คน กทม.เตรียมรับมือ กำนันสุเทพ “Shut down”กทม.7วัน บรรดาร้านค้าส่งสั่งสต๊อกสินค้าอุปโภค บริโภค เหมือนช่วงน้ำท่วมครั้งใหญ่ มั่นใจจากวันนี้ไปจนกระทั่งวันดีเดย์ 13 ม.ค. เชื่อโกลาหลทั่วกรุง ขณะเดียวกัน กปปส. สั่งตัดน้ำตัดไฟบ้าน “ยิ่งลักษณ์-รัฐมนตรี” จับตา 9 ธ.ค.ที่ ป.ป.ช.จะออกโรงครั้งสำคัญ ด้าน “นักวิชาการเศรษฐศาสตร์การเมือง” ชี้รัฐบาลมองต่ำ กปปส.ยังไงก็สู้ไม่ได้เพราะไม่มีกองกำลัง-ไม่มีอาวุธ-ทุนน้อย ขณะที่ กปปส.เสี่ยง “จราจรติดขัด” ทำเสียแนวร่วม!
เปิดศักราชใหม่ปี 2557มากับการ “ประกาศปิด กทม.”ครั้งใหญ่ที่สุดที่จะเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส.ที่ประกาศจะปิด กทม.ยาวตั้งแต่ 09.00 น.ของวันที่ 13 มกราคมเป็นต้นไป จนกว่าจะได้รับชัยชนะ และการปิด กทม.หรือ Shut down กทม.รอบนี้ มีเป้าหมายที่จะปิดเกมการต่อสู้ครั้งนี้ด้วยชัยชนะให้ได้ภายในเดือนมกราคม และวันที่ 2 กุมภาพันธ์จะต้องไม่มีการเลือกตั้ง
ในเมื่อการต่อสู้ยืดเยื้อ ทำให้ฝ่าย กปปส.ยิ่งอ่อนแรงกำลัง การประกาศปิด กทม.รอบที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงเป็นการเดินหน้าศึกแบบทุบหม้อข้าวรบ ทุ่มสุดกำลังแบบที่เรียกว่า “กำนันสุเทพ” ก็ถอยไม่ได้ และต้อง “รุก” ให้มากกว่าเดิม เพราะรุกมากี่ครั้ง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีรักษาการก็ยังคงแสดงท่าที “ไม่รู้ไม่ชี้” ไม่ลาออก ใครจะทำอะไรได้
ขนาดในวันที่ 24 พ.ย.คนออกมารวมตัวที่ราชดำเนินกว่า 1 ล้านคนในรอบแรก รอบ 2 วันที่ 9 ธ.ค.คนมากถึง 5 ล้านคน และรอบที่ 3 คนออกมากว่า 3.5 ล้านคนในวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา
จำนวนคนเรือนล้าน มากกว่าการชุมนุมทุกครั้งทางประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทั้งหมด
ก็ยังทำอะไรนางสาวยิ่งลักษณ์ให้ลาออกจากตำแหน่งไม่ได้
ความยากลำบากจึงตกมาอยู่ที่ “กำนันสุเทพ” ที่ต้องนำศึกการรบครั้งนี้ให้สำเร็จให้ได้ภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้ตามที่ประกาศ การต่อสู้ครั้งนี้จึงต้องเด็ดขาด!
ร้านค้าส่งวางแผนสต๊อกสินค้ารับมือ Shut down กทม.
