ASTV ผู้จัดการรายวัน – “มนตรี” คาดปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯ ยืดเยื้่อนานมีโอกาสถึงก.พ.ปีหน้า สร้างผลกระทบตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนจากเม็ดเงินไหลเข้าออก แนะนักลงทุนปรับพอร์ตถือเงินสดเพิ่ม ลดความเสี่ยง และเลือกลงทุนหุ้นกลุ่มปัจจัยพื้นฐานดี ล่าสุดหุ้นปิดลบ8.52 จุด แรงขายกดดันช่วงท้ายการเทรด จากความกังวลปัญหาสหรัฐฯ
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET กล่าวว่า สถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ขณะนี้ถือได้ว่าส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนของตลาดทุนทั่วโลก ซึ่งถ้าหากมติที่ประชุมรัฐสภาของสหรัฐฯ มีการยืดระยะเวลาเพดานหนี้ออกไปจนถึงเดือนมกราคมปีหน้า และยกเลิกการหยุดงานของหน่วยงานราชการ หรือ Government Shut down เพื่อให้เวลากับทางฝั่งรัฐบาลหาจุดประนีประนอม และหาจุดร่วมที่ตรงกันได้ เพื่อหาข้อยุติข้อตกลงร่วมกันอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า คาดว่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของทั้ง 2 ฝ่ายคือ เดโมเครต และรีพับลิกัน โดยเชื่อว่าสุดท้ายปัญหาดังกล่าวจะได้ข้อยุติ ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อเรียกร้องที่จะเจรจาประนีประนอมกันได้ ขณะที่ปัจจุบันยังคงไม่มีความแน่นอนว่าผลสรุปจะออกมาในทิศทางบวก หรือลบ
ทั้งนี้ กระแสกดดังกล่าวทำให้เงินทุนจากต่างประเทศให้มีความผันผวนสูงในการไหลเข้า และออกจากตลาดหุ้นทั่วทั้งภูมิภาค อย่างไรก็ดี สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีหน้ายังคงต้องจับตาเรื่องการลดวงเงินซื้อพันธบัตร หรือยกเลิกมาตรการ QE ว่าจะมีความชัดเจนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องเกิดขึ้น
ส่วนของแนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังมีบรรยากาศการลงทุนที่ดีอยู่ ถึงแม้ว่าจะยังมีความผันผวนจากปัจจัยทั้งในประเทศ และปัญหาเศรษฐกิจของอเมริกา โดยในปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยได้วางมาตรการรองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นไปบ้างแล้ว แต่โดยรวมปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนไทยยังมีความแข็งแกร่ง และมีศักยภาพในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีค่า P/E เฉลี่ยที่ 12-13 เท่า ซึ่งถือว่ายังไม่สูงมากนัก และเป็นแหล่งทุนสำคัญในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย และเหมาะสมต่อการลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน กลุ่มขนส่ง กลุ่มโทรคมนาคม และกลุ่มสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค
ทั้งนี้ จากความผันผวนที่แกว่งตัวรุนแรงของตลาดหุ้นในขณะนี้ นักลงทุนควรแบ่งพอร์ตการลงทุนให้มีวคามยืดหยุ่น ในอัตราเงินสด 50% และการลงทุนประเภทต่างๆ อีก 50% โดยควรมีการกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลายๆ กลุ่ม ไม่ลงทุนอยู่ที่หุ้นตัวใดตัวหนึ่งซึ่งแนวโน้มตลาดที่มีความไม่แน่นอนจะมีความเสี่ยงมากกว่าปกติ และต้องมีการติดตามข่าวสารต่างๆ อย่างใกล้ชิด
ล่าสุดวานนี้ (16ต.ค.) หุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,464.38 จุด ลดลง 8.52 จุด หรือ -0.58% มูลค่าการซื้อขาย 41,198.12 ล้านบาท โดยตลาดฯปรับตัวลงแรงในช่วงท้าย จากแรงขายทำกำไร เหตุนักลงทุนบางส่วนไม่อยากรับความเสี่ยงเรื่องเพดานหนี้ของสหรัฐฯที่ยังไม่ชัดเจน ขณะเดียวกันปัจจัยการเมืองในประเทศ มองว่าหากยังไม่เกิดความรุนแรงขึ้น ก็จะยังไม่มีผลกระทบได ๆ ต่อตลาดฯ ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(17 ต.ค.) ตลาดฯคงจะยังแกว่งในกรอบแคบ หากยังไม่มีความชัดเจนเรื่องเพดานหนี้ในสหรัฐฯ พร้อมให้แนวรับ 1,460-1,465 จุด และแนวต้าน 1,487-1,488 จุด
