้ไง จริงไหมเนตร” ณัฐเดชน้ำเสียงจริงจัง
เนตรสิตางศุ์ อึ้ง หันไปมองหน้าวรวรรธ เขาพยักหน้าให้ดีกับพี่ซะ เนตรสิตางศุ์จำยอม
“จริงค่ะ”
พงษ์อินทร์ตามเข้ามา
“กรรณา ผมว่าเราชิงเป็นฝ่ายรุกก่อนมันเถอะ”
กรรณาอึ้งๆเหล่ๆมองพงอินทร์ เพราะคำหวานเมื่อคืนยังซาบซ่าน อยู่ในหัวใจ แต่กรรณาก็ทำฟอร์มไม่สนไม่ทัก แต่ก้องฟ้าก็ลุกไปเปิดเกมจนได้
“โธ่พี่โจ้ จะมาก็ไม่บอกก่อนล่วงหน้า”
“บอกล่วงหน้าแล้วทำไม”
“อ้าว พี่กรรณจะได้แต่งตัวสวยๆ แต่งหน้าแต่งตาไว้รอพี่ไง”
“ไอ้ก๊อง...ไอ้ปาก...”
กรรณาเงื้อหมัดเข้ามาจะชก แต่ก้องฟ้าหลบหลังพงอินทร์ เขายกมือจับหมัดกรรณาไว้ทัน
“ไม่ต้องแต่งมากหรอกครับ เพราะยังไงก็คงไม่สวยมากไปกว่านี้อีกแล้ว”
ก้องฟ้ากับวรวรรธโห่
“ฮิ้ว...”
“ฮิ้วอะไรกัน”
กรรณาเงื้อหมัดจะอัดทุกคน ณัฐเดชรีบตัดบท
“เดี๋ยวๆ อยากรู้ที่อยู่ของนางสาวช่อเพชรไหมล่ะ...ยัยกรรณ”
ณัฐเดชพูดพลางชูเอกสารในมือ กรรณาตาโต
“หา...พี่ได้มาแล้วเหรอ”
กรรณารีบดึงหมัดจากมือพงอินทร์หันมาคว้ากระดาษในมือณัฐเดชไปดูทันที โดยมีพงอินทร์เข้ามายืนดูด้วย
“ที่อยู่ตามบัตรประชาชน อยู่ที่ประจวบ ขอบคุณค่ะพี่ณัฐ เก่งจริงๆเลยสืบแป๊บเดียวก็ได้มาแล้ว”
ทันใดนั้นเสียงมือถือสุคนธรสก็ดังขึ้น
“ชิ้ว...ยัยณินโทรมา...” สุคนธรสะกดเปิดโฟนให้ทุกคนได้ยิน “ฮัลโหลว่าไงเจ๊ มีอะไรพูดมาเลย ตอนนี้พี่ณัฐก็อยู่ด้วย”

ญาณินกำลังพูดสาย โดยมีอรวรรณที่ร้อนใจนั่งฟังอยู่ด้วย
“วันนี้ฉันแอบเข้าไปค้นห้องยัยเบญจา...รู้มั้ยฉันเจออะไร...บัตรประชาชน พาสปอร์ตของยัยเบญจาเป็นสิบๆเลย หน้าตาเป็นคนเดียวกันหมด แต่ชื่อที่อยู่ไม่เหมือนกันเลย”
ทุกคนตั้งใจฟังอย่างแปลกใจ ณัฐเดชรีบถาม
“แล้วณินเอาบัตรกับพลาสปอร์ตพวกนั้นออกมาด้วยรึเปล่า”
“เปล่าค่ะพี่ณัฐ ณินแอบถอดจิตเข้าไป เอาอะไรออกมาไม่ได้เลย”
ณัฐเดชถอนใจ
“เสียดาย ถ้าเอาออกมาได้ ให้พี่เอาไปตรวจสอบ อาจจะได้คำตอบว่าจริงๆแล้วผู้หญิงที่ชื่อเบญจาคือใครมาจากไหนกันแน่”
“ฉันเจอไอ้งั่งตาแดง 2 ตัว ซ่อนอยู่ในกระเป๋าของเบญจาด้วยนะ”
“ไอ้งั่ง เป็นใครเหรอเจ๊” เนตรสิตางศุ์ถามอย่างไม่เข้าใจ
“มันเป็นเครื่องรางมหาเสน่ห์ศาสตร์ของเขมรโบราณ ยัยเบญจาคงพยายามใช้ไอ้งั่งตาแดง 2 ตัวนี่แหละ ทำเสน่ห์ผูกมัดคุณติณห์ไว้ให้หลุ่มหลงมัน” สุคนธรสอธิบาย
ทุกคนมองหน้ากัน วิตก

มีดสั้นถูกเขวี้ยงไปปักแมงมุมทารันทูล่าตัวเขื่องติดกับต้นไม้ สมคิดเดินมาดึงมีดออก ดูเจ้าแมงมุมยักษ์มีพิษอย่างเหี้ยมๆ
“ต่อให้แกเก่งมีพิษสงรอบตัวยังไง แกก็จะตายอย่างง่ายๆแบบไอ้แมงมุมตัวนี้ ถ้าแกดันมีจุดอ่อน..ให้พวกมันรู้...แล้วโดนมันล่อ...ให้หลงทาง”
สมคิดหันไปมองเบญจาที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“หนูเสียใจ”
สมคิดหันขวับมาตาโปนกร้าว ชี้มีดไปที่หน้าเบญจา
“อย่ามาพูดคำว่าเสียใจให้ฉันได้ยิน แกต้องไม่รู้จักคำว่าเสียใจเบญจา! จำเอาไว้นะ แกต้องไม่มีจุดอ่อน...แกถึงจะไม่แพ้ใครในโลกนี้”
เบญจาแววตากดดันมาก
“ฉันคงปล่อยให้แกมาทำงานที่นี่คนเดียวมานานเกินไป แกก็เลยปล่อยตัวปล่อยใจ หลงผู้ชาย จนชะล่าใจ”
สมคิดลูบมือไปที่คมมีดจนมีดปาดนิ้วเลือดซิบ เขายกนิ้วเปื้อนเลือดขึ้นป้ายปากเบญจา เธอเลียกินเข้าไป แล้วคุกเข่าลง “
“หึๆ”
สมคิดหัวเราะในลำคอแล้วมองไป เห็นสมชาติเดินมาแต่ไกล สมคิดเดินถอยหลังเข้าป่า ลับตาไป...สมชาติเดินเข้ามา เบญจารีบลุก
“อยู่ที่นี่เองหนูเบญจา คุณมิรันตีให้มาตามครับ เอ่อ...เมื่อกี้คุยอยู่กับใครเหรอครับ”
เบญจาหันขวับไปมองอย่างไม่พอใจ
“เปล่า”
“แต่ผมเห็นแว๊บๆ”
“ฉันบอกว่าเปล่าก็เปล่าซิ”
เบญจาเสียงดังตาวาวดุร้าย จนสมชาติหยุดกึก
“เอ่อ...ครับ ผมคงตาฝาดไปเอง”

เบญจาหันเดินฉุนๆไป สมชาติหันไปมองหา แล้วตาก็มองไปเห็นแมงมุมนอนตายอยู่ที่พื้น สมชาตินั่งลงดูซากแมงมุม แปลกใจมาก แต่ก็หาคำตอบอะไรไม่ได้ ได้แต่ลุกเดินกลับไป
 
อ่านต่อหน้า 3

สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 12 (ต่อ)

รถตู้ของแขกคันหนึ่งแล่นออกมาจากรีสอร์ทห่างจากรีสอร์ทออกมาราว 100 เมตร รถตู้คันนั้นก็หยุด ติณห์แอบติดรถลูกค้ามาลงจากรถ พร้อมกับโบกมือให้เหล่าลูกค้าทั้งไทยและเทศในรถ

“Thank you …Thank you…ขอบคุณที่ให้ติดรถออกมานะครับ แล้วอย่าลืมมาให้ทางรีสอร์ทเราดูแลใหม่นะครับ See you again”
ติณห์โบกมือลา รถตู้ขับจากไป ติณห์หันมองระแวดระวังซ้ายขวา ก่อนจะวิ่งลงป่าข้างทางไป...ติณห์วิ่งมาถึงจุดนัดพบยืนหอบ ไม่เห็นญาณินก็ใจเสีย เพราะคิดถึงเธอมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“ญาณิน” ติณห์พยายามเรียกหา “ผมอยู่นี่”
ญาณินเดินโผล่มาทางข้างหลัง
“ติณห์...”
ทั้งคู่วิ่งเข้ากอดกัน ญาณินถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ ติณห์จูบไปที่เรือนผมของเธอ
“I miss you.”
“ฉันก็คิดถึงคุณค่ะ”
ญาณินหันมามองหน้ากัน แทบพูดอะไรไม่ออก มอบจูบให้กัน ติณห์ถอนจูบ สองมือประคองหน้าหญิงสาวไว้อย่างแสนรัก
“ติณห์...คุณไม่เป็นอะไรนะ”
“ผมโอเค...แต่กว่าจะหาทางแอบหลบมาได้ ก็เหนื่อยมากเลย คุณล่ะ ได้ความอะไรมาบ้าง”
ญาณินพยักหน้าจับมือเขาพาเดินย้อนกลับไปทางบ้านกำนันพงษ์
“เรารีบไปกันดีกว่าค่ะ...ติณห์”

