xs
xsm
sm
md
lg

พฤหัสนี้!ลั่นกลองระดมพลโค่นระบอบทักษิณ แผนจรยุทธ์ดึงพลังทั่วประเทศสู้ถึงจุดแตกหัก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


‘วันโค่นระบอบทักษิณ’ ถูกกำหนดแล้ว! โดยเฉพาะการใช้ยุทธวิธีจรยุทธ์ รูปแบบ ‘ป่าล้อมตำรวจ’ จะถูกนำมาใช้ในการต่อสู้ครั้งนี้ มั่นใจทุกเครือข่ายหนุนม็อบสวนลุม-อุรุพงษ์ สู้ชนิด ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ ไม่หวั่น ทักษิณ สั่งตำรวจจัดการม็อบอีกต่อไป ขณะเดียวกันกลุ่มพลังเงียบในเมืองจะเข้าสมทบทันทีหากเกิดการปะทะ จับตา 12 เครือข่ายรวมเป็นหนึ่งเดียว ส่วน ปชป.กำหนดวันดีเดย์ 31 ตุลาคมนี้ สู้นอกสภาเต็มรูปแบบ ด้านฝ่ายความมั่นคง แนะ พรรคประชาธิปัตย์เคลื่อนมวลชนสู้ อย่าหวังพึ่งทหาร เพราะเป็นยุคที่ผู้นำห่วงประโยชน์ตัวเองมากกว่าชาติ!

ที่ผ่านมาโหรการเมืองต่างทำนายว่าตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป บ้านเมืองจะร้อนเป็นไฟ ซึ่งเวลานี้เริ่มมีเค้าลางความเป็นจริงเกิดขึ้นแล้วจากประเด็นร้อนทางการเมือง โดยเฉพาะจากคำสั่ง Set Zero ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีไปยังพลพรรคเพื่อไทย ว่าต้องเดินหน้า พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้สุดซอยโดยเร็วที่สุด และต้องทำให้สำเร็จให้ได้ในครั้งนี้ ทำให้พลพรรค ส.ส.พรรคเพื่อไทยน้อมรับคำสั่งและเตรียมเดินหน้าดำเนินการทุกอย่างให้เสร็จสิ้นภายในวันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคมนี้แล้ว

เมื่อรวมกับเหตุการณ์บ้านเมืองที่จะร้อนแรงอย่างมากในวันที่ 11 พ.ย. ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะมีการตัดสินคดีปราสาทพระวิหารและมีแววว่าประเทศไทยจะแพ้จากท่าทีของรัฐบาลที่เตรียมพร้อมให้นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร เตรียมแก้ตัวต่างๆ นานาเสียอีก

ดังนั้น เวลานี้นับเป็นเวลาที่สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่มีมาตลอดกว่า 7 ปีสุกงอมเต็มที่และใกล้ถึงจุดเดือดที่จะทำให้เกิดการแตกหักขึ้นได้

จุดแตกหักคือนาทีที่สภาฯ ผ่านวาระ 3 ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม!

12 กลุ่มระดมพลพร้อมทันทีในวัน ‘เป่านกหวีด’

อย่างไรก็ดี ม็อบชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณ ทั้งที่สวนลุมและอุรุพงษ์ ในสายตาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายนั้นดูไร้ค่าและไม่มีราคาที่รัฐบาลจะให้ความสนใจเท่าไร แต่แท้จริงแล้วกลุ่มม็อบเหล่านี้ก็มีเครือข่ายและพลพรรคเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าทุกอย่างต้องรอวันสุกงอม จึงจะสามารถรวมพลังเป็นหนึ่งเดียวโค่นระบอบทักษิณได้

“ในสายตารัฐบาลประเมินกลุ่มต่อต้านต่ำมาก ประเมินว่ากระจอก ดูสวนลุมมีไม่กี่พันคน ดูอุรุพงษ์ไม่เท่าไร ไม่กลัว มองด้วยสายตาดูถูก เหยียดหยาม ว่าไม่มีพลังมากพอ” แหล่งข่าวด้านความมั่นคงกล่าว

