สุดยอดคนระบอบทักษิณเอาใจ “นายใหญ่” แบบไม่ลืมหูลืมตา คิดจะเล่นงาน กำนันสุเทพ และแกนนำ กปปส. แต่พลิกล็อก กลายเป็นการเรียกแขกให้ผู้ร่วมชุมนุมยกระดับเป็นอภิมวลมหาประชาชนออกมาขับไล่ “ยิ่งลักษณ์”อาจต้องเก็บกระเป๋าตามไปอยู่กับ “พี่แม้ว” ด้วยการใช้หลากหลายยุทธวิธี ทั้งขู่เอากฎหมายจับดะ ตัดท่อน้ำเลี้ยง-อายัดบัญชี กปปส. แถลงข่าวโกหก ใส่ร้ายประชาชน แต่ยิ่งพูดมวลชนยิ่งร่วมกับ “กปปส.” เดินหน้าปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง!
ตั้งแต่การคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมมาจนวันนี้ที่การต่อสู้ของมวลมหาประชาชน 60 กว่าวัน ต้องยอมรับว่าหลายฝ่ายก็ไม่คาดคิด ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมจะเหนียวแน่นแข็งขันที่จะร่วมต่อสู้กับระบอบทักษิณมากขนาดนี้ แม้กระทั่งตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยประเมินไว้ว่า “มวลมหาประชาชน” ที่นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส.จะอยู่ได้ไม่นาน เพราะนิสัยของมวลชนคน กทม.นั้นเบื่อง่าย และถ้าชุมนุมยืดเยื้อก็จะเบื่อและเลิกไปเอง
แต่กระนั้น กลับพบว่าเมื่อไรก็ตามที่กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มคนน้อยลง หรือเริ่มจะแผ่วลงไป “ลิ่วล้อ” พลพรรครักแม้วต่างๆ กลับเป็นผู้ออกมาเรียกแขกให้ กปปส.คนทะลักทะล้นแทบทุกครั้ง เพราะการพูดของพวกเขาเหล่านั้น โดยเฉพาะการเอาอำนาจบาตรใหญ่ทางกฎหมายที่นอกจากจะเอาผิดแกนนำ กปปส.และปิดบัญชีบริจาคด้านอาหารของเวทีราชดำเนินแล้ว ยังบ้าอำนาจเอาผิดไปกระทั่งคนที่เข้าร่วมม็อบ คนที่เป่านกหวีด และข่มขู่ข้าราชการไม่ให้ออกมาเข้าร่วมต่อต้านรัฐบาลในทุกรูปแบบ ซ้ำร้ายหลายๆ คนยังมีการพูดในลักษณะที่เป็นการ “โกหกอย่างหน้าด้านๆ” ที่ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุม หรือ มวลมหาประชาชนกลับรู้สึกโกรธ และจะไม่ยอมให้กับระบอบทักษิณมากขึ้นอีก
เหมือน “ไฟ” ที่ถูกเอา “น้ำมัน” มาราด
ใครบ้างที่ทำงานเอาใจนาย แต่กลับกลายเป็นผลร้ายกลับไปที่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร,นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, ตระกูลชินวัตร, พรรคเพื่อไทย และพลพรรคระบอบทักษิณ เพราะไปเพิ่มเชื้อไฟให้มวลมหาประชาชนออกมาขับไล่ระบอบทักษิณที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ทำหน้าที่ผู้นำรัฐบาลรักษาการมากขึ้นๆ
ลำดับ “ตัวการ-วัน” เรียกแขก
ไล่เรียงตามลำดับเวลา เริ่มตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2556 ที่เป็นชนวนเหตุการออกมาต่อต้านระบอบทักษิณอย่างต่อเนื่องจนถึงวันนี้
31 ตุลาคม 2556 นับเป็นวันสำคัญที่วันนี้เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ นึกย้อนไป อาจจะอยากกลับไปแก้ประวัติศาสตร์ในจุดนี้มากที่สุด เพราะวันนี้นำมาสู่ความเสียหายครั้งใหญ่หลวงที่ไม่ใช่แค่เพียงความเสียหายต่อตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่เสียหายไปถึงตัวเขา พ.ต.ท.ทักษิณในฐานะผู้สั่งการ และผู้ได้รับประโยชน์ทางการเมืองทั้งหมดตัวจริง และยังรวมถึงความเสียหายไปถึง “ตระกูลชินวัตร” ทั้งหมด
วันนี้คือวันที่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่ลากจนพิจารณาเสร็จสิ้นในวาระ 3 ในเวลาตี 4 ของวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 19 ชั่วโมง ด้วยมติ 310 ต่อ 0
รวมทั้งเป็นวันเริ่มต้นที่พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดเวทีและเต็นท์ที่สถานีรถไฟสามเสน เพื่อชุมนุมต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเป็นครั้งแรก
ใครจะคาดเดามาก่อนได้ว่า “การชุมนุมครั้งนี้จะจุดติด” ไทยเฉยกลายเป็นคนที่ออกมาพร้อมเป่านกหวีดไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กันอย่างถล่มทลาย
ด้วยเหตุนี้ การชุมนุมที่สามเสนที่ ส.ส.ประชาธิปัตย์แซวกันเล่นๆ ว่า “สามเสน จะถึงสามแสนไหม” ปรากฏว่าถึง และทำให้ต้องย้ายที่ชุมนุมไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยหลังกำนันสุเทพนำมวลชนเดินเท้าต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมครั้งแรก ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2556 และปักหลักสู้ยาว
ก่อนที่นายสุเทพจะประกาศให้วันที่ 24 พ.ย. 2556 เป็นวันที่ให้ประชาชนออกมาแสดงพลังต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