ติณห์เดินตามญาณินขึ้นเรือนกำนันพงษ์มา พบณัฐเดชกับไตรรัตน์รออยู่กับสุคนธรส และอรวรรณ
“เป็นไงวะแก ไอ้ฝรั่ง เสน่ห์แรง ตกเป็นเป้าผู้หญิงพันธุ์ดุไม่เลิก”
ณัฐเดชเห็นติณห์ก็โผเข้ามาจับมือ กอดทักทายเพื่อนรักอย่างห่วงใย
“ร้อนถึงตำรวจมือปราบเฮี้ยนวิญญาณหลอน ลงโรงสำแดงฝีมืออีกแล้ว” ไตรรัตน์แซวขำๆ
ณัฐเดชหันไปเหล่ไตรรัตน์ที่ยืนปากเสียอยู่ใกล้ๆ
“ใครวะมือปราบเฮี้ยนวิญญาณหลอน”
“ก็แกนั่นแหละ คุณศาลาวัด”
“แต้งกิ้วโซมัสนะไอ้ณัฐที่แกมาช่วยฉัน แต่นายเนี่ยะ” ติณห์มองหน้าไตรรัตน์ “มาทำไมเหรอครับ”
“นั่นซิมาทำไม ฉันก็ยังสงสัย” สุคนธรสเสริม
“มาเพราะรักเมียไงจ๊ะ เรารักกันมาก...ห่างกันไม่ได้เลย...เหตุผลฟังขึ้นมากๆมั้ย”
ไตรรัตน์พูดพลางโอบไหล่ สุคนธรสถึงกับเถียงไม่ออก
“ติณห์ ทางเดียวที่จะสืบประวัติเบญจาได้ คือต้องเอกสารในกระเป๋าใบนั้นออกมาให้ได้” ณัฐเดชแนะ
ติณห์ตกใจ
“มันไม่เสี่ยงเกินไปเหรอไอ้ณัฐ เบญจาเหมือนกับหยั่งรู้ทุกอย่าง จนบางครั้งฉันคิดว่าชีเป็น monster เป็นปีศาจ ไม่ใช่คน”
“แล้วแกคิดว่าทุกวันนี้ชีวิตแกกับแม่ไม่เสี่ยงเหรอวะติณห์ ยัยเบญจากำลังควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตแกอยู่นะ”
“แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้ว่า สิ่งเดียวที่เจ้าหล่อนยังควบคุมไม่ได้ คือหัวใจของยู”
คำพูดของไตรรัตน์ทำเอาติณห์กับญาณินหันมามองหน้ากัน จับมือกันไว้ด้วยความรักที่มั่นคง
“ความรัก จะเอาชนะทุกอย่างค่ะ คุณติณห์ คุณหนู สู้ๆ” อรวรรณเชียร์
ติณห์พยักหน้า
“โอเค เอาเอกสารพวกนั้นออกมา How ด้วยวิธีไหน และใครจะเป็นคนไปเอา”
ทุกคนเงียบมองมาที่ติณห์เป็นตาเดียว
“โอเค...ไอเข้าใจแล้ว ไอจะหาวิธีเอาไอดีการ์ด เอกสารพวกนั้นออกมาให้เอง”
“ต้องภายในวันนี้ว่ะติณห์ ลงมือเร็วที่สุด ฉันกลัวว่าเบญจาจะไหวตัว ทำลายหลักฐานพวกนั้นไปซะก่อน”
ติณห์พยักหน้า
“I’ll do my best”
“ระวังตัวนะคะติณห์”
ญาณินหันมองเขาอย่างแสนห่วง จนเขาต้องดึงเธอมากอดไว้
“ไม่ต้องห่วง ไม่รู้เหรอ...คู้ณมีแฟนเป็นซุปเปอร์แมน”
ไตรรัตน์มองอย่างห่วงพลางพูด
“อืม...อย่าพลาดไปเป็นซุปหน่อไม้ให้เขาโซ้ยก็แล้วกัน”
สุคนธรสถอนใจหันไปมองหน้าสามี ไตรรัตน์ยิ้มตาหยี ส่งจุ๊บให้อย่างไม่สะทกสะท้าน แต่อรวรรณนึกขึ้นได้
“แต่เดี๋ยวค่ะ คุณหนูบอกว่ากระเป๋าใบนั้น แม่เบญจาเขาปลุกผีตายโหงให้เฝ้าอยู่ไม่ใช่เหรอคะ แล้วคุณติณห์จะเอาออกมาได้ยังไงล่ะคะ ผีนั่นได้หักคอตาย”
“ไม่ต้องห่วงค่ะป้าออ รสเตรียมยันต์เกราะเพชรหลวงพ่อปานมาให้แล้ว”
สุคนธรสล้วงยันต์เก่าๆออกมายกมือพนมไหว้ ก่อนยื่นให้ ติณห์รับไปแล้วยกมือไหว้มองผ้ายันต์ในมืออย่างไม่มั่นใจนัก
“ผู้ที่อยู่ในศีลในธรรมเมื่อมีผู้มียันต์เกราะเพชรอยู่กับตัว ไม่ว่าอยู่ในรูปแบบ ของผ้ายันต์ ตะกรุด หรือรูปแบบใดๆ จะแคล้วคลาด ไม่ตายโหงปลอดภัยจากไสยศาสตร์ ทุกชนิดเมื่อโดนทำอาคมไสยศาสตร์ใส่ ไสยศาสตร์ทุกอย่างจะสะท้อนกลับไป” สุคนธรสน้ำเสียงจริงจัง


ติณห์มองผ้ายันต์ในมือ

รีสอร์ทติณห์ยามเย็น...มิรันตีเดินตามหาติณห์กับเบญจา

“ติณห์หายหัวไปไหนเนี่ยะ โทรติดมั้ยเบญจา”
มิรันตีหันไปถามเบญจาที่กำลังเดินตาม พลางกดมือถือหาติณห์ด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์สุดๆ
“ติดค่ะ แต่ไม่รับสาย”
“ไม่รับสาย ไม่ได้ยินหรือมัวทำอะไรอยู่ เนี่ยเป็นเพราะเรานั่นแหละเบญจาไม่รู้จักเฝ้าตาติณห์ไว้ให้ดี ก็รู้ๆกันอยู่ว่านังไสยศาสตร์ขึ้นสมอง มันจ้องจะหลอกทำจริตมารยาใส่มายเดียร์ตินนี่อยู่ตลอดเวลา ยังจะสะเพร่าอีก ทำไมไม่รู้จักจำ”
มิรันตีจิกพัดใส่หน้า เบญจาก้มหน้าแต่เริ่มชักจะโมโห เกร็งกรงเล็บมือ ราวกับเสือโกรธ
“นายติณห์มันไม่ใช่คนซื่อๆเชื่องๆนะ จะเอามันให้อยู่หมัด ต้องมีทั้งไม่อ่อนไม้แข็ง ลูกล่อลูกชน มันรักยัยบ้านั่นมาก...อย่านึกว่ามันจะตัดเยื่อใยได้ง่ายๆ”
“คุณมิรันตีไม่ต้องห่วงค่ะ พี่ติณห์จะต้องรักหนูมากขึ้นๆๆทุกวัน...คอยดู”
“แหม...กล้าพูดนะ อย่าโม้ไปหน่อยเลย”
ติณห์เดินเข้ามา
“กำลังบ่นอะไรเบนจี้ดาร์ลิ่งค์ของผมครับ...มัม”
ติณห์ทำเป็นเดินเข้ามาโอบไหล่อิงหัวกับเบญจา
“เราหายไปไหนมา ให้แม่เดินตามหาซะเมื่อยเลย”
“ผมก็เดินดูงานอยู่แถวๆนี้แหละครับ”
“คงดูงานหนักมากซินะ โทรเข้ามือถือ ถึงไม่ยอมรับ” มิรันตีประชดประชัน
“มือถือ”
ติณห์ทำเป็นล้วง ตบหามือถือไปที่กระเป๋าเสื้อกางเกง
“โอ้ว...โน ผมคงลืมตั้งทิ้งไว้ที่โต๊ะทำงานน่ะมัม เบญจาโทรหาพี่เหรอครับ แอม ซอรี่ อย่างอนพี่เลยนะ วันนี้พี่รีบตรวจเช็คงานให้เสร็จเร็วเพราะว่า...คืนนี้พี่มีนัด”
“พี่ติณห์มีนัดกับใครคะ” เบญจาถามด้วยตาดุๆ
“นัดกับใครดีน้า คืนนี้พยากรณ์ว่าจะมีดาวตก มีใครอยากจะออกไปนอนดูดาวกับพี่บ้าง”
ติณห์ทำเป็นเหล่มองมาสบตาเบญจาอย่างกรุ้มกริ่ม
“ยอร์มัม...แม่เองจ้ะ”
ติณห์ถึงกับชะงัก เพราะมิรันตีกำลังจะทำแผนเขาพัง
“What มัมจะไปดูทำไมดาวตก มันดึกนะมัม นอนดึก ตีนกามัมจะขึ้น”
“เอ๊ะ ไอ้ลูกคนนี้ ก็แกอยากถามทำไมว่าใครจะไปกับแก ฉันก็ตอบน่ะซิ”
“ผมไม่ได้อยากให้มัมตอบ แต่ผมกำลังรอคำตอบจากเบญจาอยู่”
มิรันตีค้อน
“หมั่นไส้ แกอยากจะชวนเขาไป ทำไม่บอกไปเลยล่ะ ต้องมาทำท่าโน้นท่านี้”
ติณห์รีบคว้ามือเบญจามาจับ อ้อนวอน
“เบญจาครับ คืนนี้ 2 ทุ่มออกไปนอนดูดาวตกกับพี่นะครับ”
“ค่ะพี่ติณห์” เบญจายิ้มรับปาก
มิรันตียืนมองภาพของทั้งคู่จับมือมองตากันอย่างพอใจ
“อ๊ะ...จริงด้วย...เธอไม่ได้โม้นี่”
เบญจายิ้ม
“ก็ไม่ได้โม้น่ะสิคะ”
“อะไรกันครับ” ติณห์ถามอย่างสงสัย
มิรันตีกับเบญจารีบตอบพร้อมกัน
“ไม่มีอะไรค่ะ / จ้ะ เรื่องงานน่ะ”