ทั้งที่ความจริงประชาชนแต่ละกลุ่มได้รับความเดือดร้อนจากการบริหารประเทศของรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ และเล็งเห็นการครอบงำของระบอบทักษิณซึ่งเป็นอันตรายต่อประเทศอย่างยิ่ง จึงมีการพูดคุยและหารือของแกนนำต่างๆ รอเพียงการเป่านกหวีดระดมพลเท่านั้น

วันนี้รัฐบาลมัวแต่มองแยกส่วน จึงเป็นการมองที่มีโอกาสพลาดได้ง่าย เพราะเครือข่ายภาคประชาชนต่อต้านระบอบทักษิณไม่ใช่แค่กลุ่ม 2 กลุ่ม แต่แตกย่อยกันเป็นกลุ่มเล็กๆ และเมื่อทั้งหมดมารวมกันแล้ว จะมีพลังอย่างมาก

กลุ่มที่ 1 กลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) ร่วมกับกองทัพธรรม อยู่ที่สวนลุมพินี กลุ่มนี้แตกออกมาเป็นกลุ่มที่ 2 คือกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) มี “ทนายนกเขา” นายนิติธร ล้ำเหลือ และนายอุทัย ยอดมณี ซึ่งล่าสุดได้แนวร่วมเป็นกลุ่มหน้ากากขาว V For Thailand ที่เป็นกลุ่มที่ 3 ที่จุดประกายการชุมนุมทุกวันอาทิตย์ ได้ประกาศเข้าร่วมการชุมนุมที่แยกอุรุพงษ์ ตั้งแต่วันแรกๆ และขยายแนวร่วมไปสู่กลุ่มแพทย์ พยาบาล เภสัช และบุคลากรของโรงพยาบาลรัฐ

กลุ่มที่ 4 คือแนวร่วมคนไทยรักชาติ รักษาแผ่นดินของ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ที่เน้นการเคลื่อนไหวเรื่องปราสาทพระวิหารเป็นหลัก ขณะที่กลุ่มที่ 5 ที่เพิ่งประกาศตัวนั้นดูท่าจะมาแรงที่สุด ได้แก่ กลุ่มของสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) ที่มีนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และนายสุริยะใส กตะศิลา เป็นผู้ประสานงานหลักกับทุกองค์กรและเครือข่ายเกษตรกร 77 จังหวัด ซึ่งองค์กรนี้จะทำหน้าที่เหมือนเป็น “คณะเสนาธิการ” ที่จะกำหนดยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีในการทำสงครามที่เรียกว่า “สงครามครั้งสุดท้าย”

นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายองค์กรต่างๆ และกลุ่มประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาร่วมคือ
กลุ่มที่ 6 กลุ่มภาคีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน 16 จังหวัดภาคใต้ (ค.ย.ป.16 จว.ภาคใต้) ออกมาเรียกร้องรัฐบาลดำเนินการแก้ปัญหาราคายางพารา และปาล์มน้ำมัน ได้รวมตัวปิดถนนเพชรเกษมที่ตลาดศรีนคร ต.ช้างแรก อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ อยู่ในขณะนี้

กลุ่มที่ 7 แม้ขณะนี้จะยังไม่มีความเคลื่อนไหว แต่เป็นม็อบที่มีพลังและยังคงพร้อมก่อตัวอยู่เสมอ เป็นม็อบของ ม.ล.กรณ์กสิวัฒน์ เกษมศรี แกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมเครือข่ายประชาชนเจ้าของพลังงานไทย

กลุ่มที่ 8 กลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคอีสาน ที่ขณะนี้มีการรวมพลแล้วแต่ยังไม่มีการเคลื่อนไหว จะดำเนินการต่อเมื่อมีสัญญาณเป่านกหวีดจากสภาปฏิรูปประเทศไทย นำโดย นายสุริยะใส กตะศิลา โดยขณะนี้มีการรวมแกนนำกลุ่มสหายป่า และสมัชชาเกษตรกรภาคอีสานหลายกลุ่มเข้าร่วมแล้ว

