ชะตากรรม “ยิ่งลักษณ์” เดินตามรอยพี่แม้ว ต้อง “ระหกระเหิน-ไม่มีแผ่นดินอยู่” จับตา ป.ป.ช.ชี้มูลทุจริตจำนำข้าว ชี้ชะตา “ปู-เจ๊แดง” ขณะเดียวกันตระกูลชินวัตร เครือญาติ และผู้ภักดีทั้งหลาย ล้วนมีคดีรัดตัว ส่วนการ Shut down กทม.ตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค. กำนันสุเทพอาจมีแผนบันได 2 ขั้น ขั้นแรกทำให้เป็น Failed government ขั้นที่ 2 ยึดอำนาจโดยประชาชนสำเร็จเมื่อไร ย้าย “ธาริต เพ็งดิษฐ์” สั่งฟ้อง “ปู” ฐานฆ่าประชาชนทันที!
ใกล้เข้ามาแล้วสำหรับการชัตดาวน์ยาวปิดกรุงเทพมหานครตั้งแต่13 ม.ค.เป็นต้นไป ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ได้ขึ้นเวทีปราศรัยตอกย้ำถึงความดื้อดึงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีที่ยังเดินหน้าเลือกตั้ง โดยย้ำว่าหากยังไม่ลาออก เมื่อไรที่มวลมหาประชาชนยึดอำนาจได้ จะจัดการอย่างเต็มรูปแบบ และเชื่อมั่นว่าคนในตระกูลนี้จะอยู่ในประเทศไทยไม่ได้อีกต่อไป
อะไรคือสิ่งที่จะทำให้คนตระกูลชินวัตร โดยเฉพาะนางสาวยิ่งลักษณ์ ที่ กปปส.เชื่อมั่นว่าจะประสบชะตากรรมเหมือนพี่ชาย “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ที่ไม่มีแผ่นดินจะอยู่? หากไม่รีบตัดสินใจภายในสัปดาห์นี้ สัปดาห์ที่การต่อสู้ทางการเมืองของมวลมหาประชาชนกับรัฐบาลจะมาถึงจุดเขม็งเกลียวที่สุด
โดยในส่วนของ กปปส. นายสุเทพเคลื่อนไหวใหญ่ในวันที่ 13 ม.ค.เป็นต้นไป โดยให้ประชาชนที่ต่อต้านเข้าร่วมให้มากที่สุด และจะมีการปิดถนนแยกใหญ่ๆ ที่สำคัญๆ หลายจุด ประเมินจากการที่ กปปส.มอบหมายให้แต่ละกลุ่มเช่นกลุ่มนักธุรกิจ, นักศึกษาและคณาจารย์จุฬาฯ นิด้า ฯลฯ เป็นผู้รับผิดชอบเวทีต่างๆ ด้วยแล้ว ย่อมหมายความว่ามวลชนของแต่ละแกนนำทุกเวทีย่อมมีเครือข่ายจำนวนไม่น้อย และประเมินจากการที่เดินขบวนเพื่อเชิญชวนประชาชนให้ร่วมรณรงค์ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งในทุกครั้งที่ได้รับเงินบริจาคเป็นจำนวนมากกว่าล้านบาท ย่อมหมายถึงมวลมหาประชาชนที่กำลังคิดไม่ตกพร้อมจะออกมาขับไล่รัฐบาล
ไม่ว่าจะด้วยตนเอง หรือเอารถยนต์มาขวางถนน
ย่อมสร้างความปั่นป่วนให้กรุงเทพมหานครอย่างมากแน่นอน!
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลนำโดยนางสาวยิ่งลักษณ์ เวลานี้มีการประชุมหน่วยความมั่นคงเตรียมกำลังไว้ล่วงหน้า เพราะมีโอกาสเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ไม่ว่าจะเกิดจากมือที่สาม หรือความรุนแรงที่เกิดจาก “ตำรวจ” ซ้ำรอยเหตุการณ์ที่สนามกีฬาไทยญี่ปุ่น-ดินแดงได้ทุกเมื่อ
พร้อมๆ กับกระแสข่าวในวงการทหารว่า คงใกล้ถึงเวลาที่คนมีสีจะต้องออกมาสู้รบกันเอง และเมื่อไหร่ที่ตำรวจใช้กำลังปราบผู้ชุมนุมอย่างรุนแรง ก็จะถึงเวลาที่กองทัพต้องออกมาปกป้องประชาชน และเป็นเหตุให้รักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ตกที่นั่งลำบากเช่นกัน
ดังนั้นทุกนาทีต่อจากนี้ไป คือนาทีทางการเมืองที่กดดันนางสาวยิ่งลักษณ์อย่างยิ่ง
ขณะที่หลังของนางสาวยิ่งลักษณ์ก็ยังพิงฝา จากคดี ป.ป.ช.ที่ใกล้เข้ามาแล้วสำหรับการตัดสินชี้มูลความผิด
จับตา “ป.ป.ช.” ชี้มูลจำนำข้าวสาวถึง “ปู-เจ๊แดง” ทุจริต!