แหล่งข่าวในพรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยว่า การออกมาต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นการรวมพลังมวลชนที่ต่อต้านรัฐบาลของตระกูลชินวัตรครั้งใหญ่กว่าครั้งที่ผ่านมาทั้งหมด เพราะที่ผ่านมาชัดเจนแล้วว่านางสาวยิ่งลักษณ์ที่เป็นต้นเหตุปัญหา ไม่ได้เล่นตามเกม รัฐบาลทำผิดกฎหมายก็ไม่ยอมรับ เมื่อเสียงของสังคมต้องการให้มีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง รัฐบาลก็ไม่ได้สนใจ ไม่ได้ขานรับที่จะตอบสนองความต้องการของประชาชน
ดังนั้น กปปส.ครั้งนี้จำเป็นจะต้องใช้ยาแรง
“ขณะนี้สิ่งที่มีความเคลื่อนไหวแล้วคือ ร้านค้าส่งต่างๆ ได้มีการวางแผนแล้วว่าจะมีการทำสต๊อกสินค้าอย่างไรให้ได้มากกว่า 7 วัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้คือภาวะขาดแคลนอาหารเหมือนช่วงน้ำท่วมใหญ่ก็เป็นไปได้”
และถ้ามองความเคลื่อนไหวผ่านทางโปรแกรม Line ยิ่งจะเห็นได้ว่า มีการส่งข้อมูลต่อๆ กันอย่างมากในเวลานี้ ทำให้คนกรุงเทพมหานครในเวลานี้เริ่มโกลาหลไปด้วยการแห่ไปถอนเงินที่ธนาคารเตรียมไว้ใช้ในช่วง Shut down กทม.ที่นายสุเทพประกาศผ่านเฟซบุ๊ก Suthep Thaugsuban (สุเทพ เทือกสุบรรณ) วันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่าจะต้องมีการทำให้รัฐบาลเป็น “รัฐบาลล้มเหลว” (Failed Government) บริหารราชการไม่ได้อีกต่อไป โดยจะปิดถนนในกรุงเทพฯ ทุกสามแยก สี่แยก ให้ข้าราชการไปทำงานไม่ได้ ให้ประชาชนนำรถจอดขวางถนนทุกแยก ตัดน้ำ-ตัดไฟ สถานที่ราชการทุกแห่ง รวมทั้งบ้านนายกฯ และคณะรัฐมนตรี แต่ไม่มีการตัดน้ำ ตัดไฟ บ้านเรือนของประชาชนทั่วไป เพราะไม่ต้องการให้ประชาชนเดือดร้อน
โดยแม้นายสุเทพจะประกาศว่า รถเมล์ รถไฟ รถไฟฟ้า BTS รถไฟฟ้าใต้ดิน เรือเมล์ ยังเปิดบริการปกติ ทุกถนน ยังคงเว้นช่องทางเดินของรถเมล์ และเผื่อสำหรับรถพยาบาล หรือคนที่จะไปโรงพยาบาล แต่ก็ต้องยอมรับว่าการเดินทางอาจไม่ได้สะดวกเหมือนช่วงเวลาปกติมากนัก
ปรากฏการณ์เริ่มทยอยไปถอนเงินตามคำเตือนต่อๆ กันมาเริ่มมีให้เห็น ซึ่งจากคำแนะนำนั้นให้ถอนเงินมาติดบ้านไว้อย่างน้อย 2 แสนบาท อีกทั้งหลายบ้านก็เริ่มมีการกักตุนสินค้าเผื่อไว้รับประทานในช่วง 10-20 วันของการ Shut down กทม. เพราะมองว่าอย่างไรเสีย นายกฯ คงไม่ลาออกง่ายๆ
ความโกลาหลใน กทม.ตั้งแต่ช่วงนี้ไปจนถึงในช่วง Shut down กทม.ในวันที่ 13 ม.ค.จะเริ่มชุลมุนวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ และแน่นอนว่า กปปส.มีความมั่นใจว่าคนที่จะออกมาร่วมต่อต้านรัฐบาลยังมีอยู่จำนวนมาก