กลุ่มที่ 9 เป็นเครือข่ายอื่นๆ ที่กำลังมีความเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาล ได้แก่ กลุ่มต่อต้านโครงการเมกะโปรเจกต์ แลนด์บริดจ์สงขลา-สตูล หรือกลุ่มเครือข่ายประชาชนติดตามแผนพัฒนา จ.สตูล เป็นกลุ่มที่รวมกลุ่มกันเพื่อจัดกิจกรรม “เดินด้วยรัก...พิทักษ์สองฝั่งทะเล” เพื่อต่อต้านโครงการเมกะโปรเจกต์ แลนด์บริดจ์สงขลา-สตูล โดยการเดินเท้าจาก จ.สตูล สู่ จ.สงขลา ด้วยระยะทาง 220 กม. โดยการเดินเท้าครั้งนี้ เป็นการเดินเท้าเพื่อให้ความรู้แก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการนี้อย่างเข้มข้น และจะพัฒนาระดับการต่อสู้ที่เข้มข้นมากขึ้นต่อไปหากรัฐบาลยังผลักดันที่จะสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ แลนด์บริดจ์สงขลา-สตูล ซึ่งอย่าลืมว่ากลุ่มนี้ยังมีประเด็นการต่อต้านการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่อย่างหนักด้วย

ส่วนกลุ่มที่ 10 เป็นกลุ่มเดินเท้าต่อต้านการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ โดย นายศศิน เฉลิมลาภ กลุ่มนี้ก็เป็นอีกกลุ่มที่มีกลุ่มชนชั้นกลางในกรุงเทพมหานครเข้าร่วมจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา ล่าสุดได้มีความร่วมมือส่งไม้ต่อให้กลุ่มประธานเครือข่ายอาสาเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Move Thailand) ที่ในวันที่ 2 พ.ย.นี้จะมีการจัดกิจกรรม “เดิน-ยื่น-หยุด เขื่อนแม่วงก์” โดยจะมีการเดินจากหน้าหอศิลป์และวัฒนธรรมกรุงเทพฯ ไปสิ้นสุดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยจะมีการยื่น 100,000 รายชื่อให้แก่ตัวแทนรัฐบาลและองค์การสหประชาชาติ คัดค้านการสร้างเขื่อนทั้งหมดในโครงการน้ำ 3.5 แสนล้านของรัฐบาลอีกด้วย

กลุ่มที่ 11 เป็นอีกกลุ่มที่ต้องจับตามอง เพราะเป็นกลุ่มธุรกิจภาคเอกชน ที่มีแรงงานอยู่ในมือมหาศาล ก็คือ องค์กรต่อต้านการคอร์รัปชันแห่งชาติ ที่นำโดยภาคธุรกิจไทยออกแถลงการณ์ต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา

กลุ่มที่ 12 พรรคประชาธิปัตย์ ที่วันนี้กำลังได้รับความเดือดร้อนจากคำสั่งของอัยการสูงสุดที่สั่งฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่าเป็นผู้กระทำผิดในเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 โดยไม่รวมฝ่ายทหาร ทำให้ตอนนี้เมื่อผสมรวมกับเหตุผลของการผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของฝ่ายรัฐบาลเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ล้มระบบยุติธรรมของไทยแล้ว ประชาธิปัตย์ก็ถึงจุดที่เรียกว่า ทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งประชาธิปัตย์นั้นถือว่าเป็นกลุ่มที่มีพลังอย่างมาก เพราะถ้าเมื่อไรที่เอาจริง ส.ส.1 คนระดมคนได้เป็นหมื่นเป็นแสนจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปที่จะเพิ่มจำนวนมวลชนในการขับไล่ระบอบทักษิณ