นายถาวร เสนเนียม หนึ่งในแกนนำ กปปส. เปิดเผยว่า สิ่งที่ กปปส.ประเมินนั้น นางสาวยิ่งลักษณ์มีโอกาสที่จะติดคดีความอย่างน้อย 2 คดีความ
คดีความที่เป็นคดีที่จะเด็ดปีก น.ส.ยิ่งลักษณ์ คือคดีสำคัญที่อยู่ในมือสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
นายถาวรเชื่อว่าคดีทุจริตจำนำข้าวเป็นคดีความที่นางสาวยิ่งลักษณ์มีโอกาสถูกชี้มูลความผิดมากที่สุด เพราะการทุจริตจำนำข้าวนั้นมีหลักฐานค่อนข้างชัดเจนว่ามีการทุจริต ซึ่งนายกฯ ยิ่งลักษณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติจะหลีกหนีความผิดในฐานทุจริตได้ยาก
“รู้เห็นเป็นใจ ไม่ยกเลิกโครงการ ไม่มีการตรวจสอบที่รัดกุม สิ่งเหล่านี้คือความผิดฐานทุจริต ที่มีโทษเช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินให้ติดคุกจนต้องหนีคดีไปต่างประเทศ”
น้องสาวกำลังเดินตามรอยพี่ชาย!
“คุณยิ่งลักษณ์เวลาอยู่คนเดียว มีคนบอกว่าจะดูเศร้ามาก แต่ลาออกไม่ได้เพราะพี่ชายไม่ให้ออก ก็เห็นได้ชัดว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนที่แย่สุดๆ แค่ไหน เพราะความต้องการมีอำนาจมาก ทำให้ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง โดยไม่สนใจว่าคนใกล้ชิดจะเป็นอย่างไร”
“ครอบครัว-ญาติ-คนใกล้ชิด” คดีความรัดตัว
อย่างไรก็ดี คดีการทุจริตจำนำข้าวนี้ คนที่มีโอกาสมีความผิดหนักคือ “นายบุญทรง เตริยาภิรมย์” รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอาจสาวไปถึง “นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์” อีกต่างหาก
“ลูก” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องในคดีแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ จากความร่ำรวยผิดปกติ ที่ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกา ว่า พ.ต.ท.ทักษิณแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ เนื่องจากไม่ได้แจ้งการถือครองหุ้นบริษัทชินคอร์ปไว้ถึง 6 ครั้ง ซึ่งศาลฎีกาออกหมายจับไว้แล้ว
โดยสำหรับนายพานทองแท้ ชินวัตร ยังเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีทุจริตธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ บริษัท กฤษดามหานคร ร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย
“เมีย” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ก็มีคดีเลี่ยงภาษีการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป มูลค่า 738 ล้านบาท มีจำเลยคือ คุณหญิงพจมาน นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ศาลอาญาได้พิพากษาให้จำคุกคุณหญิงพจมาน และนายบรรณพจน์ คนละ 3 ปี ส่วนนางกาญจนาภา จำคุก 2 ปี แต่ภายหลังศาลอุทธรณ์ได้กลับคำตัดสินของศาลอาญา สั่งยกฟ้องคุณหญิงพจมานและนางกาญจนาภา ส่วนนายบรรณพจน์ให้รอลงอาญาเป็นเวลา 1 ปี ก่อนที่อัยการสูงสุดจะไม่ฎีกา
“หลาน” นางสาวชิณนิชา วงศ์สวัสดิ์ ลูกสาวของนางเยาวภา และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาลงโทษ กรณีปกปิดบัญชีและหนี้สิน
นอกจากนี้คนใกล้ชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ หลายคนก็โดนคดีความ ทั้ง “นายยงยุทธ ติยะไพรัช” โดนคดีทุจริตการเลือกตั้งในสมัยเป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน นำไปสู่การตรวจสอบของ กกต. 8 กรกฎาคม 2551 ที่ให้ใบแดงนายยงยุทธข้อหาทุจริตเลือกตั้ง ส.ส. 23 ธ.ค. 2550 และถูกตัดสินจากศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี และนำไปสู่การยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฯ มีมติเมื่อ 2 ธันวาคม 2551 ยุบพรรคพลังประชาชน