“การรวมตัวของ กปปส.มีจุดสำคัญคือมีกลุ่มต่างๆ เข้ามาร่วมเคลื่อนไหวจำนวนมาก ทั้งองค์กรเอกชน สถาบันการศึกษาต่างๆ องค์กรแพทย์ วิศวกร ทุกกลุ่มจะมีการนัดหมายกันเองภายใน โดยเฉพาะแต่ละกลุ่มก็จะมีการนัดหมายผ่าน Line ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กกันเองภายใน”
โดยแต่ละกลุ่มจะเป็นผู้รับผิดชอบเวทีต่างๆ เช่น กลุ่มนักธุรกิจเอกชนรับผิดชอบเวทีสีลม, ย่านปทุมวันรับผิดชอบโดยทีมคณาจารย์ นิสิต และศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ย่านอโศกรับผิดชอบโดยนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อดีตอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และคณาจารย์ นักศึกษา และศิษย์เก่า เวทีสี่แยกราชประสงค์นำโดย ดร.เสรี วงษ์มณฑา ที่จะนำนักแสดง นักร้องจัดสรรกันขึ้นเวที นอกจากนี้น่าจะมีเวทีที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, เยาวราช, วงเวียนใหญ่, สวนลุม ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดจะมีรวม 20 เวที และมีการกระจายความรับผิดชอบไปให้กลุ่มต่างๆ เหมือนเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ทำการทดลองปิด กทม.ไปแล้ว
แหล่งข่าวอดีตข้าราชการระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ มองเรื่องความโกลาหลใน กทม.ในช่วง Shut down กทม.ว่า มองอีกแง่หนึ่งนั้น เหมือนเป็นกระบวนการปล่อยข่าวของคนเสื้อแดงเพื่อให้คนเกลียด กปปส.ด้วย แต่ก็เชื่อว่าความรู้สึกของคน กทม.ส่วนมากนั้นต้องการล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดไป ดังนั้นไม่ว่าจะโกลาหลแค่ไหน มวลชนใน กทม.ก็จะยอมรับได้
ยิ่ง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประกาศจะนำมวลชนมา “เปิด กทม.”แข่ง ในวันที่ 13 นี้ด้วย ก็ยิ่งจะทำให้คน กทม.รับไม่ได้ และออกมาต้านรัฐบาลมากขึ้นอีก
เชื่อ พล.ต.อ.อดุลย์โดดทิ้งนาวา “ยิ่งลักษณ์”
ด้านแหล่งข่าว กปปส.กล่าวว่า ขณะนี้เชื่อแน่แล้วว่าเหตุการณ์การเมืองจะร้อนแรงไปอย่างต่อเนื่อง และอาจมีเกมที่พลิกได้ตลอดเวลา
กล่าวคือ การที่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ออกมายอมรับว่าชายชุดดำที่อยู่บนอาคารสูงกระทรวงแรงงาน และคนที่ไปทุบรถหน่วยพยาบาลอาสาของ กปปส.นั้นเป็นตำรวจจริง และจะต้องมีการเอาผิดตำรวจ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้สร้างความประหลาดใจให้ กปปส.อย่างมาก เนื่องจาก พล.ต.อ.อดุลย์ไม่ได้มีความจำเป็นต้องออกมาบอกก็ได้ว่าใครเป็นคนทำ เพราะเรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนปีใหม่ และตอนนี้เรื่องก็ซาลงแล้ว