ปชป.กำลังวันดีเดย์เพื่อล้มระบอบทักษิณ

นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม.กล่าวว่า เที่ยงวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา ประธานรัฐสภาได้มีคำสั่งเวลาประมาณ 12.00 น. แล้วว่า วันพฤหัสฯ จะมีการงดการประชุมสภาฯ ตามปกติทั่วไป แต่จะประชุมวาระพิเศษนิรโทษกรรมวาระ 2 และ 3 ซึ่งถือว่าพรรคเพื่อไทยได้ตัดสินใจที่จะเดินหน้า พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบ short cut วันเดียวจบ เนื่องจากรายละเอียดใน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนั้นมีเพียง 7 มาตรา และเป็นมาตราเปิดอยู่ 2-3 มาตรา จะมีมาตราหลักๆ แค่ 3 มาตรา ดังนั้นจึงมองว่าจะมีการเข็นให้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมผ่านในวันนี้อย่างแน่นอน

ดังนั้น วันดีเดย์เป่านกหวีดรวมพลของพรรคประชาธิปัตย์จึงคาดว่าจะเป็นวันพฤหัสฯ หรือศุกร์ (31 ตุลาคม-1 พฤศจิกายน) นี้

ในการออกมาเคลื่อนไหวนอกสภาฯ ของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้จะถือเป็นการออกมาเคลื่อนไหวตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เคยประกาศไว้ โดยเป็นไปได้ทั้งมีการตั้งเวทีมวลชนของตัวเอง และเข้าร่วมมือกับกลุ่มอื่นๆ เพื่อต้านระบอบทักษิณ เพราะการต่อสู้ในสภาฯ ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ กระบวนการต่อต้านทักษิณจึงมี 3 ระดับ ระดับแรก เป็นการต่อสู้ในสภาฯ ระดับที่สองเป็นการต่อสู้ภาคประชาชน และระดับที่สามเป็นการต่อสู้ด้วยระบบยุติธรรม โดยอาศัยการตีความของศาลรัฐธรรมนูญเป็นหลัก

โดยตามกระบวนการจึงมีการต่อสู้เริ่มตั้งแต่ในสภาฯ ที่ประชาธิปัตย์เป็นเสียงข้างน้อย ร่วมกับการต่อสู้ภาคประชาชน ซึ่งขณะนี้มีหลายกลุ่มที่พร้อมจะร่วมมือกัน เนื่องจากทุกกลุ่มมีเป้าหมายเดียวกัน และคงไม่ยอมให้ใครมาทำลายระบบยุติธรรมของประเทศชาติ เพื่อคนคนเดียวได้

ขณะเดียวกันศาลรัฐธรรมนูญก็ยังเป็นความหวังสุดท้ายว่าจะป้องกันการรวบอำนาจของฝ่ายการเมืองที่ไม่ถูกต้องได้ ในส่วนนี้คนที่เป็นแรงแข็งขันในการร้องเรียนได้แก่ กลุ่ม 40 ส.ว., ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มเคลื่อนไหวของนายบวร ยะสินธร

ถึงจุดปะทะ “มวลชนต้านทักษิณ-รัฐบาล”

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ต่อจากนี้ไปบ้านเมืองจะถึงจุดแตกหัก อันเนื่องมาจากว่า ทางฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ถึงจุดที่ไม่สามารถทนอีกต่อไปได้แล้ว และกลุ่มที่ต้านระบอบทักษิณก็ถึงจุดที่ทนไม่ไหวและไม่เกรงกลัวต่ออำนาจรัฐใดๆ อีกแล้วเช่นกัน

ในส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณเองนั้น การที่ พ.ต.ท.ทักษิณสั่งให้เดินหน้า พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย แบบ Set Zero วันนี้นั้น เกิดจากเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าสถานการณ์การเมืองจะเป็นอย่างไร แต่เวลานี้ลิ่วล้อต้องดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และต้องเป็น พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่สอดแทรกการล้างผิดของตัว พ.ต.ท.ทักษิณ และต้องได้เงิน 7.6 หมื่นล้านคืนมา