ก่อนหน้านี้คนที่ถูกเชือดไปก่อนคือ “พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูล ณ อยุธยา” ขณะเป็นรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ถูกศาลอาญาตัดสินจำคุก 3 ปี 4 เดือน ในข้อหาจ้างพรรคเล็กลงสมัครเลือกตั้ง และส่งผลให้เกิดการยุบพรรคไทยรักไทยในครั้งแรก
แกนนำ นปช. ทั้ง นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ฯลฯ ที่โดนข้อหาก่อความไม่สงบในปี 2553 และยังโดนคดีหมิ่นประมาทอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะนายจตุพร ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก มอบอำนาจให้นายทหารพระธรรมนูญ เป็นผู้ดำเนินการฟ้องร้องจตุพร ในข้อหากล่าวหมิ่นประมาทต่อองค์พระมหากษัตริย์ โดยทางกรมสอบสวนคดีพิเศษออกหมายเรียก โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 18 ตามพระราชบัญญัติความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 เรียกรับทราบข้อกล่าวหา พร้อมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติอีกจำนวนหนึ่ง อันเนื่องมาจากการปราศรัยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554 ต่อมาศาลมีคำวินิจฉัยให้ถอนประกัน ส่งผลให้จตุพรถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ ในวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ด้วย
ส่วนคนที่น่าสงสารกว่าใคร คือแกนนำ นปช.ระดับจังหวัด และมวลชนคนเสื้อแดงที่ได้กระทำการก่อความไม่สงบตามคำสั่งของแกนนำ นปช.และโดนพิพากษาจำคุกจำนวนไม่น้อย เช่น คดีเสื้อแดงรุมทำร้ายและปะทะกลุ่มพันธมิตรฯ ที่หนองประจักษ์ ที่คนเสื้อแดงโดนคดีกว่า 30 คนและต้องสู้คดีเอง เนื่องจากการเข้าพบผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดงอย่างนายจตุพร กลับได้รับคำตอบว่า “ปัญหานี้ไม่เข้าข่ายที่รัฐบาลจะไปร่วมรับผิดชอบ” หรือการเข้าหารือกับ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็ได้รับคำตอบว่า “แล้วแต่ศาลจะตัดสิน ซึ่งคุณก็รู้อยู่ว่าศาลไม่ค่อยเมตตาเรา” หรือ จ.ส.ต.ปริญญา มณีโคตร ที่ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 10 ปี ในความผิดฐานมีเครื่องกระสุนปืนเอ็ม 79 จำนวน 65 นัด ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากแกนนำ
ครอบครัว ญาติพี่น้อง คนใกล้ชิด และคนรับใช้ทั้งหมดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องติดคดีความ และหลายคนต้องเข้าไปอยู่ใน “คุก” มาแล้ว
สาเหตุเพราะ “ความโลภ” ของ พ.ต.ท.ทักษิณเพียงประการเดียว
และวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังทำให้น้องสาวของเขาประสบภาวะ “เดือดร้อน” หนัก ที่นอกจากมีโอกาสถูกตัดสินความผิดคดีทุจริตจำนำข้าว ที่จะส่งผลให้นางสาวยิ่งลักษณ์ มีสภาพเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ คือต้องหนีการถูกจำคุกออกไปใช้ชีวิตยังต่างประเทศในไม่ช้านี้แล้ว
นางสาวยิ่งลักษณ์ยังจะซวยซ้ำสอง!
“ยึดอำนาจรัฐ” ได้-เช็กบิลยิ่งลักษณ์อื้อ
ด้าน ดร.บรรเจิด สิงคเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มองว่า คดีความใน ป.ป.ช.จะเป็นเรื่องหนึ่งที่ชี้มูลความผิดของนางสาวยิ่งลักษณ์ออกมาอย่างไร
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เรื่องที่จะทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์อยู่ในประเทศไทยไม่ได้ และมีชะตากรรมเหมือนพี่ชายไม่มีผิด คือเรื่องทางการเมือง
เป็นเรื่องของการเข้ายึดกุมอำนาจรัฐของ กปปส.