การที่อยู่ดีๆ ก็ออกมาเปิดเผยว่า เหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือตำรวจจริงๆ ย่อมเป็นการส่งสัญญาณว่า พล.ต.อ.อดุลย์กำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง ซึ่งดูแล้วเหมือนเป็นการกระทำที่ส่งสัญญาณว่ากำลังจะโดดออกจากเรือของตระกูลชินวัตร
“เป็นสัญญาณที่ดีกับ กปปส. เพราะว่าการออกมาประกาศว่าใครเป็นผู้กระทำผิด ย่อมหมายความว่าต่อจากนี้ไปจะต้องมีการเรียกผู้กระทำผิดมาสอบสวนวินัย และ พล.ต.อ.อดุลย์ยังต้องการให้สังคมรับรู้ด้วยว่าเขาไม่ได้เป็นคนสั่งการตำรวจ มีคนอื่นที่สั่งการ และเขาต้องการให้ตำรวจทุกคนมาเข้าแถวใหม่ จัดระเบียบใหม่ ภายใต้อำนาจของพล.ต.อ.อดุลย์คนเดียว”
การกระทำครั้งนี้ของ พล.ต.อ.อดุลย์ทั้งเด็ดขาด และเสี่ยงต่ออายุการทำงานของเขา
“พ.ต.ท.ทักษิณ เตรียมคนที่จะขึ้นเป็น ผบ.ตร.แทน พล.ต.อ.อดุลย์แล้ว คือ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผบ.ตร ที่เป็นที่เลื่องลือในวงการตำรวจเวลานี้ว่า เป็นคนที่เข้าถึง พ.ต.ท.ทักษิณอย่างมาก”
พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา คนนี้นี่เอง ที่นายสุเทพประกาศบนเวทีราชดำเนินในคืนที่เกิดเหตุปะทะรุนแรงที่สนามกีฬาไทยญี่ปุ่น-ดินแดง วันที่ 26 ธ.ค.ทันที ว่าให้มวลมหาประชาชนจดจำชื่อของ พล.ต.อ.วรพงษ์นี้ไว้ว่าเป็นคนสั่งการให้เกิดความรุนแรงขึ้น
“ตอนนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ออกมาแสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้เป็นคนสั่งการให้เกิดเหตุความรุนแรง คนที่ทำความรุนแรงก็คือตำรวจจริง และเมื่อเกมการแย่งชิงอำนาจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่า พล.ต.อ.อดุลย์อาจถูกเปลี่ยนตัวในไม่ช้านี้ก็เป็นได้ แต่หากไม่เปลี่ยนตัว พล.ต.อ.อดุลย์ยังคงนั่งเป็น ผบ.ตร.ต่อ ก็เชื่อว่าตำรวจจะมีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม เพราะ พล.ต.อ.อดุลย์คงไม่ต้องการให้เกิดภาพตำรวจอย่างที่ผ่านมาอีก”
เมื่อเรื่องของตำรวจกำลังคลี่คลาย
จับตาท่าที ป.ป.ช.9 ธ.ค.
แหล่งข่าวแกนนำ กปปส.มองว่า สถานการณ์การเมืองจะออกมาในรูปแบบของการบีบให้นางสาวยิ่งลักษณ์ลาออกอย่างรุนแรงมาก และจะรุนแรงก่อนหน้าที่จะมีการ Shut down กทม.ด้วย
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ต้องจับตามองคือ วันที่ 9 ม.ค.นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะเป็นหน่วยงานสำคัญที่ประกาศแล้วว่า จะมีการแถลงข่าวว่าขณะนี้คดีทุจริตประพฤติมิชอบต่างๆ ของรัฐบาลนี้ได้เดินหน้าไปถึงไหน
