คนทุกกลุ่ม ทุกชนชั้น ทุกสถาบัน ใน กทม.และต่างจังหวัด รวมสำแดงพลัง ต้าน ‘พ.ร.บ นิรโทษกรรม’ เผด็จการรัฐสภา สะท้อนภาพให้สังคมได้ประจักษ์ ‘ตระกูลชินวัตร’ ยึดประเทศแล้ว ชี้การเดินเกมสู้สุดซอยตามคำสั่ง ‘ทักษิณ’ เป็นการพลาดครั้งใหญ่ กลายเป็นการเสริมแรงดูดคนชั้นกลาง-ชั้นสูง และกลุ่มทุน เข้าร่วมต้าน อีกทั้งยกระดับการชุมนุมสู่การขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ‘GET OUT’ จับตา ‘พล.ต.จำลอง’ผู้เชี่ยวชาญโค่นเผด็จการจะเป็นกลไกสำคัญประสานทุกกลุ่ม ทุกคน เข้าร่วมม็อบครั้งนี้!
หลังจากการดันทุรังผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับ ช่วยทักษิณให้หลุดพ้นคดีทุจริตคอร์รัปชัน และช่วยทักษิณให้ได้รับเงินคืนกว่า 4.6 หมื่นล้านบาท ด้วยมติ 310 ต่อ 0 ในเวลา 04.25 นาที ของเช้าวันที่ 1 พ.ย. ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่สภาฯ จะมีการพิจารณากฎหมายสำคัญอย่างนี้ด้วยเวลา 19 ชม.เท่านั้น สาเหตุนี้ทำให้ประชาชนรู้สึกรับไม่ได้ เมื่อรัฐบาลเดินเกมรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ กระทำการทุกอย่างเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพียงคนเดียว โดยไม่สนใจประชาชนหรือหลักการประชาธิปไตยอะไรเลย ทำให้เวลานี้ถือว่าเป็นเวลาที่ประชาชนไม่ว่ากลุ่มไหน สีไหนที่คัดค้านกระบวนการที่ไม่ถูกต้องดังกล่าวได้จุดติดแล้วว่าประเทศไทยไม่ใช่เป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณและตระกูลชินวัตรเท่านั้น
สิ่งสำคัญคือการระดมประชาชนให้มีการระดมกำลังจากทุกสื่อ โดยเฉพาะสื่อดิจิตอลทั้ง Social Media อย่างเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และแม้กระทั่งโปรแกรมไลน์ในมือถือที่มีการรวมตัวเป็นกลุ่มๆ เพื่อวิพากษ์ทางการเมือง และกำหนดการต่อสู้ของภาคประชาชนอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นอย่างมีพลังเท่าครั้งนี้
เป่านกหวีด “ปรี๊ดด” ล้มเผด็จการทักษิณ!
เสียง “ปรี๊ดด!” เป่านกหวีดในวันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2556 เป็นเสียงเป่านกหวีดที่ดังมาก และเป็นเสียงที่แสดงให้เห็นชัดว่าคนชั้นกลางทนไม่ไหวกับ “อำนาจเผด็จการ” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกต่อไปแล้ว และกำลังทยอยออกมาต่อสู้
กลุ่มพรรคประชาธิปัตย์นำมวลชนปักหลักอยู่สถานีรถไฟสามเสนตั้งแต่เย็นวันที่ 31 ต.ค. 2556 และวันที่ 4 พ.ย.มีการประกาศยกระดับการชุมนุม โดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นำทัพสามเสนเดินเท้าไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน และไปขอพรจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ม็อบนี้คนไม่น้อย เมื่อ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นำหัวขบวนไปถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หางแถวเพิ่งอยู่แถวโรงพยาบาลรามา