เบญจาเปิดประตูกลับเข้าห้องมา...ปิดล็อคประตูหันมองไปที่มุมห้องที่ปล่อยวิญญาณผีตายโหงเฝ้ากระเป๋าอยู่
“มีใครเข้ามาในห้องมั้ย”
สิ้นเสียงถาม...วิญญาณผีตายโหงก็ปรากฏตัวขึ้นในท่าที่พิทักษ์กระเป๋าอยู่ มันชี้ไปที่เก้าอี้ เบญจาตกใจหันไปมองเห็นสมคิดนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักสูงตัวหนึ่ง ค่อยๆหันมา
“คุณเข้ามาได้ยังไง ประตูยังล็อคอยู่”
สมคิดหัวเราะในลำคอ
“หึๆ ถึงฉันไม่มีอาคมแล้ว แต่เรื่องพื้นๆ เบๆแบบนี้...ฉันก็พอจะใช้กุญแจผีได้” สมคิดชูกุญแจลวดให้ดู แล้วลุกขึ้น “ฉันจะมาเตือนแกก่อนไป คืนนี้ ระวังไอ้ติณห์ไว้ให้ดี อย่ามัวหลงดูดาวกับมันเพลินล่ะ แกจะเสร็จมัน”
“หนูไม่เสร็จใครง่ายๆหรอก คุณพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องห่วง”
“ความประมาท เป็นหนทางแห่งความตาย...อย่าให้ฉันต้องพลอยตายซ้ำตายซ้อน...เพราะแก”
สมคิดเดินไปทางหลังห้อง เดินเข้าผ้าม่านแล้วหายตัวไปอย่างรวดเร็ว เบญจาหันเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า...ใบหน้าที่ดูแข็งกร้าว เปลี่ยนมายิ้มอ่อนหวานทันทีเมื่อหยิบชุดที่จะใส่ไปดูดาวตกกับติณห์ออกมาลองทาบตัวดูกระจก
“ใส่ชุดไหนดีน้า...ชุดนี้...หรือว่าชุดนี้...หรือชุดนี้”

ค่ำคืนนั้น เบญจาสวมชุดสวยเดินมายังจุดที่นัดกับติณห์ไว้...ที่มุมต้นไม้มุมไกลๆ วิญญาณหลวงพิชัยภักดีนอนราบกับพื้นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ อาศัยรากต้นไม้กำบังซุ่มดูเบญจาแต่ไกล
“เจอนังผู้หญิง มหันตภัย แม้แต่ผียังต้องแอบซุ่มดูไกลๆ”
เบญจา...เดินมาที่ม้านั่งตัวหนึ่งวางอยู่กลางสวน พบช่อกุหลาบเล็กๆวางอยู่บนม้านั่ง
“พี่ติณห์เนี่ย...โรแมนติกจัง”
เบญจาหยิบช่อกุหลาบขึ้นมาดม ยิ้ม แล้วหันไปมองทางห้องพัก”
“คุณท่านนี่ก็ประสาทไปได้ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก...หรือถึงเกิด...หนูก็เตรียมรับมือไว้หมดแล้ว”
เบญจาทำหน้ามั่นใจ หลวงพิชัยภักดีสงสัย

ติณห์รีบเดินลับๆล่อๆตรงมาที่ห้องพักเบญจา ก่อนหยุดยืนที่หน้าห้องอย่างทำใจ เพราะไม่รู้เข้าไปจะเจออะไรบ้าง
“ไอ้ติณห์”
อยู่ๆวิญญาณหลวงพิชัยภักดีก็โผล่มา ทำเอาติณห์ตกใจ
“เฮ้ย”
“ปัดโธ่เอ้ย ฉันเอง แกจะตกใจอะไรวะ”
“ก็เกรนปาเล่นโผล่มาไม่บอกกันล่วงหน้า”
“เวลาผีมันจะโผล่มา มันมีบอกกันล่วงหน้าด้วยเหรอวะไอ้บ้า”
“บอกว่า...เค้าจะมาแล้วนะตัวเองแบบนี้ชิมิๆ ฮิๆ”
โกลเดนเบบี๋โผล่ยืนห้อยหัวอยู่ข้างบน ติณห์ถอนใจ
“ซอรี่นะโกลเดนเบบี๋ ไอไม่มีเวลาเล่นกะยู ไอต้องรีบทำงาน”
“โอเค ไอซี ควิก-รี่พรีส”
“แอนด์ไอ คัมทูเชียร์อยู่ สู้ๆไอ้หลานรัก เข้าไปเอาหลักฐานพวกนั้นมาให้ได้” หลวงพิชัยภักดีให้กำลังใจ

ติณห์พยักหน้า ควักยันต์เกราะเพชรออกมา แค่ควักออกมา รัศมีอิทธิฤทธิ์ความขลังของยันต์ก็แผ่ออกมา จนหลวงพิชัยภักดี กับโกลเดนเบบี๋รีบกระเด้งตัวหลบไปไกลๆ ติณห์ถือยันต์ยกมือไหว้พนม เพียงแค่นั้นกลอนประตูที่ถูกอาคมของเบญจาลงสลักไว้ก็เปิดออกอย่างง่ายดาย...มือติณห์ที่จับลูกบิดประตูมีควันลอยคลุ้งออกมา ประตูเปิดออกเองอย่างช้าๆ ติณห์ก้าวเข้าไปต้องตกใจ...เมื่อพบวิญญาณผีตายโหง ถูกทธิฤทธิ์ของผ้ายันต์เกราะเพชรตรึงติดอยู่กับผนังในลักษณะที่ดิ้นพล่านๆ โดยมีกระเป๋าของเบญจาวางอยู่ตรงหน้าของมัน ติณห์แข็งใจเดินเข้าไปคว้ากระเป๋ามา แล้วรีบเดินออกไปทันที

ติณห์โผล่หน้าออกมาดูไม่เห็นมีใคร จึงรีบวิ่งออกมาจากห้องเบญจาแล้ววิ่งไป

“รีบไปเลยไอ้ติณห์ อย่าให้เขาจับได้นะ” หลวงพิชัยภักดีเตือน
“ครับ แกรนด์ปา”

เบญจาเดินไปมารอติณห์ ขยับหน้าขยับผมรอยิ้มๆเขินๆรอสุดหล่อของตน แล้วยกนาฬิกาขึ้นมาดู

ติณห์กำลังเดินหิ้วกระเป๋าไป มองระแวดระวังไปอย่างลุ้นๆ เขารู้สึกว่ากระเป๋ามันหนักขึ้นเรื่อยๆจนต้อง เปลี่ยนมือหิ้ว
“ทำไมรู้สึกว่ากระเป๋ามันหนักขึ้นเรื่อยๆ ไอ panic…คิดไปเองรึเปล่า...”
ติณห์รีบหิ้วกระเป๋าไป ในท่าที่ไหล่เอียงราวกับหิ้วหินจนมาถึงริมรั้วด้านหลัง ก็ยืนหอบ ณัฐเดชกับไตรรัตน์แอบซุ่มจอดรถรออยู่ 2หนุ่มรีบเดินเข้ามารับกระเป๋า
“มาเร็วกว่าที่คิดว่ะ” ไตรรัตน์แซว
ติณห์ยกกระเป๋าส่งให้ ไตรรัตน์รับแล้วไหล่ทรุด
“อุ๊บส์ ในเป๋านี่มีหินรึป่าววะ ทำไมหนักอย่างงี้”
“ฉันก็ไม่รู้ รีบๆไม่มีเวลาเปิดดู”
“โอเคเพื่อน ฉันขอเวลา 2 ชั่วโมง” ณัฐเดชบอก
ติณห์เซ็ง
“What นี่ไอต้องถ่วงเวลาอยู่กับยัยนั่นนานถึง 2 ชั่วโมงเลยเหรอ”
“แกก็คิดซะว่าอยู่กับกิ๊กซี จะได้เพลินๆ”
ติณห์มองหน้า ไตรรัตน์หัวเราะกวนๆ
“โอเค เข้าใจแระ แกรักเดียวใจเดียว อุดมการณ์เหมือนกันเดี๊ยะเลย”
“ฝืนใจก็ทนเอานะเพื่อน อีก 2 ชั่วโมงเจอกัน”
ขาดคำณัฐเดชกับไตรรัตน์ก็รีบหิ้วกระเป๋าขึ้นรถ ขับออกไป ฝุ่นตลบ ติณห์ยืนถอนใจเซ็ง มองเวลา ตกใจ
“โอ้วมายก็อด เลยเวลานัดแล้ว ป่านนี้ยัยนั่นสงสัยแล้ว”
ติณห์รีบวิ่งกลับไป

กำนันพงษ์เดินอยู่ในห้องขัง...ยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลาแล้วก็ลงนั่งกับพื้น นิ่ง ขัดสมาธิ หลับตาลง แล้วจิตดำดิ่งสู่ภวังค์