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET กล่าวว่า สถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ขณะนี้ถือได้ว่าส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนของตลาดทุนทั่วโลก ซึ่งถ้าหากมติที่ประชุมรัฐสภาของสหรัฐฯ มีการยืดระยะเวลาเพดานหนี้ออกไปจนถึงเดือนมกราคมปีหน้า และยกเลิกการหยุดงานของหน่วยงานราชการ หรือ Government Shut down เพื่อให้เวลากับทางฝั่งรัฐบาลหาจุดประนีประนอม และหาจุดร่วมที่ตรงกันได้ เพื่อหาข้อยุติข้อตกลงร่วมกันอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า คาดว่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของทั้ง 2 ฝ่ายคือ เดโมเครต และรีพับลิกัน โดยเชื่อว่าสุดท้ายปัญหาดังกล่าวจะได้ข้อยุติ ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อเรียกร้องที่จะเจรจาประนีประนอมกันได้ ขณะที่ปัจจุบันยังคงไม่มีความแน่นอนว่าผลสรุปจะออกมาในทิศทางบวก หรือลบ
ทั้งนี้ กระแสกดดังกล่าวทำให้เงินทุนจากต่างประเทศให้มีความผันผวนสูงในการไหลเข้า และออกจากตลาดหุ้นทั่วทั้งภูมิภาค อย่างไรก็ดี สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีหน้ายังคงต้องจับตาเรื่องการลดวงเงินซื้อพันธบัตร หรือยกเลิกมาตรการ QE ว่าจะมีความชัดเจนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องเกิดขึ้น
ส่วนของแนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังมีบรรยากาศการลงทุนที่ดีอยู่ ถึงแม้ว่าจะยังมีความผันผวนจากปัจจัยทั้งในประเทศ และปัญหาเศรษฐกิจของอเมริกา โดยในปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยได้วางมาตรการรองรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นไปบ้างแล้ว แต่โดยรวมปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนไทยยังมีความแข็งแกร่ง และมีศักยภาพในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีค่า P/E เฉลี่ยที่ 12-13 เท่า ซึ่งถือว่ายังไม่สูงมากนัก และเป็นแหล่งทุนสำคัญในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย และเหมาะสมต่อการลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน กลุ่มขนส่ง กลุ่มโทรคมนาคม และกลุ่มสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค
ทั้งนี้ จากความผันผวนที่แกว่งตัวรุนแรงของตลาดหุ้นในขณะนี้ นักลงทุนควรแบ่งพอร์ตการลงทุนให้มีวคามยืดหยุ่น ในอัตราเงินสด 50% และการลงทุนประเภทต่างๆ อีก 50% โดยควรมีการกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นหลายๆ กลุ่ม ไม่ลงทุนอยู่ที่หุ้นตัวใดตัวหนึ่งซึ่งแนวโน้มตลาดที่มีความไม่แน่นอนจะมีความเสี่ยงมากกว่าปกติ และต้องมีการติดตามข่าวสารต่างๆ อย่างใกล้ชิด
ล่าสุดวานนี้ (16ต.ค.) หุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,464.38 จุด ลดลง 8.52 จุด หรือ -0.58% มูลค่าการซื้อขาย 41,198.12 ล้านบาท โดยตลาดฯปรับตัวลงแรงในช่วงท้าย จากแรงขายทำกำไร เหตุนักลงทุนบางส่วนไม่อยากรับความเสี่ยงเรื่องเพดานหนี้ของสหรัฐฯที่ยังไม่ชัดเจน ขณะเดียวกันปัจจัยการเมืองในประเทศ มองว่าหากยังไม่เกิดความรุนแรงขึ้น ก็จะยังไม่มีผลกระทบได ๆ ต่อตลาดฯ ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(17 ต.ค.) ตลาดฯคงจะยังแกว่งในกรอบแคบ หากยังไม่มีความชัดเจนเรื่องเพดานหนี้ในสหรัฐฯ พร้อมให้แนวรับ 1,460-1,465 จุด และแนวต้าน 1,487-1,488 จุด