เหตุที่ถึงจุดที่ทนไม่ได้ นอกจากนิสัยส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ไม่ชอบแพ้ใครแล้ว ยังมองว่า เป็นเพราะเวลานี้ พ.ต.ท.ทักษิณกำลังนั่งเก้าอี้ไม่ติด เหตุเพราะรัฐบาลภายใต้การสั่งการทุกอย่างของ พ.ต.ท.ทักษิณกำลังมีปัญหาจากนโยบายที่ผิดพลาดอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นนโยบายจำนำข้าว โครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท การแก้รัฐธรรมนูญที่อิงแต่หลักกู ไม่อิงหลักการ และยังมีการผลักดันกฎหมายต่างๆ ที่จะทำให้ตัวเองกลับมายึดอำนาจใหม่

การที่นโยบายการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ที่เกิดขึ้น ทำลายเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งยังทำให้ประชาชนประสบปัญหาข้าวยากหมากแพงอย่างหนักในเวลานี้นั้น พ.ต.ท.ทักษิณโทษว่าเป็นเพราะ “ตัวแทน” ทำหน้าที่ไม่ดี?

เวลานี้ พ.ต.ท.ทักษิณจึงคิดว่าจะต้องกลับเข้าประเทศแบบไม่มีความผิด และมีความหวังที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งแน่นอน เนื่องจากไม่มีใครสามารถคุมสถานการณ์ได้ดีเท่ากับเขาอีกแล้ว

แต่นั่นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณลืมไปหรือเปล่าว่าบ้านเมืองที่แตกแยก บ้านเมืองที่มีปัญหาทุกหย่อมหญ้านั้นจริงๆ แล้วเกิดแต่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียวเท่านั้น

จับตากลุ่มพลังเงียบหนุนฝ่ายต้าน

ส.ว.ไพบูลย์ย้ำว่า เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณตัดสินใจเดินหน้าแตกหักแล้ว คาดว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะใช้วิธีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นหลัก คือมีแผน 2 แผน 3 แก้ปัญหาเป็นจุดๆ ไป แต่ พ.ต.ท.ทักษิณอย่าประเมินฝ่ายต่อต้านต่ำเกินไป

ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่าในส่วนของฝ่ายต้าน ก็ถึงจุดที่ “ทนไม่ไหว” เช่นกัน เพราะการบริหารราชการแผ่นดินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผ่านน้องสาวอย่าง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติมาก ดังนั้นไม่เพียงแค่ม็อบสวนลุม ม็อบอุรุพงษ์ แต่คนกลางๆ กลุ่มพลังเงียบในเมืองจะเข้าร่วมการต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณด้วย และในไม่ช้านี้แล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีเสียงเป่านกหวีด!

สิ่งที่ทำนายว่าบ้านเมืองต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร จึงทำนายได้อย่างเดียวในเวลานี้ว่า “ใกล้ถึงจุดแตกหัก” เต็มที่ และเมื่อไรก็ตามที่มีการปะทะระหว่างมวลชนคนต้านทักษิณ เมื่อนั้น กลุ่มพลังเงียบจะออกมาหนุนฝ่ายต้าน พ.ต.ท.ทักษิณทันที เพราะกลุ่มพลังเงียบก็อดทนมานานกับนโยบายของรัฐบาลที่บริหารผิดพลาดและกระทบกับพวกเขาด้วย

“ฝ่ายพลังเงียบเขาเคยให้โอกาสฝั่งคุณทักษิณในการดำเนินการการเป็นรัฐบาล เพราะเขาคิดว่าบ้านเมืองจะได้สงบ กลุ่มพลังเงียบชอบความสงบ แต่พอมาบริหารจริงกลับมีแต่ความผิดพลาด และยังนำไปสู่ความล่มสลายทางเศรษฐกิจอีก”

สิ่งที่น่าสนใจคือเมื่อองค์กรต่อต้านการคอร์รัปชันแห่งชาติที่นำโดยภาคธุรกิจไทยออกแถลงการณ์ต่อต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม อย่างเต็มที่ด้วยแล้ว