มุมหนึ่ง ในบ้านกำนันพงษ์...ญาณินกับสุคนธรสสองสาวนั่งสมาธิรวมพลังเรียกจิตกันทำอะไรบางอย่าง โดยมีรูปของกำนันพงษ์จากภายในบ้านวางอยู่ประกอบพิธี พร้อมพวงมะลิกระถางธูปเทียนวางไปทางประตูทางเข้าบ้าน อรวรรณนั่งพับเพียบมองอยู่ แล้วต้องตะลึงเมื่อเห็นควันธูปเริ่มลอยไปทางประตูเข้าบ้าน ราวกับมีอะไรพัดไป เพียงครู่เดียวก็ปรากฏจิตของกำนันพงษ์ค่อยๆก้าวเข้าบ้านมา อรวรรณอ้าปากค้างจนต้องรีบอุดปากตัวเองไม่ให้อุทานเสียงดังออกมาทำให้สองสาวหลุดจากสมาธิ จิตกำนันพงษ์เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ต่อหน้าสองสาว...ญาณินกับสุคนธรสค่อยๆลืมตาขึ้น
“ต้องขอโทษกำนันที่รบกวนให้ถอดจิตมา ญินอยากให้กำนันมารับรู้ด้วยกัน เผื่อกำนันอาจจะรู้จักที่มาของผู้หญิงคนนี้” ญาณินบอกอย่างเกรงใจ
“ไม่ต้องขอบใจหรอก ฉันเองก็อยากจะรู้ว่าเบญจาคนนี้เป็นใครกันแน่”
ณัฐเดชกับไตรรัตน์ช่วยกันหิ้วหูกระเป๋าเข้ามาคนละข้าง อรวรรณหันไปเห็น
“มากันแล้ว คุณณัฐกับคุณไตรน่ารักไปนะคะ แหมกระเป๋าใบเดียวช่วยกันหิ้วยังกับมันหนักมาก”
ณัฐเดชหน้าเหยหนักมาก
“ก็หนักน่ะซิครับป้า นอกจากพวกเอกสารที่ญาณินว่าแล้ว ไม่รู้ข้างในยังมีอะไร”
ณัฐเดชกับไตรรัตน์วางกระเป๋าลงกลางวง....ญาณินแปลกใจ
“หื๊อ...แต่เมื่อวานที่ญินยังหิ้วได้อยู่เลยนะคะ เบาหวิวมากเลย”
“หรือว่ายัยเบญจา อาจจะติดว่ามีผีตายโหงเฝ้ากระเป๋าอยู่แล้ว เลยตายใจ เอาอะไรมาเก็บเพิ่มในกระเป๋าก็ได้”
อรวรรณมองในแง่ดี ทำเอาทุกคนมีหวังเพิ่มขึ้นอีก สุคนธรสยิ้มๆ
“ก็ดีซิป้า ยิ่งมีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะมีวิธีสยบยัยเบญจาได้มากขึ้นเท่านั้น”
ไตรรัตน์ร้อนใจ
“รีบเปิดเลยเถอะ ผมอยากรู้แล้วว่าข้างในมีอะไร”
“ม่ะ พี่เปิดเอง”
ณัฐเดชลงมือเปิดกระเป๋า ท่ามกลางความลุ้นของทุกคน แต่เขากลับเปิดไม่ออก
“อึ้บ...เปิดไม่ออก”
ญาณินแปลกใจ
“ถามจริงพี่ณัฐ เมื่อวานณินยังเปิดออกอยู่เลย”
ณัฐเดชลองออกแรงอีก แต่ไม่ออก
“จริงๆ ยังกับติดกาวตาช้างไว้แน่ะ”
“ไหน ขอณินลองเปิดดู”
ญาณินลองไปเปิด
“เปิดไม่ออกจริงๆด้วย ทำไมอ่ะ”
กำนันพงษ์มองกระเป๋า
“กระเป๋ามันถูกลงอาคมไว้”
สุคนธรสแค้นๆ
“หึ แสบจริงๆยัยเบญจา แกคิดว่าตัวเองมีอาคมคนเดียวงั้นเหรอห่ะ”
ว่าแล้วสุคนธรสก็นั่งลงพับเพียบ ยกมือพนมหลับตาท่องคาถา ไตรรัตน์ยิ้มร่า
“ไม่ต้องกลัวครับ แค่กระเป๋าลงอาคมแค่นี้ แม่หมอ ที่รักของผมช่วยด้าย หึๆ”

ไตรรัตน์มองไปที่สุคนธรสอย่างสุดแสนภูมิใจในเมียของตัวเอง สุคนธรสนั่งท่องคาถาต่อหน้ากระเป๋า

เบญจานั่งถือช่อกุหลาบรอติณห์นานแล้ว เธอมองนาฬิกาเลยเวลานัด...หน้าชักเปลี่ยนเป็นร้ายด้วยความโมโห หลวงพิชัยภักดีแอบดูอยู่ใต้ต้นไม้บ่นงึมงำ
 
“ไอ้ติณห์เอ้ย รีบๆ หน่อยซีเว้ย นังตัวร้ายมันกำลังจะโกรธแล้ว เย้ย”
หลวงพิชัยภักดีสะดุ้ง เพราะเห็นเบญจาลุกขึ้น โยนช่อดอกไม้ลงบนเก้าอี้
“มันโกรธแล้วไอ้ติณห์ เอ็งอยู่ไหนวะเนี่ยะ”
เบญจาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธจัด
“พี่ติณห์ ทำไมยังไม่มา คิดจะเล่นไม่ซื่อกับเบญจางั้นเหรอ”
ดวงตาของเบญจาแดงวาบขึ้นมา หันขวับจะเดินกลับไป แต่ติณห์วิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล ในมือถือกล้องดูดาวพร้อมฐานตั้งกล้อง 3 ขามาด้วย
“เบญจาๆจ๋า ยู้ฮู มายสวีทโลลลิป๊อบ...พี่มาแล้วจ้า ยู้ฮูๆ”
หลวงพิชัยภักดีเป่าปากโล่งอก
“ไอ้หลานคนนี้...มันเล่นเสียวตลอดเวลาเลยเว้ย...”
ติณห์วิ่งมาหยุดยืนหอบต่อหน้าเบญจา
“พี่ติณห์ไปไหน ไปทำอะไรมาคะ”
“Sorry…พี่มัวแต่ไปหากล้องดูดาวอยู่...ก็เลยมาช้า”
เบญจาชะงัก
“กล้องดูดาว”
“เย่...พี่เพิ่งนึกได้ว่ามีกล้องดูดาวตั้งแต่เรียนอยู่อเมริกา...พี่เอาไปเก็บไว้จนลืม กว่าจะนึกออกว่าเอาไปเก็บไว้หลังตู้ก็เลยมาช้า เบญจาไม่โกรธพี่นะ เดี๋ยวพี่จะให้เบญจาได้ดูพระจันทร์ที่สวยที่สุดในโลกเลย”
ว่าแล้วติณห์ก็รีบตั้งกล้อง แล้วก็ส่องหาดวงจันทร์
“เจอแล้ว พระจันทร์งามผ่องเหมือนแก้มน้องเบญจาเลยจ้ะ เบญจาดูซิจ๊ะ”
ติณห์ดึงเบญจาให้มาส่องดู
“เห็นยังจ๊ะ เห็นยัง”
“เห็นแล้วค่ะ ว้าว...สวยจังเลย นี่เป็นครั้งแรกนะที่เบญจาได้เห็นพระจันทร์ชัดขนาดนี้ ยังกับเรากำลังยืนอยู่บนนั้นเลย”
“เห็นมั้ย พี่คิดแล้วว่าเบญจาต้องชอบ”
ติณห์พูดพลางแอบโล่งอก มองไปที่หลวงพิชัยภักดีที่แอบอยู่ หลวงพิชัยภักดียกนิ้วแม่โป้งให้ที่มา

สุคนธรสท่องคาถาแก้อาคม เป๋าไปที่กระเป๋าเสร็จ ลืมตาขึ้น บอกกับณัฐเดช
“ลองเปิดกระเป๋าดูใหม่อีกทีซีคะพี่นัด”
“คราวนี้เปิดไม่ได้ ให้เตะ” ไตรรัตน์มั่นใจ
ณัฐเดชลองเปิดอีกที ทุกคนรู้สึกเหมือนกันว่าต้องเปิดออกได้แน่ๆ แต่...
“อึ้บ...”
ญาณินรีบถาม
“เป็นไงคะ”
“เปิดไม่ออก”
“เฮ้ย ไม่ออกได้ไง เป็นไปไม่ได้! มา....ฉันเอง” ไตรรัตน์เข้าไปเปิด “อ๊าก” ไตรรัตน์พยายามเปิดสุดแรงเกิด แต่ไม่ออก” ออกซีเว้ย...ออก”
กำนันพงษ์ยกมือห้าม
“หยุดเถอะคุณ ออกแรงไปก็เหนื่อยเปล่า”
ญาณินกังวลใจ
“แล้วจะทำยังไงล่ะคะ เรามีเวลาไม่มาก ต้องเอากระเป๋าไปคืนที่เดิม กำนันพอจะรู้วิธีไหม”
“คุณไสย์ขั้นเทพแบบนี้ต้องใช้มีดตัดหวายลูกนิมิตอย่างเดียว ถึงจะสะบั้นอาคมขาด” กำนันพงษ์แนะ
สุคนธรสรีบล้วงมีดออกมาจากย่าม
“ของฉันมีแค่มีดหมออย่างเดียว ทำไงดี จะไปขอจากหลวงลุงก็คงจะสายเกินไป”
กำนันพงษ์แค่นหัวเราะ
“หึๆ ไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก แต่ต้องขอแรงผู้ชายหนึ่งคน”

ไตรรัตน์ผลักประตูห้องๆหนึ่งในบ้านกำนันพงษ์เดินเข้าไปกับสุคนธรส มีดตัดหวายลูกนิมิตของกำนันพงษ์วางอยู่บนแท่นในตู้ปูผ้าสีแดง สุคนธรสรีบบอก
“มีดตัดหวายลูกนิมิตของกำนันพงษ์อยู่นั่นไง”
“แล้วทำไมคุณหยิบไม่ได้ ต้องเป็นผู้ชาย”
“กำนันพงษ์คงลงอาคมอะไรเอาไว้ ถ้าผู้หญิงจับแล้วคาถาอาจจะเสื่อม รีบไปเอาออกมาเร็วนายไตวาย”

ไตรรัตน์หยิบมีดออกมา แล้วทั้ง 2 ก็ออกจากห้องไป
 
อ่านต่อหน้า 4

สื่อรักสัมผัสหัวใจ ซีซั่น 2 ตอนที่ 12 (ต่อ)