และเกิดปรากฏการณ์คนล้นราชดำเนิน และเป็นที่มาของคำว่า “มวลมหาประชาชน” ที่ออกมารวมตัวกันมากกว่า 1 ล้านคน มากกว่าเป้าหมายและการคาดการณ์ของนายสุเทพ
ในช่วงนั้น คนในพรรคเพื่อไทยเปิดเผยกับ “ทีม special scoop หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน” หลายครั้ง ระบุชัดว่า เกมนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะวางเฉย เพราะยิ่งนานวัน พ.ต.ท.ทักษิณ เชื่อว่ามวลชนจะเบื่อ เลิกราไป และเงินที่สนับสนุนนายสุเทพจะไม่พอใช้ เพราะม็อบต้องใช้เงินวันละหลายล้านบาท
และก็เริ่มมีทีท่าว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง เมื่อม็อบเริ่มมีกำลังอ่อนลง
แต่ก็กลับฟื้นขึ้น จากการเรียกแขกของ “ลูกน้อง” พ.ต.ท.ทักษิณทั้งสิ้น
นายพานทองแท้ ชินวัตร คือคนแรกที่ออกมาเรียกแขกให้คนมาต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมอย่างถล่มทลายในภายหลัง ด้วยพฤติกรรมของ นายพานทองแท้ ที่มีการโพสต์เฟซบุ๊ก “โกหก” และพยายามชี้ทางสังคมในทำนองว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะถูกถอนออกจากการประชุมสภาฯ ก่อนวันที่มีการประชุมสภาฯ วันที่ 31 ตุลาคม 2556 แต่ปรากฏว่านอกจากไม่มีการสั่งถอยจาก พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ยังมีการสั่ง ส.ส.ให้เดินหน้าผ่านมติวาระ 2 และวาระ 3 พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบ “สุดซอย” เสียอีก
เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ “ไทยเฉย” รู้สึก “ไม่เฉย” เป็นครั้งแรก
จากนั้นเมื่อมีการย้ายที่ชุมนุมมาปักหลักยาวที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2556
ฝ่ายเอาใจนายก็จัดการดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในคดี 99 ศพกรณีการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553
เพิ่มองศาร้อนให้การเมืองไทยมากขึ้นไปอีก
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คือคนถัดมาที่ถือเป็นหนึ่งในผู้เรียกแขกให้คนต้านรัฐบาลมากขึ้น โดยเฉพาะความพยายามของนางสาวยิ่งลักษณ์ที่แถลงข่าวทำนองว่า ฝ่ายบริหารไม่ได้เกี่ยวข้องกับการพิจารณาของนิติบัญญัติ และพยายามเอาตัวเองออกมานอกความขัดแย้ง โดยแถลงการณ์เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2556 ก็มีเนื้อหาชัดเจนที่ระบุให้ประชาชนหันหน้าเข้ามาคุยกันเพื่อความปรองดอง โดยไม่ได้สนใจว่าตนเองนั้นเป็นคนที่ถูกมวลมหาประชาชนออกมาไล่ออกจากตำแหน่งเลย และไม่ได้รู้สึกว่าการผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมโดยไม่สนใจเสียงส่วนน้อย หรือไม่สนใจว่าจะเป็นการล้างผิดให้คดีการทุจริตคอร์รัปชันแต่อย่างใด ยิ่งทำให้คนทนไม่ไหว
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในปัจจุบัน ถือเป็นตัวจักรสำคัญในการเพิ่มจำนวนให้มวลมหาประชาชน ซึ่งกล่าวในช่วงเดียวกันว่าหากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่มีปัญหาตกไปก็จะเสนอร่างใหม่เข้าสภาโดยมีเนื้อหานิรโทษกรรมเฉพาะผู้ถูกกระทำคือ คนเสื้อแดง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เท่านั้น ไม่รวมผู้สั่งฆ่าประชาชน คือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
คำพูดของนายเฉลิม เป็นการตอกย้ำให้เห็นความอหังการของคนในระบอบทักษิณ ที่เชื่อว่ายึดอำนาจเบ็ดเสร็จสามารถจัดการและบันดาลได้ทุกอย่างตามที่นายใหญ่สั่ง ส่งผลให้มวลชนที่เคยเป็นไทยเฉยเกิดความรู้สึกว่าจะปล่อยให้ประเทศชาติอยู่ในเงื้อมมือของคนในระบอบทักษิณต่อไปไม่ได้ เพราะคนเหล่านี้สามารถใช้อำนาจผิดๆ ล้างผิดให้กับตนและพวกพ้องได้ชนิดเย้ยฟ้าท้าดิน
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์และแกนนำ นปช. เป็นอีกผู้หนึ่งที่มักเรียกแขกให้ กปปส. โดยวันที่ 16 พฤศจิกายน 2556 หลังวันที่นายสุเทพได้ขอมติมวลชนยกระดับม็อบต่อต้านระบอบทักษิณ นายณัฐวุฒิออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนว่า ประชาธิปัตย์กำลังพยายามฆ่าตัวตาย การยกระดับกี่ครั้งก็ไม่มีความหมาย เพราะไม่สามารถยกระดับความชอบธรรมในการชุมนุมได้ วันนี้ประชาธิปัตย์เดินเลยเส้น เล่นเลยธง ผู้ชุมนุมควรเป่านกหวีดใส่พรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังล้ำหน้า หรือเรียกว่าออฟไซด์ไปแล้ว
วันเดียวกัน “นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด” รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เรียกแขกเพิ่มให้กำนันสุเทพอีก ด้วยการขู่จะดำเนินคดีทางกฎหมายกับนักวิชาการ ดารา นักร้อง ที่ขึ้นเวทีต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม
17 พฤศจิกายน 2556 นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนมีคำสั่งมอบหมายให้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ (ระดับ 9) ดีเอสไอ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนเรื่องของท่อน้ำเลี้ยง โดยจะถอดเทปการอภิปรายของแกนนำผู้ชุมนุมและตรวจสอบการสนับสนุนม็อบของกลุ่มท่อน้ำเลี้ยง แถมเคยออกแถลงการณ์เตือนแกนนำม็อบและกลุ่มท่อน้ำเลี้ยงว่าการปลุกระดมม็อบให้หยุดงาน ไม่จ่ายภาษี หรือขับไล่รัฐบาลล้วนเป็นความผิดตามมาตรา 116 และ 117 ประมวลกฎมายอาญา ในหมวดว่าด้วยความมั่นคงแห่งรัฐทั้งสิ้น โดยกลุ่มคนที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงจะมีความผิดด้วยเพราะเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุน
แต่ผลตรงกันข้าม มวลมหาประชาชนกล้าหาญชาญชัย เดินหน้าบริจาคให้กับกำนันสุเทพกันแบบเห็นๆ โดยไม่เกรงกลัวคำสั่งของดีเอสไอแต่อย่างใด
ส่วน นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ แถลงข่าวที่พรรคเพื่อไทย ขู่เอาผิดแกนนำม็อบ โดยจะเอาเทปปราศรัยไปตรวจสอบในวันที่ 18 พฤศจิกายน
จากนั้นนายธาริต ยังประกาศเอาผิดคนเป่านกหวีดว่าเป็นการผิดกฎหมาย และหากพบบุคคลใดแสดงอาการขับไล่ด้วยการเป่านกหวีด จะดำเนินคดีอาญากับทุกราย เพราะถือว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 370 ฐานส่งเสียง ทำให้เกิดเสียง หรือกระทำอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันควร และมาตรา 397 ฐานรังแก หรือข่มเหงต่อหน้าธารกำนัลให้ได้รับความอับอาย ซึ่งมีโทษทั้งจำทั้งปรับ
การประกาศจับ “คนที่เป่านกหวีด” ไล่ระบอบทักษิณครั้งนี้ของนายธาริต ถือเป็นการเรียกแขกครั้งใหญ่ที่สุดในการระดมพลของนายสุเทพในรอบแรกวันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 จนทำให้คนล้นทะลักราชดำเนินกว่า 1 ล้านคน เกินเป้าที่นายสุเทพวางไว้อย่างถล่มทลาย
ช่วงเวลานั้นโลกโซเชียลมีเดีย มีการล้อเลียนดีเอสไอกันมาก ด้วยการส่งข้อความล้อเลียนว่าเป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีนกหวีด
ชาวรามคำแหงเดินหน้าสู้ระบอบทักษิณ
การสำแดงพลังของมวลชนบนถนนราชดำเนินนั้น ทำให้สังคมโลกรับรู้แล้วว่า คนไทยจำนวนมากเกิดความรู้สึกอึดอัดกับระบอบทักษิณมีมากเพียงไร เพราะเป็นการรวมพลังที่ใช้หลักอหิงสาและมีเพียงนกหวีดเท่านั้นที่เป็นอาวุธในการต่อสู้ครั้งนี้ และมวลมหาประชาชนที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน ทำให้แกนนำ กปปส.มีพลังที่จะยกระดับและยืนหยัดต่อสู้กับระบอบทักษิณต่อ โดยกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงมีการระดมคนเสื้อแดงมาชุมนุมกันที่สนามราชมังคลากีฬาสถานในปลายเดือนพฤศจิกายน จนเป็นเหตุให้มีความวุ่นวายจาก “นักรบชุดดำ” ที่ใช้อาวุธหนักลอบยิงนักศึกษารามจนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2556 ที่ภายหลังอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเปิดเผยว่าได้พยายามขอความช่วยเหลือจากสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก แต่ได้รับการปฏิเสธเนื่องจากอ้างว่า สถานการณ์ไม่ปลอดภัยและตำรวจจะได้รับอันตราย เป็นเหตุให้ทหารต้องส่งกองกำลังเข้ามาช่วยพานักศึกษารามออกจากมหาวิทยาลัยด้วยตนเองในวันรุ่งขึ้น
เหตุการณ์นี้สร้างความโกรธแค้นให้กับนักศึกษาราม ที่เป็นนักศึกษาปัจจุบัน และศิษย์เก่าที่รักสถาบันจำนวนมาก และคนกลุ่มนี้ได้ประกาศตัวเข้าร่วมต่อสู้กับ กปปส.จนกว่าจะได้รับชัยชนะด้วย
จากนั้น แม้ว่ามวลมหาประชาชนจะออกมาขับไล่รัฐบาลจำนวนมากถึง 1 ล้านคน รัฐบาลก็ยังอ้างความชอบธรรมที่มาจากการเลือกตั้ง และได้รับคนสนับสนุนกว่า 15 ล้านคนมาอ้าง ทำให้การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลยกระดับการชุมนุม มีการเคลื่อนไปปิดหน่วยราชการหลายแห่งตั้งแต่ปิดกระทรวงการคลัง ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ ฯลฯ แต่การกดดันรัฐบาลก็ไม่ได้ผล เมื่อนางสาวยิ่งลักษณ์ไม่ยุบสภา และไม่ลาออก ทำให้นายสุเทพประกาศการเดินขบวนครั้งใหญ่เป็นครั้งที่ 2 ในวันที่ 9 ธ.ค. 2556 จำนวนมากถึง 9 เส้นทาง โดยนายสุเทพจะเดินนำทัพจากศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ มาที่หน้าทำเนียบด้วยตนเอง
“ปึ้ง-จารุพงศ์” บีบ ขรก.ห้ามร่วม กปปส.