ภาพที่เห็นยิ่งชัดเจนว่า แรงต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ มีพลังหนุนมากขึ้นเรื่อยๆ

“อวยชัย” เผยสหายป่า-สมัชชาเกษตรกรเอาด้วย

นายอวยชัย วะทา นักวิชาการอิสระ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม กล่าวว่า ตอนนี้รัฐบาลอย่าประเมินกลุ่มต้านต่ำเกินไป เพราะกลุ่มต้านระบอบทักษิณไม่ได้มีแค่ม็อบใน กทม. ซึ่งส่วนที่อยากให้จับตาคือ ส่วนมวลชนต่างจังหวัดในสายสภาปฏิรูปประเทศไทย ที่เดินหน้าโดยนายชูชาติ สีแสง ที่ผ่านมาได้มีการเคลื่อนไหวมวลชนทางภาคอีสาน โดยเฉพาะกลุ่มสหายป่า กลุ่มสมัชชาเกษตรกรและกลุ่มองค์กรประชาธิปไตย แล้วเรียบร้อย และมีมวลชนเข้าร่วมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะนี้มีการประเมินแล้วว่า บ้านเมืองจะร้อนแรงถึงจุดเดือดที่สุดในวันที่ 11 พ.ย.นี้ที่จะมีคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหาร

เมื่อม็อบในกรุงเทพฯ เคลื่อนขบวน และเมื่อรัฐบาลตัดสินใจใช้ความรุนแรง ม็อบกรุงเทพฯ จะอยู่ชั้นในสุด ตำรวจอยู่รอบนอก และวันนั้นจะเห็นปรากฏการณ์ม็อบต่างจังหวัดที่จะเข้าไปล้อมรอบนอกอีกที โดยวันนี้ยอมรับว่าม็อบต่างจังหวัดไม่มีความเกรงกลัวอำนาจของตำรวจ หรือรัฐบาล ที่จะสกัดกั้นการเดินทางด้วยวิธีใดก็ตามแต่ เพราะม็อบต่างจังหวัดกลุ่มนี้มีประสบการณ์มากพอที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวได้ และพร้อมรวมกับกลุ่มม็อบในกรุงเทพฯ ทันทีที่สถานการณ์บ้านเมืองถึงจุดแตกหัก

ไม่เพียงเท่านั้น ม็อบต่างจังหวัดที่มีกลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคต่างๆ ที่มีประสบการณ์การชุมนุมสูงอยู่นั้น ยังเป็นกลจักรสำคัญที่จะทำให้ฝ่ายการดูแลอย่างตำรวจอ่อนแอได้มากที่สุด

“ม็อบต่างจังหวัด เริ่มมีการเดินเกมจรยุทธ์ในบางจุดแล้ว และจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อดึงกำลังตำรวจแยกออกเป็นส่วนๆ ทำให้มีพลังน้อยลง” แหล่งข่าวความมั่นคงกล่าว

ถึงเวลา ปชป.ต้องออกรบ!

ขณะที่แหล่งข่าวความมั่นคงชี้ด้วยว่า คนที่จะตัดสินชะตาบ้านเมืองเวลานี้ไม่ใช่แค่กลุ่มพลังเงียบที่ยังประเมินไม่ได้ แต่คือ “พรรคประชาธิปัตย์” เองที่ต้องออกมาแล้ว และถ้าไม่ออกมาต่อสู้ในเวลานี้ จะมีแต่ความเสียหายเกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์

“ประชาธิปัตย์มีมวลชน เป่านกหวีดเมื่อไร มวลชนออกมาเมื่อไร ฝ่ายต้านถึงจะชนะ แต่ประชาธิปัตย์ต้องออกมาสู้ และการสู้ครั้งนี้จะมีแค่ชนะ หรือ แพ้ ประชาธิปัตย์ถ้าออกมาสู้แล้วก็จะแพ้ไม่ได้ เพราะแพ้แล้วจะไม่เหลืออะไรเลย แต่ถ้าไม่ออกก็จะไม่เหลืออะไรเหมือนกัน เพราะบ้านเมืองเสียหายมาก”