ไตรรัตน์ยืนถือมีดพนมมือไหว้ ต่อหน้ากระเป๋า โดยมีจิตกำนันพงษ์ยืนกำกับอยู่

“คุณตั้งจิตท่องนะโมในใจ 3 จบ ส่วนคุณรสก็สวดคาถาแก้อาคมกำกับไป พอท่องนะโมจบ คุณจรดปลายมีดลงไปที่กระเป๋า จากนั้นก็ลองเปิด เข้าใจนะ”
“ครับ ผมจะเริ่มแล้วนะ”
ไตรรัตน์หลับตาเริ่มท่องนะโม 3 จบ ส่วนสุคนธรสก็นั่งลงสวดคาถาแก้อาคมไปด้วย ทุกคนลุ้น พอไตรรัตน์ท่องนะโมครบ 3 จบก็ลืมตาขึ้น จรดปลายมีดแหลมไปที่กระเป๋า ทุกคนเห็นกับตาคือกระเป๋าที่ดูโป่งราวกับถูกของอัดแน่นก็แฟบลง
“เอาล่ะ ลองเปิดดู” กำนันพงษ์บอก
ไตรรัตน์ส่งมีดให้ณัฐเดชถือไว้ แล้วลองเปิดกระเป๋าดู
“อึ้บ...” ไตรรัตน์แกล้งทำออกแรง
สุคนธรสหน้าเสีย
“ไม่ออกอีกแล้วเหรอ”
อรวรรณไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นไปไม่ได้...”
ไตรรัตน์ยิ้มทะเล้น
“ออกแล้วจ้า...ล้อเล่น”
สุคนธรสตีไตรรัตน์เพี้ยะ...เต็มมือ แต่ตอนนั้นเองที่ไตรรัตน์รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติในกระเป๋า ราวกับมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ภายใน
“เฮ้ย เหมือนมีอะไรขยับอยู่ข้างในกระเป๋า”
“อย่าเปิด”
ญาณินตะโกนขึ้น แต่ไม่ทันแล้ว ไตรรัตน์เปิดปากกระเป๋ากว้างขึ้น ผงอาคมพวยพุ่งออกมาจากกระเป๋าใส่หน้าไตรรัตน์
“อ๊าก”
ผงอาคมที่ฟุ้งเข้าตาทำให้ปวดแสบปวดร้อน ไตรรัตน์แสบตาล้มลงร้องลั่น ท่ามกลางความตกใจของกำนันพงษ์และทุกคน สุคนธรสแทบบ้ารีบเข้าประคอง
“นายไตวาย กำนัน ! นี่มันอะไรกันเนี่ยะ”
“ผงอาคม ยัยเบญจามันวางยาเอาไว้น่ะซิ”
สุคนธรสแค้น
“นังเบญจา ถ้านายไตวายเป็นอะไรไป ฉันจะฆ่าแก นายไตวาย อดทนไว้นะ อดทนไว้”
ไตรรัตน์ร้องลั่น
“อ๊าก”
“มีวิธีไหนช่วยนายไตรได้บ้างไหมครับเนี่ยะ ไตร...ไตร...”
สติไตรรัตน์ดูเหมือนจะถูกอาคมควบคุมไม่ให้รับรู้อะไร นอกจากความเจ็บปวด กำนันพงษ์คิดๆแล้วนึกออก
“น้ำมนต์ มีน้ำมนต์ไหม...รีบเอาล้างตาเค้าเร็วๆเข้า”
“มีค่ะ...มี...ไม่ต้องห่วงนะนายไตวาย เดี๋ยวนายก็หาย”
ณัฐเดช อรวรรณ ญาณินทุกคนช่วยกันจับประคองไตรรัตน์ไว้ให้อยู่นิ่ง สุคนธรสล้วงน้ำมนต์ที่ใส่ขวดจากในย่ามติดตัวออกมา ยกมือไหว้ แล้วล้างตาให้ ไตรรัตน์นอนเจ็บแสบทุรนทุรายร้องลั่นบ้าน
“อ๊าก”
แล้วไตรรัตน์ก็เงียบ...สลบไป สุคนธรสตกใจ
“นายไตวาย...นายไตวาย…โธ่...”
สุคนธรสร้องไห้กอดไตรรัตน์ไว้
“ไม่ต้องห่วง เขาแค่สลบไป พาไปพัก รอเขาฟื้นแล้วดูอาการอีกที” กำนันพงษ์แนะ
ณัฐเดชบอกทุกคน
“มา...ช่วยกันพานายไตรไปนอนพักข้างในดีกว่า”
ณัฐเดช สุคนธรส อรวรรณช่วยกันแบกไตรรัตน์เข้าบ้านไป เหลือญาณินที่เข้ามาแหวกกระเป๋าดู แล้วต้องตะลึง
“ห่ะ ไอ้งั่ง บัตรประชาชน พาสปอร์ตหลักฐานพวกนั้นหายไปไหนหมดแล้ว”
กำนันพงษ์หน้าเครียด
“นังเบญจามันคงรู้ตัว เลยใช้คาถาย้ายของไปหมดแล้ว”
ญาณินเจ็บใจ
“เราเสียรู้มันจนได้”
กำนันพงษ์คิดๆ
“ยังไงก็ต้องรีบเอากระเป๋าไปคืน ไม่อย่างงั้น ถ้านังเบญจารู้ว่ากระเป๋าหายไป นายติณห์จะเป็นเหยื่ออาคมรายต่อไปของนังเบญจา”

ญาณินตกใจ

เบญจายิ้ม แทนที่จะมองดาว กลับมองดูแต่หน้าติณห์อย่างเคลิบเคลิ้ม ลูบผมเขาอย่างเอาใจ รับรู้ได้ถึงอาคมของตัวเองถูกปล่อยใช้ไปอย่างสัมฤทธิ์ผล ขณะที่ติณห์ยังพยายามส่องดูดาวเชิญชวนถ่วงเวลาเบญจา

“จนป่านนี้แล้วยังไม่เห็นดาวตกเลยสักดวง สงสัยกรมอุตุจะคาดเวลาผิด รอหน่อยนะเบญจา รอให้ดึกกว่านี้ พี่ว่าเราอาจจะได้เห็นฝนดาวตกเลยก็ได้”
“แต่เบญจาง่วงนอนแล้วค่ะ พี่ติณนี่ไปส่งเบญจาหน่อยสิคะ”
เบญจา ลุกขึ้น จูงมือ ติณห์อ้ำ อึ้ง รีบคว้ามือไว้พยายามถ่วงเวลา
“ง่วงก็มาหลับในอ้อมกอดพี่ซี เดี๋ยวพอดาวตก พี่จะปลุกเบญจาเอง”
“เบญจาไม่อยากดูแล้วนี่นา...เดี๋ยวพรุ่งนี้เบญจาตื่นทำงานไม่ไหว มอมมี่จะดุเอา”
เบญจาจะเดินแต่ติณห์ดึงมือรั้งไว้
“จะดุได้ไง ก็พี่บอกแล้วว่าคืนนี้จะพาน้องเบญจามาดูดาวตกอยู่กับพี่อีกแป๊บนึงนะจ๊ะ เดี๋ยวดาวก็คงตกแล้ว น้องเบญจาของพี่”
“แหม...สวีทจังค่ะ พี่ติณห์...โรแมนติกม้ากมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าพี่จะไม่อยากห่างเบญจา แม้แต่น้อยอย่างนี้ แต่ยังไง เบญจาก็อยู่ไม่ไหวแล้วค่ะ คิคิคิ เบญจาปวดฉี่แล้วค่ะ จำเป็นต้องเข้าห้องน้ำแล้วล่ะ แล้วมันก็ดึกแล้ว งั้นเรากู้ดไนท์กันเลย...ดีไหมคะ”
เบญจาดึงมือเขาออก หยิกแก้มแล้วเดินกลับไปทันที ติณห์นั่งทำอะไรไม่ถูกพึมพำเบาๆ
“ทำไงดีวะ”
หลวงพิชัยภักดียังคงแอบซุ่มดูอยู่
“ตายล่ะหว่า...นังปีศาจกำลังกลับไปที่ห้องแล้ว พวกนั้นเอากระเป๋าไปคืนไว้ที่เดิมหรือยัง โธ่ไอ้ติณห์ นั่งงงอยู่นั่นแหละ รีบตามไปขวางซีวะ ไป”
ติณห์มองไปเห็นวิญญาณหลวงพิชัยภักดีกวักมือให้รีบตามไป ติณห์รีบลุกตามเบญจาไป

ณัฐเดชเดินถือกระเป๋ามาที่หน้าห้องเบญจา
“ยัยรสบอกว่าให้เอากระเป๋าไปวางไว้ที่เดิมได้เลย เพราะติณห์ใช้ยันต์เกราะเพชรสะกดวิญญาณผีตายโหงไว้ให้แล้ว เอาวะ”
ณัฐเดชผลักประตูเข้าไป...ต้องชะงักเมื่อเห็นวิญญาณผีตายโหงถูกตรึงไว้กับผนังในสภาพที่ อาคมสะกดไว้ให้นิ่งไว้ แต่กระนั้นมันก็น่ากลัวสำหรับเขาจนต้องพยายามแข็งใจเดินเข้าไปวาง กระเป๋าไว้ตรงหน้ามัน ณัฐเดชพยายามไม่มองหน้าผีตนนั้น ทันทีที่วางกระเป๋า อาคมที่สะกดมันไว้ก็สลาย ร่างของมันร่วงลงมาพิทักษ์กระเป๋าในท่าเดิมหน้าผีตายโหงอยู่ห่างหน้าณัฐเดชไม่กี่คืบเขาสะดุ้งสุดตัว เหงื่อแตกซิก พยายามแข็งใจ ไม่ส่งเสียงดัง รีบเดินไปที่ประตูทันที แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงคนเดินมาแต่ไกล...เบญจาเดินมาถึงหน้าห้อง ติณห์รีบตามมาเรียกไว้
“เดี๋ยวเบญจา อย่าเพิ่งเข้าห้อง”
เบญจาหันขวับมามองติณห์อย่างสงสัย
“ทำไมคะ พี่ติณห์มาห้ามเบญจาทำไม”
ติณห์ต้องรีบทำเป็นเข้าสวมกอดเบญจาไว้
“กู้ดไนท์จ้ะ...สวีตดรีม...ฝันถึงพี่ด้วย”
เบญจายิ้มออก กอดตอบติณห์
“กู้ดไนท์ค่ะพี่ติณห์”
เบญจาผละจากติณห์เปิดประตูเข้าห้องไป ติณห์ยืนกังวลใจ แต่แล้วตาก็เหลือบมองไปที่นอกบ้าน เห็นด้านหลังณัฐเดชกำลังวิ่งไปทางหลังรีสอร์ทไกลๆ ติณห์ค่อยโล่งอกหันเดินกลับไป