ก่อนหน้าวันที่ 9 ธ.ค.ที่นายสุเทพลั่นกลองรบครั้งใหญ่ คนเรียกแขกคนสำคัญของรัฐบาลยังเป็น “ปึ้ง” นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ในฐานะประธาน ศอ.รส.ร่อนหนังสือด่วนมากถึงข้าราชการระดับสูงในสังกัดรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจให้เจ้าหน้าที่ป้องกันสถานที่ราชการไม่ให้ถูกยึดและถูกปิดล้อมโดยกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.
ส่วน นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ว่าในวันดังกล่าวให้ปฏิบัติงานตามปกติ ห้ามหยุดงาน และให้เตรียมข้อมูลชี้แจงกับประชาชนที่จะมาชุมนุมปิดศาลากลางให้เข้าใจว่า ข้าราชการต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชน รวมทั้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เก็บหลักฐานทุกอย่าง เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่บุกรุก หรือทำลายทรัพย์สินของราชการ หากเกิดความรุนแรงเสียหายด้วย
ขณะที่ พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) แถลงถึงการเตรียมตัวเคลื่อนขบวนของกลุ่ม กปปส.ในวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า มีกลุ่มมือที่ 3 สอดแทรกเข้ามาสร้างความวุ่นวายเป็นระยะเหมือนเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา ที่มีผู้ใช้อิฐตัวหนอนปาใส่รถของกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมได้รับความเสียหาย และมีการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง และในวันที่ 9 มีการเชิญทูต องค์กรอิสระ กลุ่มสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชน เข้าร่วมสังเกตการณ์การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ศอ.รส.ด้วย
พล.ต.ต.ปิยะ คนนี้ยังแถลงตัวเลขการเข้าร่วมการชุมนุมของมวลชน กปปส.ต่ำกว่าความเป็นจริงทุกครั้งด้วย
สอดรับกับนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่ออกมาปูดข้อมูลว่า ทางกลุ่ม กปปส.มีการระดมกลุ่มฮาร์ดคอร์ จากพื้นที่ภาคใต้ จำนวน 5,000 คน อาทิ จ.สงขลา สุราษฎร์ฯ และ จ.ชุมพร เดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ และจะมีการสร้างสถานการณ์ ยึดสถานที่ลักษณะคล้ายเหตุการณ์ 6 ตุลาและ 14 ตุลา เพื่อนำไปสู่การล้มรัฐบาล พร้อมทั้งท้าทายนายสุเทพว่า
“หากวันที่ 9 ธ.ค.นายสุเทพไม่สามารถเผด็จศึกได้ ต้องเข้าไปมอบตัว ข้อหากบฏและผิดกฎหมายอาญา และวันที่ 12 ธ.ค. ต้องไปศาล อย่าอ้างว่าไปไม่ได้และชุมนุมต่อ ซึ่งประชาชนจะได้เห็นว่า สิ่งที่นายสุเทพสร้างเงื่อนไข ด้วยการอ้างประชาชน เพื่อมาปกป้องตัวเอง ดังนั้นชื่อ กปปส. ย่อมาจาก กองกำลังปกป้องสุเทพ”
ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก Thaksin Shinawatra ระบุว่า ได้เฝ้าดูเหตุการณ์การปลุกระดมมวลชนของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ โดยเฉพาะประเด็นความจงรักภักดี ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณยืนยันว่าไม่เคยคิดกล่าวว่าร้ายเจ้านายทุกพระองค์ พร้อมระบุว่าถูกกล่าวหาให้ร้ายมาโดยตลอด และรู้สึกขมขื่นต่อการถูกใส่ร้าย
“พี่น้องชาวไทยที่เคารพรัก ผมเฝ้าดูเหตุการณ์การปลุกระดมมวลชนของคุณสุเทพและพรรคประชาธิปัตย์อย่างใกล้ชิด ผมขอกราบเรียนว่าการเมืองไทยโหดร้ายและเลือดเย็นมาก ผมถูกใส่ร้ายมาตลอดโดยเฉพาะประเด็นความไม่จงรักภักดี ผมขอยืนยันว่าผมไม่เคยแม้แต่จะคิดกล่าวว่าร้ายเจ้านายทุกพระองค์ เพราะผมเป็นคนที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบรมวงศานุวงศ์มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น การได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ประกอบพิธีสมรสพระราชทานให้ผมและคุณหญิง
สมเด็จพระเทพรัตนฯ เสด็จทอดพระเนตรการยิงดาวเทียมไทยคมดวงแรก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินเปิดสถานีภาคพื้นดินควบคุมและพระราชทานนามไทยคมให้แก่ดาวเทียม พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นจตุตถจุลจอมเกล้าฝ่ายในให้คุณหญิงอ้อ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุติจุลจอมเกล้าวิเศษให้กับผมเป็นกรณีพิเศษ และยังทรงมีพระเมตตาต่อผมให้ได้มีโอกาสถวายงานต่างๆ รับใช้เบื้องพระยุคลบาทอีกมากมาย
ดังนั้นนอกเหนือจากความเป็นเจ้านายในพระบรมราชจักรีวงศ์ที่ผมและครอบครัวรักและศรัทธา ยังเป็นความกตัญญูส่วนครอบครัวของผมด้วย พี่น้องจะรักจะเกลียดเป็นสิทธิของพี่น้อง แต่โปรดอย่าหลงเชื่อคนที่ยืมมือท่านเข้าสู่อำนาจโดยกระบวนการโกหกหลอกลวงตัดต่อเรื่องผม กล่าวหาผมสร้างภัยต่อเจ้านายที่ผมจงรักภักดี กล่าวหาว่าผมอยากเป็นประธานาธิบดี ทั้งที่ไม่มีความจริงเลยแม้แต่น้อย
ผมถูกกล่าวหาให้ร้ายมาโดยตลอด โดยผมต้องอยู่ต่างประเทศ จากครอบครัวมาถึง 7 ปีแล้ว ทั้งๆ ที่ผมเพียงอยากรับใช้ประเทศ พี่น้องประชาชน และถวายงานเจ้านายพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์เท่านั้น อย่าโหดร้ายกับผมเลยครับ ผมก็คือคนไทยที่รักชาติ รักประชาชน และรักเจ้านายไม่น้อยกว่าท่านทั้งหลายครับ ด้วยความขมขื่นต่อการถูกใส่ร้าย”
“3 รัฐมนตรี” ทำเพื่อนาย!
วันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ยังเป็นวันที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดด้วย ทำให้พลังของกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.มีกำลังขึ้นอีก ซึ่งยิ่งพลพรรคเพื่อไทย รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ จะออกมาพูดอย่างไรนอกจากไม่มีใครฟังแล้วยังไม่มีใครเชื่อ และยังมีการเข้าร่วมกับม็อบของกำนันสุเทพในการรวมพลครั้งที่ 2 ในวันที่ 9 ธันวาคมนี้กว่า 5 ล้านคน
โดยวันที่ 9 ธันวาคมนี้เองการที่นางสาวยิ่งลักษณ์ประกาศยุบสภาเพื่อหยุดการเดินขบวนขับไล่รัฐบาล แต่ปรากฏว่าไม่สามารถหยุดยั้งมวลมหาประชาชนที่หลั่งไหลกันมาชุมนุมล้อมทำเนียบรัฐบาลอย่างมหาศาลได้เลย
หลังจากประกาศยุบสภาแล้ว นายสุเทพในฐานะแกนนำ กปปส.ยังยืนยันว่าต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง และเป้าหมายของชัยชนะครั้งนี้คือ “ตระกูลชินวัตร” ต้องออกจากอำนาจ โดยระบุให้นางสาวยิ่งลักษณ์ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เปิดทางให้มีการตั้งสภาประชาชน โดยไม่มีนักการเมืองเข้าร่วมเพื่อปฏิรูปประเทศ แต่จากนั้นจนวันนี้กลับไม่ได้รับเสียงตอบรับจากตัวนางสาวยิ่งลักษณ์แต่อย่างใด
อีกทั้งตัวนางสาวยิ่งลักษณ์เอง นอกจากจะไม่สนใจข้อเสนอของประชาชนต่อต้านรัฐบาลแล้ว ยังพยายามนำเสนอสภาปฏิรูปประเทศ 499 คนเสียเองในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2556 แต่ยังย้ำให้มีการเลือกตั้งไปก่อน ซึ่งมวลชนที่ต่อต้านรัฐบาลไม่เห็นด้วย และไม่รับข้อเสนอนี้
ที่สำคัญ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ยังออกมาแถลงข่าวเปิดเผยด้วยว่าแม้นายกฯ จะยุบสภา แต่ในการเลือกตั้งครั้งใหม่ นางสาวยิ่งลักษณ์ก็จะยังลงสมัคร ส.ส.ของพรรคอีกอยู่ดี
โดยที่นายชัยเกษม นิติสิริ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงข่าวว่า ที่ประชุมพิจารณาทางกฎหมาย รวมถึงคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุว่าตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส.ต้องการให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากการรักษาการ โดยอ้างมาตรา 6 และ 7 ซึ่งองค์พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร และกำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แล้วนั้น ที่ประชุมเห็นว่า ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย คณะรัฐมนตรีจะต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งต่อไป จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่าการจัดตั้งสภาประชาชนของ กปปส.ไม่มีกฎหมายรองรับ
ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในวันที่ 10 พฤศจิกายนซ้ำว่า การขอให้นายกฯ ลาออกเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ และเรียกร้องให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล สั่งการให้ตำรวจไปจับกุมนายสุเทพ ภายใน 48 ชั่วโมง หากพบแล้ว ไม่ดำเนินการจับกุมจะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และตัวเองจะไปประท้วงที่หน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล และร้องเรียนกับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติด้วย
11 ธันวาคม 2556 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายพิชิต ชื่นบาน เข้าร้องทุกข์ต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ให้ดำเนินคดีกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพวกในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ฐานล่วงละเมิดพระราชอำนาจ ซึ่งนายธาริตบอกว่าคดีของนายสุเทพทั้งหมดเบื้องต้นมี 40 คดี และจะโอนกรณีหมายจับทั้งหมดของนายสุเทพมาไว้ที่ดีเอสไอเพื่อยกระดับเป็นคดีพิเศษ
12 ธันวาคม 2556 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้เดินทางไปตามนัดอัยการที่ศาลอาญาเพื่อนำตัวส่งฟ้องศาลข้อหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผลสมัยเป็นนายกรัฐมนตรีสั่งใช้กำลังสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงปี 2553 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งหลังสอบปากคำศาลให้ประกันตัวกลับบ้านได้ ตีราคาค้ำประกัน 600,000 บาท สั่งห้ามออกนอกประเทศ นัดตรวจพยานหลักฐานคดีวันที่ 27 มี.ค. 2557 ด้าน “สุเทพ” ไม่ไปศาล ส่งทนายขอเลื่อนส่งฟ้องไปเป็นวันที่ 16 ม.ค. ปี 57 อัยการเตรียมถกนัดวันส่งฟ้องใหม่