หากเมื่อไรที่ประชาธิปัตย์ออกมาหนุน หมายความว่า ภายในวันแรก มวลชนจำนวน 10,000 คนทำได้ทันที และในวันต่อไปเมื่อมีการระดมคนมาจากต่างจังหวัดด้วยแล้ว โอกาสที่คนต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อรวมกับกลุ่มต่างๆ แล้วจะมากกว่าเรือนแสนก็มีโอกาสมาก

จุดนั้นถึงจะสู้กับอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณได้

แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคง คนเดิม ยืนยันว่า เวลานี้ไม่สามารถพึ่งพาทหารได้ แม้จะมีกลุ่มทหารเก่าพยายามรวมตัวกันเพื่อเตรียมพร้อมในการใช้กำลังเข้าต่อสู้ แต่เมื่อหัวขบวนของทหารในกองทัพยังห่วงเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวอยู่ ก็ไม่มีทางที่ทหารจะเป็นองค์กรที่นำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงได้

มีแต่ภาคประชาชนที่จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้

แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคง วิเคราะห์ต่อว่า เหตุการณ์ที่จะร้อนแรงในช่วงนี้ไปมี 3 เหตุการณ์สำคัญ ได้แก่
เรื่องแรก เป็นเรื่องของการเสนอร่างแก้ไขที่มาของ ส.ว. ที่ขณะนี้อยู่ในการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และมีกำหนดที่จะออกมาภายใน 30 วัน แต่คาดว่าศาลรัฐธรรมนูญจะยังไม่ส่งกลับภายใน 30 วัน เนื่องจากเป็นกฎหมายที่มีปัญหา

ถ้าไม่ส่งกลับมาภายใน 30 วัน อยู่ที่รัฐบาลแล้วว่าจะเดินหน้าโดยการใช้เสียง 2 ใน 3 ของสมาชิกรัฐสภาในการส่งขึ้นทูลเกล้าฯ หรือเปล่า

“รัฐบาลจะกล้าไหม ที่จะท้าทายพระราชอำนาจ ถ้ากล้า ประชาชนก็สุดทน”

ประการที่สอง เป็นเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ให้สังเกตดูว่า แม้ขณะที่พระสังฆราชท่านประชวร และทรงสิ้นพระชนม์ แต่รัฐบาลกลับไม่สนใจเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 190 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตัดสินใจต่างๆ ของประเทศ รวมทั้งเรื่องความขัดแย้งเรื่องปราสาทพระวิหารที่เป็นประเด็นเกี่ยวข้องกับมาตรานี้โดยตรง เพราะมาตรา 190 ระบุว่าถ้ารัฐบาลจะทำอะไรที่เป็นเรื่องระหว่างประเทศต้องนำเรื่องนั้นๆ ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา แต่รัฐบาลกลับอยากให้ยกเลิกในส่วนนี้

11 พ.ย. “ไทยแพ้พระวิหาร” ชนวนรุนแรง

ขณะที่ประเด็นปัญหาประการที่ 3 จะยิ่งเพิ่มความร้อนแรงมากขึ้น คือการตัดสินคดีปราสาทพระวิหารในวันที่ 11 พ.ย.นี้

“คำพิพากษาของศาลโลกเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ปัญหาของรัฐบาลจะกลายเป็นปัญหาชาตินิยมทันที เป็นเรื่องอธิปไตยของชาติ จุดนี้แหละที่รัฐบาลกำลังกลัวมาก”

แหล่งข่าวด้านความมั่นคงบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณกลัวมากในเรื่องนี้ จึงมีคำสั่งให้มีการลดดีกรีความรุนแรงลง ด้วยการไปคุยกับนายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา และกลุ่มไม่เห็นด้วยในประเทศ เพราะหวั่นว่าเหตุการณ์ละเอียดอ่อนนี้จะนำไปสู่การลุกฮือของภาคประชาชน

จุดนี้อ่อนไหวที่สุด!