กลุ่มภาคธุรกิจเอกชน นำโดย ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตยที่สีลม ประกาศรวมตัวกันเพื่อเป่านกหวีดคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่เป็นร่างล้างผิดให้คนทุจริตคอร์รัปชันต่อบ้านเมือง นัดหมายเวลา 12.34 น.ที่สีลม และประชาชนเข้าร่วมกับม็อบสีลมอย่างล้นทะลัก เสียงนกหวีดดังรับเป็นทอดๆ ตั้งแต่ในรถไฟฟ้ายันถนนทั้งเส้นของสีลม ก่อนหน้านี้องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันก็ออกแถลงการณ์คัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และมีการล่ารายชื่อเพื่อคัดค้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่เป็นกฎหมายล้างผิดให้การคอร์รัปชัน ซึ่งขณะนี้มีคนลงชื่อมากกว่า 2 แสนรายแล้ว กลุ่มนักธุรกิจนี้ถือว่ามีความไม่พอใจกับรัฐบาลนี้อย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันของรัฐบาลนี้ที่กินส่วนแบ่งสูงถึง 40-50% มากกว่ารัฐบาลใดๆ และยังจะออกกฎหมายล้างผิดให้คนโกงชาติโกงแผ่นดินอีก
กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาและประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ที่แยกอุรุพงษ์ นำโดย นายอุทัย ยอดมณี และทนายนกเขา นายนิติธร ล้ำเหลือ ที่ขณะนี้ม็อบสวนลุม คือ กลุ่มกองทัพประชาชนโค่นล้มระบอบทักษิณ (กปท.) ร่วมกับกองทัพธรรมได้เคลื่อนขบวนทัพเข้ารวมกับ คปท. โดยการนำการเคลื่อนทัพของพลตรีจำลอง ศรีเมือง ซึ่งยังมีสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) นำโดย นายสุริยะใส กตะศิลา และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ประกาศตัวเป็นผู้ประสานงานร่วมภาคีเครือข่ายประชาชน 77 จังหวัดมาหนุน
โดยก่อนหน้านี้กลุ่มแพทย์ พยาบาล เภสัช และบุคลากรของโรงพยาบาลรัฐ และกลุ่ม V For Thailand เข้าร่วมกับม็อบอุรุพงษ์มาก่อนหน้านี้แล้ว ล่าสุดกลุ่มนี้ประกาศยกระดับการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นอกจากนี้ยังมีกลุ่มของแนวร่วมคนไทยรักชาติ รักษาแผ่นดินของนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ที่เน้นการเคลื่อนไหวเรื่องปราสาทพระวิหารเป็นแรงหนุนของกลุ่มม็อบอุรุพงษ์อีกแรง ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากนักศึกษาเครือข่ายอาชีวศึกษา 15 สถาบันที่ประกาศ “เลิกรบเพื่อชาติ” ด้วย
กลุ่มเสื้อแดงอุดมการณ์กลุ่มนี้มีการเคลื่อนไหวของคนหลายกลุ่มแยกกัน ได้แก่ บก.ลายจุด นายสมบัติ บุญงามอนงค์ ที่เคลื่อนไหวคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่หน้าร้านแมคโดนัลด์ ราชดำเนิน ก่อนยกระดับไปเคลื่อนไหวที่ราชประสงค์, กลุ่มนักวิชาการหลายคนที่ออกมาคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษฯ ในนามส่วนตัว เช่น นายสมศักดิ์ เจียมสกุล และกลุ่มนักวิชาการสายแดงที่ออกแถลงการณ์คัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ได้แก่ กลุ่มนิติราษฎร์, กลุ่มมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
อีกทั้งกลุ่มแวดวงวิชาการ ออกแถลงการณ์คัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมหลายสถาบัน และล่าสุดได้มีการประชุมคณบดีร่วม 25 สถาบันคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี มหาวิทยาลัยนครพนม มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยพะเยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ก็ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีพลังไม่แพ้กลุ่มอื่นๆ
ไม่รวมกับกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยที่ทยอยออกมาประกาศแถลงการณ์คัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย
พลังมวลชนกำลังหลั่งไหลเข้าสู่ฝ่ายต่อต้านอำนาจเผด็จการของตระกูลชินวัตร!