“ปู” แย่งจัดเวทีปฏิรูปเอง
ขณะที่นางสาวยิ่งลักษณ์ แถลงการณ์ผ่านทีวีพูลวันที่ 13 ธันวาคม 2556 แสดงความเห็นด้วยกับการปฏิรูปแต่ต้องทำควบคู่ไปกับการเลือกตั้ง นำไปสู่การเดินหน้าจัดการการเลือกตั้ง โดยนางสาวยิ่งลักษณ์มีการเดินทางไปหาคณะกรรมการ กกต.ชุดใหม่เพื่อให้มีการจัดการเลือกตั้งให้เกิดขึ้นให้ได้
16 ธันวาคม นายพานทองแท้ ชินวัตร โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก Oak Panthongtae Shinawatra ดังนี้
“นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” ตอนนี้ไม่ต่างอะไรจาก “หมาป่าที่เอาชุดขนแกะมาสวมใส่” ครับ
เป็น ส.ส.มา 35 ปี ถอดหัวโขน ส.ส.ออกได้ไม่กี่วัน “ทำเนียน” บอกว่าตัวเองแอนตี้ระบบการเมือง นักการเมืองชนะเลือกตั้งเพราะการซื้อเสียง ต้องห้ามนักการเมืองทั้งหมด(นอกจากตัวเอง) มายุ่งเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล ปลุกม็อบมาบังคับให้ประเทศไทยเปลี่ยนจาก ระบอบเลือกตั้งไปเป็น “ระบอบเทือกตั้ง” ฟังแล้วผมนึกถึงสำนวนที่หลายประเทศนิยมใช้กันคือ
“The Wolf in Sheep’s Clothing” หรือ “หมาป่าคลุมชุดขนแกะ” ครับ
ธาริตเร่งออกหมายจับแกนนำ-อายัดทรัพย์
19 ธันวาคม 2556 ดีเอสไอได้จัดการเป่านกหวีดเรียกแขก โดย นายธาริต ออกมาตรการเร่งด่วน 2 เรื่องคือ 1. การออกหมายเรียกแกนนำ 17 คนประกอบด้วย 1. นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย 2. นายชุมพล จุลใส 3. นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ 4. นายอิสสระ สมชัย 5. นายวิทยา แก้วภราดัย 6. นายถาวร เสนเนียม 7. นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ 8. นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ 9. นางอัญชลี ไพรีรัก 10. นายนิติธร ล้ำเหลือ 11. นายอุทัย ยอดมณี 12. ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ 13. พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ 14. นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 15. นายยศศักดิ์ โกไศยกานนท์ 16. พ.ต.ท.ศุภวัฒน์ สุปิยะพาณิชย์ และ 17. นายสมบูรณ์ ทองบุราญ ให้มารับทราบข้อกล่าวหาฐานร่วมกันเป็นกบฏ และ 2. ดีเอสไอจะออกคำสั่งอายัดบัญชีแกนนำรวม 18 คน คือ 17 คนที่ถูกออกหมายเรียก และนายสุเทพ ที่ถูกออกหมายจับไป
แต่ยิ่งธาริตออกมาฟาดงวงฟาดงาเท่าไร
กลับพบว่าคนยิ่งไม่กลัว และชัดเจนว่าจะยิ่งไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของระบอบทักษิณ ไม่อยู่ภายใต้นักการเมืองที่โกงชาติโกงแผ่นดินอีกต่อไป
ดังนั้นในวันที่ 22 ธ.ค. 2556 ที่เป็นการเรียกชุมนุมครั้งใหญ่ครั้งที่ 3 เพื่อทดลองชัตดาวน์ กทม.ครั้งแรก มวลชนก็ยังเข้าร่วมกับ กปปส.อย่างล้นทะลักเหมือนเดิม
ก่อนที่วันที่ 26 จะเกิดเหตุการณ์การปะทะอย่างรุนแรงของตำรวจกับกลุ่มผู้ชุมนุม คปท.ที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ที่ตำรวจมีภาพใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม โดยมีการยิงแก๊สน้ำตา กระสุนปลอม และยังปรากฏกระสุนจริงจากอาวุธปืน ปรากฏภาพถ่ายตำรวจซุ่มอยู่บนดาดฟ้าอาคารแรงงาน ปรากฏภาพคลิปตำรวจทุบรถพยาบาลอาสาทั้งๆ ที่ในรถมีผู้หญิงที่อาสาเป็นพยาบาลที่เป็นภาพเผยแพร่ไปทั่ว
แต่วันที่ 28 ธันวาคม 2556 กลับปรากฏว่า นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ใช้สื่อฟรีทีวี โดยการแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแบบพูดไม่ตรงความจริง และยังใส่ร้ายผู้ชุมนุมโดยใจความส่วนหนึ่งระบุว่า กลุ่มผู้ชุมนุมยิงขัดขวางการนำ ด.ต.ณรงค์ ปิติสิทธิ์ ที่ถูกยิงเพื่อไปส่งโรงพยาบาล
“เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตอนที่ ด.ต.ณรงค์ ปิติสิทธิ์ ถูกยิง เจ้าหน้าที่พยายามช่วยชีวิตและลำเลียงผู้บาดเจ็บออกจากพื้นที่เพื่อมารักษา แต่ถูกขัดขวางโดยการยิงปืน แม้กระทั่งลำเลียงขึ้นเฮลิคอปเตอร์ก็ยังมีการยิงใส่ โชคดีที่ไม่ถูกห้องเครื่อง เรื่องดังกล่าวไม่ต้องพูดถึงหลักกฎหมายสากล ให้นึกถึงหลักมนุษยธรรมก็พอแล้ว เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้นบนแผ่นดินไทย ไม่ควรใช้ความรุนแรงแม้กระทั่งกับคนที่เข้าไปช่วยชีวิตคนที่ได้รับบาดเจ็บ” นพ.ประดิษฐ์กล่าว
เรื่องนี้ได้รับการวิจารณ์จากทุกฝ่าย โดยเฉพาะจากฝ่ายผู้ชุมนุมเองที่บาดเจ็บจากการกระทำของตำรวจ และไม่มีอาวุธ ขณะที่ พญ.โรจนี เลิศบุญเหรียญ จากโรงพยาบาลรามาธิบดี ได้เผยแพร่ข้อความที่เฟซบุ๊กชื่อ Rojjnee Lertbunrian เข้าไปเป็นหนึ่งในแพทย์อาสาที่ช่วยเหลือผู้ชุมนุมจากเหตุปะทะบริเวณสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ได้แสดงความเห็นต่อการแถลงของ นพ.ประดิษฐ์ เรื่องมวลชนขัดขวางการนำ ด.ต.ณรงค์ ส่งโรงพยาบาลและมีการยิงปืนใส่ ว่า ในฐานะที่เป็นแพทย์อาสาที่ดินแดง ได้เห็นเหตุการณ์เองขออธิบายความจริงดังนี้
“1. แพทย์อาสาที่ออกไปในที่เกิดเหตุเค้าไปด้วยใจอาสา ไม่ได้รับคำสั่งใคร และเค้าเห็นคุณค่าของทุกชีวิต ไม่ว่าประชาชนหรือตำรวจที่เป็นผู้น้อยที่มาปฏิบัติหน้าที่ 2. ประชาชนอยู่นอกประตูแล้วโดนแก๊สน้ำตา กระสุนยาง อยู่ มีการขนย้ายตำรวจที่บาดเจ็บด้วยเฮลิคอปเตอร์กลางสนามกีฬา ไม่ทราบว่าประชาชนจะขัดขวางการขนส่งคนไข้ได้ไง ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด3. ทุกครั้งที่เราส่งคนไข้ออกไปด้วยรถพยาบาล ประชาชนจะช่วยแหวกทางให้รถโรงบาลออกอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้สนใจว่าคนไข้ในรถคือใคร 4. การคุกคามหน่วยแพทย์พยาบาลที่อาสากู้ชีพถูกยิงขณะดูแลคนเจ็บในรถพยาบาลและรุมทุบทำร้ายรถของอาสาพยาบาลที่เข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ ใครเป็นคนทำ? อยากดู clip ไหม อนึ่ง ข้อมูลจากการรายงานจำนวนผู้บาดเจ็บทั้งศูนย์เอราวัณ กทม. และศูนย์ส่วนหน้า สธ.ยังคงให้ข้อมูลว่ามีการเสียชีวิตทั้งหมด 3 ราย คือ ด.ต.ณรงค์ ปิติสิทธิ์ นายวสุ สุฉันทบุตร และรายล่าสุดคือนายจำเรียง จิตรวัตร การ์ด คปท. ไม่ได้มีรายงานตำรวจเสียชีวิต 2 รายแต่อย่างใด”
สถานการณ์ความรุนแรงของฝ่ายตำรวจ ทั้งเรื่องที่ปรากฏและข่าวการเคลื่อนย้ายกองกำลังและอาวุธเตรียมพร้อมก่อความรุนแรงตั้งแต่ช่วงวันขึ้นปีใหม่ได้ลากยาวมาจนถึงทุกวันนี้
วันที่ นายสุเทพ แกนนำ กปปส.ประกาศจะชัตดาวน์ กทม. ที่เป็นศึกใหญ่ที่สุดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ในวันที่ 13 มกราคมนี้
พลพรรคคนรักทักษิณก็ยังทำงานอย่างหนักเพื่อเอาใจนาย
แต่หารู้ไม่ ว่ายิ่งพูด ยิ่งช่วยเรียกแขก
โดยเฉพาะคนคนนี้ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่มีมติขออนุมัติศาลออกหมายจับแกนนำ กปปส. 33 ราย โดยพนักงานสอบสวนจะประชุมชุดปฏิบัติการย่อย 10 ชุด เพื่อเตรียมยื่นคำร้องขอหมายจับแกนนำ กปปส.ทั้ง 33 ราย และจะมีการออกหมายเรียกแกนนำ กปปส.แถวที่ 3 อีก 10 กว่าคนมารับทราบข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 กรณีร่วมกันเป็นกบฏ และมาตรา 116, 215 ในวันที่ 6 มกราคม 2557 กรณียุยงให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมาย และมั่วสุมเพื่อก่อความไม่สงบในบ้านเมือง ประกอบด้วย
1. นายไทกร พลสุวรรณ 2.นายสมเกียรติ หอมละออ 3.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 4.หลวงปู่พุทธอิสระ 5.นายสาธิต แก้วหวาน 6.นายสาธิต เซกัล 7.นายกิตติชัย ใสสะอาด 8.นายคมสันต์ กองศิริ 9.นายพิเชฐ พัฒนโชติ 10.นายมั่นแม่น มุ่งการดี 11.นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และ12.นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผอ.สำนักข่าวทีนิวส์ ส่วนแกนนำที่เคยเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จำนวน 9 ราย ที่ดีเอสไอเคยขอศาลถอนประกันเนื่องจากฝ่าฝืนเงื่อนไขการประกันตัว และศาลได้นัดพิจารณาในวันที่ 23 กุมภาพันธ์นี้ ดีเอสไอจะยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนถอนประกันเร็วขึ้น