เบญจาเข้ามาในห้องมองไปที่มุมห้อง เดินปรี่เข้าไปยกมือปัด
“ถอยไป”
สิ้นเสียงตวาด...วิญญาณผีตายโหงก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับร่างวิญญาณกระเด็นไปเห็นแต่กระเป๋า วางอยู่ เบญจาเดินไปเปิดกระเป๋า รู้ทันที
“พี่ติณห์คะ...นี่พี่รู้กันกะพวกมันด้วยหรือคะพี่...ช่างเถอะรู้หรือไม่รู้ หนูก็ไม่สน แต่พวก นังแม่มดกระจอกก็โดนกับดักฉันเข้าไปเต็มๆ สมน้ำหน้า ใครเจอผงวิญญาณหลอนฉัน เข้าไป ตายสถานเดียว...ตายอย่างทรมาน สัมผัสพิเศษถอดจิตของแกไม่มีทางช่วยอะไร ได้ ฮ่ะๆ”
เบญจาหัวเราะขึ้นอย่างผู้ชนะ

ไตรรัตน์นอนอยู่บนที่นอน...มีสุคนธรสคอยดูแลใช้ผ้าประคบตาให้
“นายไตวาย...นายไตวายได้ยินฉันมั้ย”
ไตรรัตน์ยังคงนอนนิ่ง ไม่ตอบสนองใดๆ ทำเอาสุคนธรสร้องไห้ออกมา
“ฉันขอโทษ ฉันไม่น่าพานายมาลำบากด้วยเลย นายอย่าเป็นอะไรไปนะ ฉันจะอยู่ได้ยังไง ถ้าไม่มีนาย นายไตวาย ได้ยินมั้ย ฉันรักนายนะ ฉันรักนาย”
สุคนธรสโอบซบอยู่กับอกของไตรรัตน์

อาม่าร้องเรียกหาไตรรัตน์ลั่น
“อาตี๋น้อย...ช่วยอาม่าด้วย....อ๊าก”
“น้ากลัวแล้ว...อ๊าย”
อาอี้โผกอดอาม่าประสานเสียงกันร้องอย่างหวาดกลัว...อาม่ากับอาอี้นั่งกอดกันตัวสั่นระริกหน้าตาหลอนผมเผ้าตั้ง วิญญาณโบตั๋นยืนจังก้าชี้หน้าอยู่กลางห้อง
“เอา..พี่ไตร...ของหนู...ไปซ่อนไว้ที่ไหน...เอาพี่ไตรคืนมา…หนูจะหาพี่ไตรของหนู”
“ไม่มีใครเอาพี่ไตรของหนูไปซ่อนหรอก พี่ไตรหนูเขาไปธุระ เดี๋ยวก็กลับมา” อาอี้บอกเสียงสั่นกลัวสุดๆ
“โกหก หนูไม่เชื่อ เอาพี่ไตรของหนูมานะ...เอามา…อ๊าย” โบตั๋นหวีดร้อง
ทั้ง 2 ตกใจกลัวร้องลั่น ไม่มีแรงที่จะลุกวิ่ง ตอนนั้นเองที่เจ๊หญิงกับเสี่ยจำเริญเปิดประตูห้องเข้ามาแทบช็อคเมื่อเห็นวิญญาณโบตั๋นยืนอยู่
“ห่ะ โบตั๋นลูก...อย่ามาหลอกมาหลอนพวกเราเลย ไปสู่ที่ชอบที่ชอบเถอะลูก” เจ๊หญิงเสียงสั่น
โบตั๋น หยุดกึก โวยลั่น
“หนูไม่ไป...อย่ามาไล่หนูนะ...หนูจะหาพี่ไตร...หนูจะหาของสำคัญของหนู...อ๊าย”
เสี่ยจำเริญรีบบอก
“โบตั๋นแกไม่รับฟังอะไรหรอก รีบพาอาม่ากับอาเสาวภาหนีออกไปก่อนเถอะ เร็วแม่...เร็วลุก...”
เจ๊หญิงร้อนรน
“เร็วๆซีอาเสาวภา...ช่วยพยุงแม่ออกไป”
เสี่ยจำเริญ เจ๊หญิง อาอี้ช่วยกันแบกอาม่าหนีออกไปจากห้องโดยมีเสียงโบตั๋นแหกปากร้อง กรี๊ดๆไม่หยุด

“อย่าหนีหนู ทุกคนอย่าทิ้งหนู ทุกคนอย่ากลัวหนู ทุกคนต้องช่วยหาของสำคัญของหนูสิคะ ทำไมๆต้องหนีโบตั๋นด้วย โบตั๋นไม่ใช่ลูกหลาน ไม่ใช่น้องรักของพี่ไตรเหรอค้า...”

เจ๊หญิง เสี่ยจำเริญ อาอี้ช่วยกันแบกอาม่าวิ่งหนีออกมานอกห้องอย่างเสียขวัญ แต่ก็เจอวิญญาณโบตั๋นโผล่มาขวางทางข้างหน้า

“พี่ไตรของหนูอยู่ไหน “
ทุกคนต้องเบรก
“เฮ้ย...เบรกๆ...ไปทางนี้ดีกว่า”
เสี่ยจำเริญพาทุกคนหนีไปอีกทาง แต่ก็ต้องชะงักเมื่อวิญญาณโบตั๋นโผล่มาดักหน้าอีก
“ทุกคนรังแกหนู...ทอดทิ้งหนู...หนูเสียใจแล้วนะ อย่าให้หนูอารมณ์เสียนะ”
ทุกคนหยุดชะงักอยู่กับที่อย่างหวาดกลัว เสี่ยจำเริญพยายามหาทางหนี
“จะหนีไปทางไหนดีวะเนี่ยะ ไปไหนก็หนีอีไม่พ้น อีตามตลอดเวลา”
อาอี้นึกขึ้นได้
“ห้องพระไง”
เจ๊หญิงกลัวจนงง
“แล้วห้องพระอยู่ทางไหนแล้วล่ะ”
อาม่าชี้อย่าหมดแรง
“อยู่...ทาง...นั้น...ไง”
เสี่ยจำเริญ เจ๊ อาอี้หันไปมอง ดีใจ
“ห้องพระอยู่นั่น ไปเร็วๆ ว่าแล้วทั้ง 3 ก็รีบแบกอาม่าไปที่ห้องพระ”
“จะหนีหนูไปไหน...นี่เล่นกะหนูใช่ไหม เล่นวิ่งไล่จับใช่ไหมค้า...ฮะๆ”

ทุกคนหนีเข้าห้องพระได้ทันก่อนที่โบตั๋นจะมาถึง...ปิดประตูปั้ง นั่งหมดเรี่ยวหมดแรงตามๆกันแต่ต้องสะดุ้งเมื่อมีเสียงโบตั๋นเกาประตูแกรกๆประตูดังขึ้นอีก
“หนูไม่สนุกแล้วน้า...หนูเข้าห้องพระไม่ได้นี่นา...ทุกคนออกมา...เอาพี่ไตรหนูมา...หนูจะหาพี่ไตร...พี่ชายของหนู...หนูจะหาพี่ไตร...ฮือๆ...พี่ไตร”
เสียงขูดๆ ประตูและร้องโหยหวนของโบตั๋นหลอนประสาททุกคนมาก เจ๊หญิงถึงกับปิดหูร้องไห้
“หยุดเรียกหาแต่เจ้าไตรเสียที ฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว ฉันทำอะไรผิดวิญญาณลูกถึงได้ไม่ยอมไปผุดไปเกิด เที่ยวล่องลอยหลอกหลอนคนในบ้านอยู่อย่างนี้ ทำไม...ฉันทำอะไร ผิดฮือๆ”
เสี่ยจำเริญต้องโอบปลอบเจ๊หญิง
“พวกเรารักลูก เราดูแลลูกอย่างดีที่สุดแล้ว แต่พวกเราคงทำกรรมอะไรไว้...แกถึงได้จากพวกเราไปเร็วอย่างงี้”
“ลื้ออย่าโทษตัวเองเลยอาหญิง ถ้าจะผิด พวกเราก็ผิดกันทั้งหมดกี่ปีผ่านมาแล้วที่เราไม่รู้ ว่าวิญญาณของโบตั๋นต้องทนทุกข์ทรมาน ยังไม่ได้ไปเกิด พวกเรานี่โง่จริงๆ” อาม่ารู้สึกผิด
อาอี้นั่งพับเพียบยกมือไหว้ไปที่หน้าโต๊ะหมู่บูชาพระ
“คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองพวกเราด้วย วิญญาณโบตั๋นเฮี้ยนขึ้นทุกวันพวกเราควรจะทำยังไง ถึงจะช่วยหลานได้ อยู่อย่างงี้พวกเราต้องเป็นบ้าแน่ๆช่วยพวกเราด้วยเถอะ เจ้าค่ะ”
เสี่ยจำเริญ เจ๊หญิง อาม่ามองไปที่อาอี้ก้มลงกราบพระ...ทุกคนทุกข์ใจเหมือนกัน