คลื่นชนชั้นกลาง-นักธุรกิจลุกขึ้นสู้
อย่างไรก็ดี การรวมตัวของม็อบที่มีจำนวนมากขึ้นๆ นั้นต้องยอมรับว่าพลังของ Social Media เข้ามามีอิทธิพลในการระดมพลซึ่งมีความคล้ายเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ที่เกิดปรากฏการณ์ม็อบมือถือ ที่กลุ่มธุรกิจเอกชนรวมตัวกันเพื่อขับไล่รัฐบาลเผด็จการของพลเอกสุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรีจนสำเร็จมาแล้ว
เพียงแต่ครั้งนี้เปลี่ยนจากการขับ พล.อ.สุจินดา มาเป็นการต่อสู้เพื่อโค่นระบอบทักษิณ ชินวัตร ที่มีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนในการปกป้องและบริหาร ผลักดัน พ.ร.บ นิรโทษกรรมตามใบสั่งพี่ชายแทน
“พ.ต.ท.ทักษิณพลาดพลั้งทางการเมืองครั้งสำคัญ ครั้งนี้เสียหายมากจนกระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณคิดไม่ถึงมาก่อน เพราะที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณประเมินตัวเองสูงเกินกว่าความเป็นจริง คือประเมินว่าคุมได้หมดทุกอย่าง ทั้งตำรวจ ทหาร นักการเมือง ข้าราชการที่เป็นพวกของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ และคิดว่าจะต้องดันกฎหมายนิรโทษกรรมให้สำเร็จ หากวุ่นวายก็ยุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ แต่พลาด” ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ นักวิชาการอิสระ กล่าว
ดร.เทียนชัยกล่าวว่า การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้ของประชาชนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ยังเป็นการต่อสู้ของกลุ่มทุน กับกลุ่มทุนโลกาภิวัตน์ด้วย ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ คือกลุ่มทุนโลกาภิวัตน์ที่สร้างตัวขึ้นมาหลังเหตุการณ์การลอยตัวค่าเงินบาทในปี พ.ศ. 2540
เทียบกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ในช่วงนั้นเป็นการต่อสู้ของภาคประชาชนนำโดยขบวนการนักศึกษา ที่จะเผชิญหน้ากับรัฐเผด็จการทหารภายใต้อิทธิพลของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ต้องการครอบประเทศอื่นๆ เพื่อมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายด้านการทหารของแต่ละประเทศ แต่คราวนี้ยุ่งยากมากกว่าเนื่องจากระบบโลกมีพัฒนาการมากขึ้นจนเรียกว่าทุนกลายเป็นทุนโลกาภิวัตน์ ที่เกิดขึ้นมาจากภาวะสื่อไร้พรมแดนที่กระตุ้นกระแสบริโภคนิยม บันเทิงนิยม อีกด้านหนึ่งเป็นการเชื่อมโยงทุนไร้พรมแดน เกิดตลาดหุ้นที่ขึ้นอยู่กับทุนต่างชาติเข้ามาปั่นกำไร
เมื่อฝ่ายไหนเลือกเข้าข้างกลุ่มทุนโลกาภิวัตน์ ย่อมหมายถึงว่ากลุ่มนั้นมีพลังอย่างมาก และ พ.ต.ท.ทักษิณเลือกอยู่ในกลุ่มนี้ โดยอาศัยประโยชน์จากการเป็นคนในรัฐบาลช่วงการลอยตัวค่าเงินบาท หลังจากนั้นจึงมีการตั้งพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุด และมีการระดมทุนมากที่สุด จนเกิดพรรคเพื่อไทยที่มีทุนสนับสนุนมากที่สุดในเวลานั้น