ขณะที่คนที่กำลังจะได้รับการปูนบำเหน็จจากระบอบเพื่อแม้วคนสำคัญที่ได้รับคัดเลือกเป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 5 คือ นายชัยเกษม นิติสิริ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็ได้แถลงการณ์ย้ำเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส.ในวันที่ 13 มกราคม โดยผู้ที่เข้าร่วมจะเข้าข่ายการเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุนการกระทำผิดต่อกฎหมายฐานเป็นกบฏ รวมทั้งขู่ว่าจะมีอายุความนานถึง 20 ปี
ส่วน “ปึ้ง” ไม่น้อยหน้า 6 มกราคมเช่นเดียวกัน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ประกาศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ในประเทศต่างๆ จำนวน 92 แห่ง จาก 67 ประเทศ เกี่ยวกับจำนวนคนไทยที่ลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร จำนวน 143,800 คน จากจำนวนคนไทยในต่างประเทศทั้งหมด 1,039,032 คน แสดงให้เห็นว่ามีคนไทยในต่างประเทศอยากเห็นการเลือกตั้งมีขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ และเชื่อว่าการเลือกตั้งเป็นทางออกของประเทศไทยในขณะนี้
ดังนั้น การเรียกร้อง ชุมนุมต่างๆ ของกลุ่ม กปปส.ที่นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ตั้งแต่การขัดขวางการรับสมัครเลือกตั้ง ไปจนถึงการประกาศปิดกรุงเทพมหานคร เป็นการสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสังคมไทย และสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ
จารุพงศ์ขู่ฟัน “กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน” ร่วมม็อบ
9 มกราคม 2556 นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รักษาการ รมว.มหาดไทย แถลงข่าวกรณีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จ.สุราษฎร์ธานี และชุมพร ขึ้นเวที กปปส. ว่า กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ การเข้าร่วมกระทำการในลักษณะฝ่าฝืนกฎหมายทั้ง ๆ ที่สวมเครื่องแบบราชการอาจเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน ม.95 ที่กำหนดให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านต้องรักษาชื่อเสียงมิให้เสื่อมเสีย และ ม.82 ที่ห้ามมิให้ใช้อำนาจหน้าที่หาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น จึงสั่งการให้ ผวจ.และนายอำเภอไปตรวจสอบกรณีดังกล่าว หากผิดจริงก็ต้องพิจารณาบทลงโทษ และขอเตือนกำนัน ผู้ใหญ่บ้านทั้งหลายให้คิดอย่างรอบคอบก่อนจะทำอะไร
9 มกราคม 2556 นายธาริต มอบหมายให้ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ไปยื่นคำร้องขอศาลอาญาอนุมัติหมายจับแกนนำ กปปส. 33 คน ที่ไม่เข้ารับทราบข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการชุมนุม ตามหมายเรียกของดีเอสไอ ซึ่งล่าสุดนายธาริตต้องหน้าแตกเมื่อศาลไม่รับฟ้อง
ขณะที่แกนนำคนเสื้อแดงอย่าง “นางนกแสก” นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธาน นปช.เองที่เป็นผู้หนึ่งที่เป็นผู้เรียกแขกให้ กปปส.ที่สำคัญ ก็แถลงข่าวดักคอไม่ให้ทหารทำรัฐประหาร ถ้าทำรัฐประหารขอให้เสื้อแดงปฏิบัติ 6 ข้อดังนี้
1.ให้แกนนำทุกอำเภอจัดรถกระจายเสียงวิ่งประกาศสถานการณ์ทั่วพื้นที่และเร่งกระจายข่าวให้คนรู้โดยเร็ว
2.เรียกร้องต่อนายกฯ ต้องเร่งถอนตัวจาก กทม.ไปปักหลักภาคอีสานหรือภาคเหนือเพื่อประกาศการต่อสู้ร่วมกับประชาชน
3.เรียกร้องต่อรัฐบาลและผู้มีอำนาจทั้งหลายให้เตรียมการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นทันทีที่จำเป็นเพื่อต่อสู้ในเวทีระดับโลก
4.ในระดับพื้นที่ให้ตั้งจุดประสานงานต้านปฏิวัติ ที่จะต้องมีคนทำงานติดต่อสื่อสารได้ 24 ชม.
5.ให้พี่น้องไปรวมตัวกันที่ค่ายทหารในจังหวัดนั้นๆ
และ 6.ให้พี่น้องไปรวมตัวกันที่สถานีตำรวจเพราะที่นั่นมีทุกอย่างให้เลือกสรร
เชื่อเถอะว่าจนกว่าจะถึงวันที่ 13 มกราคม วันเริ่มต้นชัตดาวน์ กทม.วันแรก “พลพรรครักทักษิณ” จะต้องออกมาปราบ ออกมาปราม ออกมาขู่ “ประชาชน” อีกครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่หารู้ไม่ว่ายิ่งเป็นการทำให้คนโกรธ คนไม่ยอมอยู่ภายใต้อำนาจระบอบทักษิณ หรืออำนาจเผด็จการที่ไม่เคยให้ความสนใจกับเสียงสะท้อนของประชาชนที่แท้จริง
ที่สำคัญยุทธวิธีที่ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ เลือกใช้นั้น เปรียบได้กับสำนวนไทยที่ว่า “ปลาหมอตายเพราะปาก” นั่นเอง!