ไตรรัตน์ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนที่นอน รอบๆดวงตาปรากฏรอยดำคล้ำ สุคนธรสนอนฟุบอยู่ไม่ห่างจับมือไตรรัตน์ไว้ตลอดเวลา เธอเฝ้าดูแลอาการเขามาทั้งคืนแทบ ไม่ได้หลับได้นอน ไตรรัตน์เริ่มขยับหน้าไปมา แล้วอยู่ๆก็ลืมตาขึ้น แววตาเปลี่ยนไปจากไตรรัตน์คนเดิม ดูระแวง มองหวาดๆมองไปรอบๆห้อง จนมองมาเห็นสุคนธรสนอนฟุบอยู่ข้างๆ ไตรรัตน์มีสีหน้าตกใจ เหมือนเห็นอะไรบางอย่าง ดึงมือออกอย่างแรง ทำให้สุคนธรสสะดุ้งตื่น งัวเงียขึ้นมอง แล้วก็เห็น ไตรรัตน์มองจ้องเธออยู่...ก็ดีใจ โผกอด
“นายไตวายนายฟื้นแล้ว ฉันห่วงนายแทบบ้าเลย อุตส่าห์เรียนวิชาอาคมกับหลวงปู่มาตั้งเยอะ แต่ฉันกลับช่วยอะไรคนที่ฉันรักไม่ได้เลย ฉันโมโหตัวเองจริงๆได้แต่เฝ้ารอว่าเมื่อ ไหร่นายจะฟื้น ดีใจจริงๆที่นายไม่เป็นอะไร”
ไตรรัตน์กลับไม่ตอบโต้อะไร นอกจากนอนตัวสั่นเทาจนสุคนธรสรู้สึก
“นายไตวาย นายเป็นอะไร ทำไมตัวสั่นอย่างงี้ หนาวเหรอ นายไม่สบายใช่มั้ย”
สุคนธรสเงยยื่นมือไปจะแตะหน้าผาก สายตาไตรรัตน์เห็นสุคนธรสหน้าเป็นผีมีเลือดออกที่ตาที่ปาก กำลังยื่นมือมาจะบีบคอเขา
“อ๊าก...อย่าทำอะไรฉัน...ออกไป”
ไตรรัตน์ผลักสุคนธรสกระเด็นออกจากตัวล้มลงกับพื้น ตัวเองลุกขึ้นยืนผวา
“โอ๊ย...เล่นมุกบ้าอะไรของนายอีกเนี่ยะ ผลักฉันเจ็บนะ คนอุตส่าห์เป็นห่วง อยากเจอดีเหรอ”
สุคนธรสลุกขึ้นชี้หน้า ไตรรัตน์เห็นเป็นผีสุคนธรสกระเด้งขึ้น ยื่นมือที่เล็บยาว คำรามแยกเขี้ยวปรี่เข้าหาหมายจะขย้ำ เขาตกใจกลัว เดินหนีไปรอบๆห้อง
“อย่านะ อย่าเข้ามา ไอ้ผีบ้าออกไป ไป”
สุคนธรสฉุกคิด อาการของไตรรัตน์ชักจะยังไงๆเหมือนคนถูกผีหลอกอย่างที่เคยเห็นจริงๆ
“ผีที่ไหนกันนายไตวาย นี่ฉันเอง สุดที่รักของนายไง”
สายตาไตรรัตน์เห็นเป็นผีสุคนธรสพูด
“ฉันจะฆ่าแก หึๆ”
ไตรรัตน์ร้องลั่นเมื่อสุคนธรสเข้ามาถึงตัว จับตัวเขา
“อ๊าก...แกจะฆ่าฉันทำไม ฉันไปทำอะไรให้แก บอกให้ออกไป๊”
ไตรรัตน์สู้ ด้วยการบีบคอ ทำร้ายสุคนธรสแทน
“นายนั่นแหละ จะฆ่าฉันเหรอ นายไตวาย นายเป็นอะไรของนายเนี่ยะ”
จิตของกำนันพงษ์เดินทะลุผนังห้องเข้ามา ขณะที่สุคนธรสกำลังดิ้นรนให้หลุดจากมือไตรรัตน์ กำนันพงษ์ตกใจ
“ผงอาคมออกฤทธิ์แล้ว”
“ฤทธิ์อะไรของมันกำนัน”
“ทำให้เกิดภาพหลอน ควบคุมสติไม่ได้”
“ปล่อยฉันนะนายไตวาย ฉันหายใจไม่ออก เดี๋ยวฉันก็ตายหรอก บอกให้ปล่อย”
สุคนธรสกำหมัดจะต่อย แต่ก็ไม่กล้าทำ กลัวไตรรัตน์เจ็บ สองมือเปลี่ยนมาประคองหน้าไตรรัตน์

“มองหน้าฉัน...นายไตวาย แล้วตั้งสติ อย่าให้อาคมมันควบคุมสตินาย...มองฉัน ฉันสุดที่รักของนายไง เมียนายเอง ไม่ใช่ผีสางที่ไหน...ตั้งสตินายไตวาย”

สายตาไตรรัตน์ยังเห็นสุคนธรสเป็นผี ที่พยายามจะแยกเขี้ยวยื่นหน้าเข้าขย้ำเขาอย่างหิวโหย ทั้งๆ ที่เขาบีบคอไว้ ไตรรัตน์เลยยิ่งคลั่ง
 
“ฉันจะฆ่าแก...ฉันจะฆ่าแก”
“ไม่มีประโยชน์ พูดอะไรไป เขาก็จะได้ยินเป็นเสียงหลอน ครอบงำสติเขาไปหมด ฉันจะไปตามคนมาช่วย”
ขาดคำจิตกำนันพงษ์หายไปทันที สุคนธรสเริ่มจะหมดลม หมดแรง ขาอ่อน จนทรุดลงกับพื้นโดยมีไตรรัตน์ยังคงบีบคอไม่ยอม ปล่อย
“แกตาย...แกตาย...ฮ่ะๆ”
ณัฐเดชผลักประตูเปิดผัวะเข้ามา
“เฮ้ย...ไอ้ไตร หยุดนะ”
อรวรรณตามเข้ามาเห็นเข้าก็ตกใจ
“ว้าย...ตายแล้วหนูรส”
ติณห์กับญาณิน ตามเข้ามาตกอกตกใจ โดยมีจิตกำนันพงษ์ที่ออกไปตามทุกคน ตามเข้ามาด้วย ทุกคนรีบเข้าไปช่วยแยกไตรรัตน์ออกจากสุคนธรส
“Stopไอ้ไตร…ปล่อยคุณรส” ติณห์เข้าไปแยก
ญาณินดึงแขนไตรรัตน์
“ยัยรสแย่แล้ว...นายไตรปล่อยซี...นี่เมียนายนะ”
ณัฐเดชพยามแยแกไตรรัตน์ออกจากสุคนธรส
“ไอ้ไตร...ฉันบอกให้แกปล่อย...ปล่อยซีโว้ย”
สายตาไตรรัตน์กลับเห็นทุกคนเป็นผีซอมบี้แบบสุคนธรสไปด้วย ทุกคนเข้ามาหมายจะช่วยกันรุมกินโต๊ะเขา ไตรรัตน์ยิ่งกลัวร้องลั่น
“อ๊าก...ผีๆ...มาจากไหนเยอะแยะไปหมดเลย ออกไปนะ อย่าทำอะไรฉัน”
“แกปล่อยยัยรสก่อนซีวะ ถ้าไม่ปล่อยอย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะ...ไม่ปล่อยแน่นะ” ณัฐเดชตัดสินใจ “ขอโทษนะเว้ย ฉันจำเป็นต้องทำ”
ณัฐเดชใช้วิชาการต่อสู้ประจำกายเข้าล็อคไตรรัตน์ทางด้านหลังโดยสอด 2 แขนเข้าใต้รักแร้ไตรรัตน์ แล้วใช้ 2 มือง้างแขนออกจากคอสุคนธรสได้แล้วขยับ 2 มือขึ้นจับล็อคกดท้ายทอยไตรรัตน์
ญาณินกับอรวรรณประคองสุคนธรสที่หายใจเฮือกนอนลงกับพื้น ช่วยกันพัดวี ปฐมพยาบาลขณะที่ติณห์มาช่วยณัฐเดชจับไตรรัตน์ที่คิดว่าเป็นผีบีบคอ ดิ้นรนต่อสู้สุดกำลัง ติณห์เตะขา ไตรรัตน์ทั้ง 2ข้างจนคุกเข่างลงกับพื้น แต่ไตรรัตน์ยังไม่ยอมลงนอนง่ายๆ
“ปล่อยฉันไอ้พวกผีบ้า...ปล่อยซีโว้ย”
“ช่วยกันกดมันลงกับพื้น เร็วไอ้ติณห์” ณัฐเดชบอก
ติณห์เข้าช่วย
“อย่าดิ้นซีเว้ย...”
“บอกว่าอย่าดิ้น เดี๋ยวฉันต่อย” ณัฐเดชขู่
“ฉันไม่กลัวแกหรอกเว้ยไอ้ผีลูกครึ่ง” ไตรรัตน์โวยวาย
ติณห์ชะงัก
“แน้...มันเห็นเรา 2 คนเป็นผีลูกครึ่งด้วยเว้ยเฮ้ย”
สุคนธรสเริ่มดีขึ้น
“ทำไงดีกำนัน...เราจะช่วยนายไตวายยังไงดี”
กำนันพงษ์หน้าเครียด
“ตอนนี้ ฉันยังมืดแปดด้าน ทางที่ดีจับมัดเอาไว้ก่อน ไม่งั้นก็อาละวาดอีกแล้วเราค่อยมาคิดช่วยหาทางกัน”
ณัฐเดชหันมาสั่งติณห์
“อ้าวเฮ้ยไอ้ติณห์ ได้ยินไหมวะ จับมัดมัน”
ไตรรัตน์ดิ้นพล่าน
“ปล่อยซีโว้ยไอ้ผีบ้า...ปล่อยฉัน”
“โธ่...นายไตวาย”
สุคนธรสน้ำตาคลอมองไตรรัตน์ที่กำลังกลัวผีจนคลั่ง ญาณินต้องโอบปลอบเพื่อนไว้