ขณะที่เชื่อแน่ว่าการเลือกตั้ง 2 ก.พ.ไม่มีทางเกิดขึ้น เหตุผลคือ ขณะนี้มีผู้สมัคร ส.ส.สมัครไม่ได้แล้ว 30-31 เขต ส่งผลให้การเลือกตั้งแบบปาร์ตี้ลิสต์ 125 คน ก็ทำไม่ได้ ทำให้ขาดผู้สมัครไปแล้ว 156 เขต ซึ่งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญจะเปิดการประชุมสภาฯ ได้ต้องมี ส.ส.จำนวน 475 คนขึ้นไป
ดังนั้น การเลือกตั้งก็ไม่มีผลต่อการทำงานในการบริหารบ้านเมืองได้อยู่ดี
“ทุกสิ่งกำลังประเดประดังเข้ามาทำให้รัฐบาลไม่สามารถบริหารงานได้ แล้วนายกฯ ยิ่งลักษณ์จะยิ่งถูกบีบให้ลาออก และอาจเกิดขึ้นก่อน13 ม.ค.ที่จะ Shut down กทม. เพราะไม่ว่าจะเป็นวันที่ 9 ธ.ค.ที่ ป.ป.ช.จะแถลง หรือท่าทีของตำรวจต่อจากนี้ไป ย่อมหมายความว่าเกมการเมืองมีสิทธิพลิกตลอดเวลา”
ตั้งแต่วันนี้ไป เป็นวันที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์จะถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่งมากขึ้นๆ และไม่เหลือความชอบธรรมในการบริหารบ้านเมืองอีก
รัฐถือได้เปรียบมีพร้อมทั้ง“มวลชน-กองกำลัง-อาวุธ-ทุน”
รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะที่เรียกว่า “สงครามชิงอำนาจ” ฝ่ายหนึ่งคืออำนาจรัฐทุนสามานย์ อีกฝ่ายหนึ่งคืออำนาจรัฐของปวงชนชาวไทย
ต่อจากนี้ไปคู่สงครามจะหยิบทุกปัจจัยมาทำสงครามให้ตัวเองชนะ การจะนำไปสู่ชัยชนะทั้งหมด มี 4 องค์ประกอบ คือ มวลชน กองกำลัง ยุทโธปกรณ์ และทุน
ฝ่ายรัฐบาลตอนนี้ มีมวลชนคนเสื้อแดง, มีกองกำลังเป็นตำรวจเต็มรูปแบบ, มียุทโธปกรณ์ และมีทุนจำนวนมาก
ขณะที่ฝ่าย กปปส.ขณะนี้มีมวลชนที่เป็นจุดแข็งที่สุด, แต่ไม่มีกองกำลัง, ไม่มียุทโธปกรณ์ และมีทุนน้อย
ดังนั้นต่อให้ กปปส.จะสู้อย่างไร ยังมองว่าฝ่ายรัฐบาลไม่ได้สนใจ เพราะระบบความคิดของฝ่ายรัฐคือใครมีกำลังมากกว่าคือผู้ได้เปรียบ และขณะนี้เขาคือผู้ได้เปรียบ และหากอยู่ต่อไปในเรื่องทุนก็จะมีมากขึ้น เพราะตอนนี้ 2ล้านล้าน ก็ยังอยู่ ไม่ได้ถูกยุบไปไหน หากรัฐบาลยังยื้อการทำงานอยู่ได้ก็มีโอกาสได้เงินก้อนใหญ่มาใช้ แต่รัฐบาลมอง กปปส.ว่า มีแค่มวลชนอย่างเดียวที่เป็นกำลังหลัก ทุนก็ยังมีน้อย กปปส.จึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“มองเช่นนี้ มองว่าตัวเองมีดุลอำนาจเหนือกว่า ไม่สนใจเรื่องอื่น หน้าด้านไป จริงๆ แล้วมวลชนออกมามากขนาดนี้ต้องมีการเปลี่ยนแปลง อย่างญี่ปุ่น มีมวลชนออกมาจำนวนหนึ่งเพื่อประณามการคอร์รัปชัน ปรากฏว่านายกฯญี่ปุ่นก็ลาออก เพราะยังมีจิตสำนึกดี แต่รัฐบาลไทยไม่ได้สนใจเลย มองแค่ว่าตัวเองมีความได้เปรียบมากกว่า”
ยกเว้นเมื่อไร กปปส.จะไปปิดบริษัทหรือธุรกิจของกลุ่มตระกูลพวกเขา ทำให้หุ้นของบริษัทเหล่านั้นตกฮวบ ตรงนี้เขาถึงจะรู้สึกว่ายิ่งสู้ยิ่งแพ้