กระบวนการนั้นคือจุดเริ่มต้นของการทำให้อำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณมีมาก และมากจนเกินไป จนคิดว่าตัวเองอยู่เหนือการควบคุมของทุกสิ่งอย่าง
เพราะเมื่อมีทุน มีเงิน มีพรรคการเมืองของตัวเอง ก็มีอำนาจที่จะชี้ถูกชี้ผิดได้ เพราะคนจำนวนหนึ่งยอมอยู่ใต้อำนาจเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ
แม้กระทั่งเวลานี้ก็มีคนจำนวนมากที่ไม่สามารถก้าวข้าม พ.ต.ท.ทักษิณได้เพราะเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ หลังจากมีอำนาจทางการเมืองด้วยการชนะเลือกตั้งในปี 2544 พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเริ่มยึดอำนาจเบ็ดเสร็จจากตำรวจ หวังทำให้กลายเป็น “รัฐตำรวจ” โดยการให้ดาบกับตำรวจมากกว่าเดิม โดยเฉพาะการให้อำนาจให้การปราบ หรือ ฆ่าตัดตอนกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ได้อย่างไม่ผิด
การที่ พ.ต.ท.ทักษิณดันรัฐตำรวจ และเป็นกลุ่มทุนโลกาภิวัตน์ที่มีอำนาจเกินขอบเขตนั้น ทำให้เกิดขบวนการต่อต้านโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นในปี 2547 และมีการปฏิวัติรัฐประหารโดยทหารขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
หลังจากนั้นกลุ่มเครือข่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับเรืองอำนาจขึ้นเรื่อยๆ จากการมีทุนจำนวนมาก และนโยบายประชานิยมนำไปสู่การชนะการเลือกตั้ง เข้าสู่อำนาจ และครั้งหลังนี้นอกจากคุมอำนาจตำรวจ ข้าราชการ ส.ส. ส.ว.ได้เบ็ดเสร็จแล้ว ยังมีสิ่งที่เรียกว่ามีการ “เจรจาต่อรอง” กับกลุ่มผลประโยชน์อื่นๆ เพื่อให้อยู่ภายใต้อำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งกลุ่มผู้นำทหารที่สังคมตั้งข้อสงสัยในจุดนี้อย่างมาก
สิ่งเหล่านี้ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณเชื่อมั่นมากว่า เขาสามารถคุมทุกอย่างได้เบ็ดเสร็จ จะทำอะไรก็ได้ จะสั่งการอะไรก็ได้ จะล้มเลิกกฎหมายฉบับใดก็ได้
นั่นจึงเป็นสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณก้าวพลาดทางการเมืองอยู่ในเวลานี้ และสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณหยิ่งผยองนี้ จะเป็นสิ่งที่กลับมาทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณ และตระกูลชินวัตร!
“ปี 2547 พันธมิตรฯ สู้โดยยกประเด็นล้มสถาบันขึ้นมา ประกอบกับประชาธิปัตย์มีวาทกรรม “คนตระกูลเดียวยึดประเทศไทย” ซึ่งเป็นวาทกรรมที่แข็งแกร่งมาก คือมันอยู่ในใจคนไทยมาตลอด แต่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่รู้ เมื่อการผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเป็นไปอย่างไม่สนใจหลักการ เอาเสียงข้างมากลากไปเช่นนี้ จึงเป็นการพิสูจน์สิ่งที่อยู่ในใจประชาชนมาตลอดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง คือคนตระกูลชินวัตรต้องการยึดประเทศไทยโดยไม่สนใจหลักการอะไรทั้งนั้น”
กระแสประชาชนจึงจุดติดแล้วในเวลานี้ เพราะข้อสงสัยในใจของเขาได้รับการพิสูจน์ โดยการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั่นเอง!