เช้าวันรุ่งขึ้น...ประตูห้องพระค่อยๆเปิดแง้มออก เสี่ยจำเริญค่อยๆโผล่หน้าออกมามองซ้าย
เจ๊หญิงโผล่ขึ้นมาข้างบนหัวมองขวา
“ทางซ้ายปลอดภัย ทางขวาเป็นไงบ้างเธอ”
“เงียบ...สงบ...ไม่มีความเคลื่อนไหว”
อาม่าโผล่มา
“อาโบตั๋นอีคงกลับไปนอนที่ห้องแล้วล่ะ เก็บแรงไว้คืนนี้”
“เก็บแรงไว้ทำไมอาม่า” อาอี้ถามอย่างสงสัย
“ก็เก็บแรงไว้อาละวาดพวกเราต่อไง ถามได้”
อาอี้ร้องลั่น
“อ๊าย”
อาม่ารีบปิดปากอาอี้ทันที
“เธอจะกรี๊ดทำไมห่ะ จะปลุกผีโบตั๋นให้ตื่นขึ้นมาหรือไง อั๊วไม่ไหวแล้วนะสงสัยว่าเรา ต้องถูกหลอกจนหัวโกร๋น จนกว่าอาตี๋น้อยจะกลับมาโน่นแหละ”
“แล้วเมื่อไหร่ไตรกับหนูรสจะกลับมาล่ะหนูรสจะได้มาช่วยหาทางแก้ปัญหาให้อาโบตั๋นหยุดโกรธพวกคนแก่ๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรอย่างเราซะที”
เจ๊หญิงหันขวับมามองหน้าอาอี้
“อ่ะๆ เธอแก่ไปคนเดียวเถอะ อย่ามาเหมารวมฉันไปด้วยนะ”
อาอี้ค้อน
“อุ้ยตาย แม่สาวสิบสี่”
“ยังไงฉันก็ดูดีว่าสาวสี่สิบแหละย่ะ”
อาอี้หันไปฟ้องเสี่ยจำเริญ
“เฮียอ่ะ ฟังเมียเฮียแซะฉันซิ”
เสี่ยจำเริญเหนื่อยใจ
“เมียฉันก็พี่สาวเธอแหละ...มันก็แก่กันหมดนี่ล่ะ จะทะเลาะกันไปเพื่อ...วิ่งหนีผีจนหมดแรงข้าวต้ม ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว”
เจ๊หญิงเห็นด้วย
“นั่นซิ อาม่าก็ต้องกินข้าวกินยา ผิดเวลาเดี๋ยวจะไม่สบายขึ้นมาอีก”
ทั้ง 3 พาอาม่าเดินออกจากห้องพระมาต้องตกใจเมื่อมองไปเห็นชายหน้าผีคนหนึ่งผมยาวพะรุงะรังยืนสะพายย่ามนุ่งชุดลายเสือดาว มือขวาถือ เทียนขนาดเท่าเทียนพรรษา มือซ้ายถือหม้อดิน สักทั้งตัว...ยืนอยู่กลางบ้าน ทั้งสี่สะดุ้งโหยงร้องลั่น
“ห่ะ....ผี…อ๊าก”
“เฮ้ย ผีที่ไหนกันวะ เนี่ยะ...เณรป๋อง” เณรป๋องโวย
ทั้งสี่คนงงๆ
“เณรป๋อง”
เคที่กับแม่ยืนแอบมุมอยู่ เดินเกาะกันออกมา
“หมอผีออนไลน์อันดับหนึ่ง ที่มีแฟนคลับและลูกค้ามากที่สุดในโลกเฟสบุ๊คไงคะ ไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์กันบ้างเลยเหรอเด็ดดี้ ม่ามี้” เคที่อธิบาย
เจ๊หญิงส่ายหน้า
“ไม่เคยอ่ะ เดี๋ยวนี้หมอผียังมีสั่งออนไลน์กันได้ด้วยเหรอ”
“ไม่ต้องพูดมาก นังผีเด็กนั่นอยู่ที่ไหน ถ้าแกแน่จริง ออกมาเจอกับเณรป๋องฮ่ะๆ” เณรป๋องหัวเราะลั่น
เสี่ยจำเริญยังงงๆไม่เข้าใจ
“นี่มันอะไรหนูเคที่ หนูพาหมอผีนี่มาทำไมกัน”
“ก็พามาช่วยปราบผีน่ะซีคะเสี่ยถามได้” ทิพย์บอก
เคที่หันไปบอกเณรป๋อง
“อย่าเสียเวลาเลยอาจารย์ รีบไปจัดการจับมันลงหม้อเถอะ มันจะได้เลิกเป็นมารคอหอยฉัน เวลาเข้ามาในบ้านหลังนี้ ตามเคที่มาค่ะ มันอยู่ที่ห้องโน้น”
เคที่เดินนำไป เณรป๋องสวดบริกรรมค่าถาภาษาเขมรปนลาวไปตลอดทาง เจ๊หญิงรีบขัดขึ้น
“เดี๋ยวหนูเคที่ ฉันยังไม่อนุญาตให้หนูเอาหมอผีมาปราบผีลูกฉันเลยนะ”
ทิพย์สอดขึ้น
“อุ้ยตาย เด็กผีนั่นลูกคุณพี่เหรอคะ มิน่าเฮี้ยนมากๆเลย”
เจ๊หญิงหันขวับมามองหน้า ทิพย์รีบเดินหนีไปทันที เสี่ยจำเริญกังวล
“เร็วซีเธอ ยืนอยู่ทำไม รีบตามไปดู ไม่รู้ไอ้หมอผีบ้านั่นมันจะทำร้ายวิญญาณลูกเรารึเปล่า ถึงแกจะเป็นผี แกก็ยังเป็นเด็ก จะไปสู้รบปรบมืออะไรกับหมอผีได้”

เณรป๋องเดินนำเคที่กับทิพย์ มาหยุดหน้าห้องโบตั๋น
“ห้องนี้ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะท่าน...ปราบผีเด็กนี่ให้อยู่หมัดเลยค่ะ” ทิพย์บอก
เณรป๋องยิ้มเหี้ยม
“รออยู่นี่นะ ถ้าได้ยินเสียงอะไรอย่าเข้าไปเด็ดขาดเพราะฉันอาจกำลังทำให้มันเจ็บปวด แสนสาหัส...อย่าตกใจ”
เคที่กับทิพย์รับคำ
“ค่ะ...ไม่ตกใจค่ะ”
ว่าแล้วเณรป๋องก็เข้าไปในห้อง เจ๊หญิง เสี่ยจำเริญ อาอี๊ อาม่า ตามมาหน้าห้อง เคที่เข้าขวาง
“ป๊า ม้า คะ รอแป๊บนะคะ เณรป๋องไม่เคยพลาดค่ะ”
“แล้วโบตั๋นจะเป็นยังไงบ้างล่ะ ห้ามทำร้ายโบตั๋นนะ ไม่งั้นฉันไม่ยอมแน่” เจ๊หญิงเสียงเฉียบ
ทิพย์ยิ้มหยันๆ
“รับรองค่ะเจ๊หญิง ปลอดภัย เรียบร้อยค่ะ”
ทันใดนั้นเสียงเณรป๋องร้องลั่นออกมาจากในห้อง
“อ๊ากก...”
เคที่รีบบอก
“เสียงเณรป๋องค่ะ ไม่ต้องตกใจค่ะ คงเป็นพิธีกรรมของเขาน่ะค่ะ”
ทิพย์ยิ้มๆ
“คงกำลังกล่อมน้องโบตั๋นอยู่น่ะค่ะ”
เณรป๋องโวยวายดังลั่น
“อ๊าก...ช่วยด้วย...อ๊าก...โอ้ว...”
อาม่าแปลกใจ
“เขากล่อมกันแบบนี้เหรอ”
อาอี๊คิดๆ
“เหมือนกำลังเจ็บปวดมากกว่านะ”
ทันใดเณรป๋องเปิดประตูออกมาหน้าตาเหลือก พยายามจะออกมาจากห้อง แต่ทิพย์และเคที่ ไม่ยอมให้ออกมา ผลักเณรป๋องเข้าไปจนได้
“ออกมาทำไมเณรป๋อง เข้าไปสิ เข้าไปจับมัน” ทิพย์โวยวาย
เณรป๋องหน้าตาตื่นกลัว
“ไม่อาวแล้ว...ปล่อยฉันออกไป”
“ไม่ได้ ห้ามทำพวกฉันเสียหน้าเด็ดขาด” เคที่กระซิบเชิงขู่เณรป๋อง
เณรป๋องหวาดกลัวจะออกไปให้ได้
“ไม่เอา...ช่วยด้วย...”
สองแม่ลูกผลักเณรป๋องเข้าไป ปิดประตูปัง แล้วหันมายิ้มแย้ม
“ไม่มีอะไรค่ะ ทุกอย่างอยู่ในความควบคุม”

ทุกคนมองอาการมึนๆ
 
อ่านต่อตอนที่ 13
กำลังโหลดความคิดเห็น