ดร.บรรเจิดมองว่า เมื่อไรก็ตามที่ กปปส.เข้ายึดอำนาจรัฐสำเร็จ และมีการแสดงอำนาจที่อยู่ในมือประชาชนได้สำเร็จที่เรียกว่า “ปฏิวัติประชาชน” ได้แล้ว เมื่อนั้น นางสาวยิ่งลักษณ์จะถูกเช็กบิล
ประเด็นนี้ นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. ยอมรับว่า กลยุทธ์การต่อสู้ของ กปปส.กับระบอบทักษิณ หากเมื่อไรอำนาจมาอยู่ในมือประชาชนสำเร็จ คดีความหนึ่งที่จะเกิดขึ้น เป็นคดีร้ายแรงที่จะย้อนรอยกลับไปที่นางสาวยิ่งลักษณ์อย่างแน่นอนคือเหตุการณ์การปะทะของกลุ่มผู้ชุมนุม คปท.กับตำรวจที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ที่ทำให้มีคนตายเกิดขึ้น ในอำนาจการดูแลความสงบของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
กล่าวคือ ในเมื่อเหตุการณ์ความไม่สงบในปี 2553 ของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อยู่ในฐานะนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีดูแลความมั่นคง ถูกแจ้งความและดำเนินคดีในข้อหาใช้ผู้อื่นฆ่าโดยเจตนาเล็งเห็นผล ที่มีอายุความ 20 ปี ทั้งๆ ที่มีการปฏิบัติการสลายการชุมนุมตามหลักสากล
เมื่อมีคนตายที่หน้าสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง แม้จะมีเพียงคนเดียว แต่โทษความผิดจะต้องมีเหมือนกับ 99 ศพ ที่นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพติดคดีความอยู่ในขณะนี้ด้วยเช่นกัน
อย่าลืมว่าเป็นกรณีเดียวกัน และดีเอสไอต้องสั่งฟ้อง
ถ้าดีเอสไอ โดยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไม่สั่งฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์, นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล และตำรวจที่มีอำนาจสั่งการ
กปปส.จะฟ้องดำเนินคดีต่อนายธาริต
โดยเฉพาะสำหรับนางสาวยิ่งลักษณ์นั้น แม้นายธาริตจะไม่สั่งฟ้อง แต่อย่าลืมว่าเมื่อไรก็ตามที่นายธาริตหมดอำนาจไปในดีเอสไอ ก็จะมีการสั่งฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์เพื่อเช็กบิลได้เช่นกัน และอายุความของคดีนี้ก็มีถึง 20 ปี แม้จะเหลือเวลาอีก 1-5 วันจะครบ 20 ปีก็สามารถสั่งฟ้องได้
หากเมื่อไร กปปส.ยึดกุมอำนาจรัฐได้ โอกาสที่จะเปลี่ยนตัวนายธาริตออกจากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษก็อาจเป็นเรื่องแรกๆ
ต่อจากนั้นคดีความที่เกี่ยวกับนางสาวยิ่งลักษณ์ที่เป็นคดีพิเศษทั้งหมดก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาคดี
โอกาสที่นางสาวยิ่งลักษณ์ในช่วงเวลานับจากนี้ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีข่าวการรวมกองกำลังตำรวจจากต่างจังหวัดเข้า กทม.เพื่อปราบปรามมวลชนต่อต้านรัฐบาลแล้ว นางสาวยิ่งลักษณ์ยิ่งจะอยู่ในประเทศไทยได้ยากขึ้น
จับตา “Shut down กทม.” แผน 2 ชั้นสุเทพ?
ดร.บรรเจิดกล่าวว่า การที่จะเข้ายึดกุมอำนาจรัฐของ กปปส.นั้นอาจยาก แต่ให้ดูการเคลื่อนไหวของนายสุเทพในวันที่ 13 ม.ค.นี้ ที่นอกจากจะทำให้เห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถบริหารกิจการบ้านเมืองได้ในฐานะ Failed governmentแล้ว นายสุเทพมีแผนจะทำอย่างไรให้สามารถทำให้การปฏิวัติประชาชนเป็นรูปธรรม และมีอำนาจบังคับ
ขณะนี้นายสุเทพอาจมีแผนชั้นที่สองเรียบร้อยแล้วด้วย
แต่จะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่วันที่ 13 ม.ค.เป็นต้นไป ที่นายสุเทพประกาศว่าเป็นศึกทุบหม้อข้าว เป็นศึกครั้งสุดท้ายที่ต้องจบภายในสิ้นเดือนธันวาคม
ดังนั้นนอกจากคดีความด้านกฎหมายแล้ว นายถาวรให้สังเกตว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ยังต้องโดนมาตรการทางสังคมจากคนที่ออกมาต่อต้านระบอบทักษิณอีกเป็น 10 ล้านคน ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
นางสาวยิ่งลักษณ์และครอบครัวจะอยู่ในประเทศไทยอย่างไม่สบายใจไปตลอดชีวิต!
นับเป็นวิบากกรรมที่นางสาวยิ่งลักษณ์ต้องมารับกรรมที่ปล่อยให้พี่ชายมาบงการชีวิต จนกระทั่งนางสาวยิ่งลักษณ์ก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุนมีสภาพไม่ต่างจากพี่ชาย ที่สุดท้ายไม่มีแผ่นดินจะอยู่!