ปัจจุบัน พ.ต.ท.ทักษิณเตรียมพร้อมสำหรับการแก้สถานการณ์นี้มากที่สุด โดยมีการสั่งการให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมแถลงการณ์ทันทีที่คำตัดสินจากศาลอาญาระหว่างประเทศออกมา และคาดว่าประเทศไทยจะแพ้

“แพ้เมื่อไรก็หยุดความโกรธแค้นของคนไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่รวมปัญหาชาตินิยมเข้าไปด้วย”

11 พ.ย.จึงเป็นอีกวันตัดสิน ใครจะอยู่ ใครจะไป

ฝ่ายทักษิณปลุกมวลชนแดงสู้ม็อบต้าน

นอกจากนี้ยังมีปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือพลังของแรงต้านมุมกลับ แดงอุดมการณ์นำโดย นายสมบัติ บุญงามอนงค์ แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดงประมาณ 300 คน ที่มีแนวความคิดไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยที่มีเนื้อหานิรโทษกรรมให้ทุกฝ่ายชุมนุมกันทำกิจกรรม “เราไม่ลืม” เพื่อบ่งบอกว่า “ที่นี่มีคนตาย” สัญญาณส่งถึง “นายใหญ่” ที่ราชดำเนิน

แถลงการณ์คัดค้านล้างผิดคดีโกงเมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา กลับเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายประเมินแล้วว่าไม่ได้ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณสะดุ้งสะเทือน เพราะขึ้นชื่อว่า “แดง” ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นแดงกลุ่มไหนที่คิดต่างออกไปจากคำสั่ง Set Zero พ.ต.ท.ทักษิณก็มีวิธีในการทำให้คนเหล่านี้สมยอมอยู่ใต้อำนาจเขาตลอดไป โดยเฉพาะ “ผลประโยชน์” ยังปิดปากคนกลุ่มนี้ได้

ในประเด็นของคนเสื้อแดงนั้น แหล่งข่าวความมั่นคงวิเคราะห์ว่า กลุ่มเสื้อแดงกลุ่มที่เป็นแรงต้านมุมกลับนอกจากไม่ได้มีพลังที่จะขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ จริงแล้ว ขณะนี้ทางฝ่าย นปช.กลางได้มีการระดมกำลังมวลชนคนเสื้อแดงมาเพื่อต่อต้านม็อบต้านระบอบทักษิณอีกทีด้วย ซึ่งเวลานี้สถานีวิทยุชุมชนหลายแห่งทำการปลุกระดมมวลชนแดงอย่างหนักด้วย

ตรงนี้ต่างหากที่จะทำให้แรงปะทะระหว่าง กลุ่มสนับสนุน และกลุ่มต้านระบอบทักษิณมีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุด ดังเช่น กลุ่ม นปช.จังหวัดอุดรธานี ที่นำโดยนายขวัญชัย ไพรพนา ที่ประกาศหนุน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบสุดซอยเต็มที่ ด้วยคำกล่าวที่ว่า “อะไรก็ได้ ต้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาให้ได้ก่อน ปัญหาอย่างอื่นไว้แก้ทีหลัง”

ดังนั้นเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณตัดสินใจเหยียบคันเร่งสุดท้ายในวันพฤหัสฯ ที่ 31 ตุลาคมนี้แล้ว ย่อมแน่นอนว่า “วันดีเดย์” ใกล้เข้ามาเต็มที เมื่อรวมกับเรื่องร้อนในวันที่ 11 พ.ย. ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะมีการพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารด้วยแล้ว

10 กว่าวันต่อจากนี้ไป คือวันที่อุณหภูมิการเมืองในประเทศไทยมีสิทธิทะลุจุดเดือด!

หลายฝ่ายประเมินแล้วว่า ศึกครั้งนี้เป็นศึกครั้งสุดท้าย ที่จะนำไปสู่การ “นองเลือด” ได้ง่ายมาก!!

กำลังโหลดความคิดเห็น