แต่ตอนนี้เขาไม่รู้สึก
ทหารไม่ออก-นองเลือดแน่นอน
รศ.ดร.ณรงค์กล่าวว่า สิ่งที่กังวลใจคือจุดแข็งของ กปปส.คือมวลชน แต่จุดอ่อนก็คือจำนวนของมวลชนจะลดลงไม่ได้ รวมถึงไม่มีกำลัง ไม่มียุทโธปกรณ์ และมีทุนน้อย ดังนั้น ฝ่าย กปปส.จึงรอที่จะให้ทหารออกมายึดอำนาจรัฐ แต่ทหารก็มีทีท่าชัดเจนว่าจะไม่ทำ เพราะอาจมีข้อตกลงไว้ก่อน ตามคลิปถั่งเช่า
สิ่งที่จะเกิดตามมาคือ กปปส.อาจมีการตั้งกำลังพลขึ้นมาเอง และวันนั้นจะหลีกหนีการนองเลือดไม่ได้
“ทหารถ้าไม่ยึดอำนาจ ก็จะทำให้มีการนองเลือด เสี่ยงมาก ทหารจะต้องคิดให้ดี ว่าจะออกมารักษาการณ์เพื่อไม่ให้เกิดการนองเลือดหรือไม่”
อย่าลืมว่าวันนี้ ตำรวจเสื้อแดง มวลชนเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ก็ฮึ่มๆ แล้วว่าจะใช้คนเสื้อแดงมาจัดการกลุ่มมวลมหาประชาชน
“ตำรวจหลายคนออกมาประกาศในหน้าเฟซบุ๊กว่าจะเอาคนเสื้อแดงมาฆ่าพวกมันเอง จะมาจัดการเอง โดยไม่ได้เกรงกลัวอะไร”
ต่อจากนี้ไป โอกาสรบมวลชนกับมวลชน ก็เป็นไปได้อย่างมาก การนองเลือดในประเทศไทยมีโอกาสเกิดมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ที่อาจออกมาปะทะกับมวลชนของ กปปส.ก็มีโอกาสอยู่มาก
นอกจากนี้ยังกังวลว่า การปิด กทม.ที่ กปปส.วางแผนไว้ว่าจะปิดตามสี่แยกต่างๆ นั้น จะทำให้คนกลางๆ ที่เดือดร้อนจากปัญหาการจราจรใน กทม.เปลี่ยนไปอยู่ฝ่ายเห็นด้วยกับรัฐบาลมากขึ้น เนื่องจากการปิดถนนหลายสาย โดยเฉพาะพื้นที่ตามสี่แยกต่างๆ นั้นจะทำให้เกิดความเดือดร้อนในการเดินทางอย่างมาก เพราะคนกรุงเทพฯ เป็นคนไม่ชอบปัญหารถติดอยู่แล้ว ซึ่งเป็นจุดเปราะของ กปปส.ที่จะต้องรักษาจุดแข็งคือมวลชนจำนวนมากไว้ให้ได้
ดังนั้น หากถึงวันที่ 13 ม.ค.แล้วมีการเปลี่ยนแผน สลับขาหลอกเป็นการปิด กทม.เหมือนกัน แต่ปิดเฉพาะหน่วยราชการที่มีประเด็นที่มีเจ้าทุกข์อยู่ เช่น กระทรวงเกษตรฯ ที่มีเจ้าทุกข์เป็นชาวนา เป็นชาวสวนยาง, กระทรวงพลังงานที่มีเจ้าทุกข์เป็นผู้ใช้น้ำมัน และหน่วยราชการอื่นๆ ทั้งหมด เชื่อแน่ว่าจะมีคนเห็นด้วยมากขึ้น และเกิดประเด็นที่จะจุดติดต่อไปอีกเรื่อยๆ
ประเด็นนี้ตรงกับสิ่งที่แกนนำ กปปส.แย้มไว้
“แผนศึกครั้งนี้กำหนดล่วงหน้าอย่างชัดเจนไม่ได้ เพราะสถานการณ์จะเปลี่ยนพลิกผันตลอดเวลาไปจนกว่าจะถึงวัน Shut down กทม. 2 วันล่วงหน้าก่อนวันที่ 13 ม.ค. จะเป็นวันที่ยุทธศาสตร์มีการประมวลใหม่ทั้งหมด”
ดังนั้น การเมืองต่อจากวันนี้ไป สถานการณ์ต่างๆ อาจเกิดขึ้นได้ตลอด และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละอย่าง เรียกได้ว่า “ห้ามกะพริบตา”