“พลตรีจำลอง” ผู้รวมทัพใหญ่ล้มรัฐบาล
อย่างไรก็ดี ดร.เทียนชัยกล่าวว่า สิ่งที่จะเอาชนะอำนาจที่ไม่เป็นธรรมอย่างนี้ได้คือ พลังประชาชนเท่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าประชาชนจะออกมาคัดค้านมากเท่าไร
ไม่เกี่ยวกับแกนนำ แกนนำจะเป็นใครก็ได้
ถ้าประเมินประชาธิปัตย์ตอนนี้ ประชาธิปัตย์มีจุดอ่อนหลายประการ ประการสำคัญคือไม่เคยมีประสบการณ์การนำม็อบมวลชนขับไล่รัฐบาลมาก่อน
แต่ดูให้ดีจะเห็นว่า จุดอ่อนนี้ได้รับการปิดไปเรียบร้อยแล้ว โดยการออกมาของ “พลตรีจำลอง ศรีเมือง”
“พลตรีจำลอง เป็นคนที่มีประสบการณ์อย่างมากในการจัดการและดูแลม็อบขับไล่รัฐบาลเผด็จการ และมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน ดังนั้นเมื่อพลตรีจำลองออกมาแล้ว ซึ่งท่านเป็นคนกลางๆ ดังนั้นประชาธิปัตย์จะกล้าที่จะเข้าปรึกษา และไม่ยากเลยหากจะประสานงานเพื่อนำม็อบมวลชนทั้งหมดเพื่อรวมตัวกัน”
ดังนั้นเมื่อพลตรีจำลองออกมาปรากฏตัวอย่างนี้ นับว่าพลังในฝ่ายต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และต่อต้านระบอบทักษิณแข็งแกร่งมาก แม้ม็อบทั้งหมดจะไม่ได้รวมตัวกัน
“ไม่จำเป็นเลยที่จะรวมตัวกันในเวลานี้ เพราะบางคนก็สะดวกใจมากกว่าที่จะไม่ร่วมกับม็อบที่ประชาธิปัตย์จัดตั้งขึ้น ดังนั้นใครจะเลือกไปม็อบไหนตอนนี้สามารถไปร่วมการคัดค้านได้หมด จะเป็นการรวมพลังที่ใหญ่มาก แต่โอกาสของการรวมตัวกันใช่ว่าไม่มี จะมีการรวมตัวกันแน่นอนเมื่อโอกาสเหมาะ”
ดร.สมบัติชี้ประชาชนต้องให้บทเรียนรัฐบาล
เช่นเดียวกับ ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อดีตอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่กล่าวว่าการแยกกันเดินเวลานี้ของทุกกลุ่ม จะมีพลังมากขึ้นเมื่อมีการรวมตัวกัน
ระบอบประชาธิปไตยจะต้องเป็นประโยชน์ของคนไทย ไม่ใช่ประโยชน์ของคนไม่กี่คน!
“ปัญหาของประเทศชาติในปัจจุบันเยอะมาก ทั้งค่าครองชีพ ทั้งส่งออกที่ลดลง รัฐบาลสนใจแก้ปัญหาไหม สะท้อนให้เห็นชัดเลยว่าทำประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณมากกว่าทำเพื่อเจ้านาย”
วันนี้ประชาชนเองต้องคิดแล้วว่า ต้องให้บทเรียนกับรัฐบาล ว่าการออกกฎหมายโดยมิชอบ การกระทำเพื่อตนเอง เพื่อพรรคพวก โดยไม่เหมาะสม ใช้แต่เสียงข้างมากเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
โดยเฉพาะการผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ผ่านมามีความไม่เหมาะสมอย่างมาก
“สภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่ต้องพิจารณากฎหมายของบ้านเมืองจำนวนมาก ดังนั้นที่ผ่านมาพบว่ามีการพิจารณาร่างกฎหมายบางฉบับอย่างเร่งด่วน คือผ่านรวดเดียว 1-3 วาระ ก็มีเหมือนกัน โดยข้อบังคับสามารถทำได้ ที่จะใช้เสียงข้างมากผ่านกฎหมายโดยเร็ว แต่จะเป็นการพิจารณากฎหมายเล็กๆ เรื่องเร่งด่วน ไม่ใช่กรณีกฎหมายใหญ่ๆ อย่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เกี่ยวข้องกับปัญหาบ้านเมือง”
ดังนั้น การที่รัฐบาลเลือกพิจารณา พ.ร.บ.นิรโทษกรรมอย่างรวบรัด ให้เสร็จโดยเร็วด้วยการดำเนินการใดๆ ถือเป็นความมุ่งหวังของรัฐบาลที่ไม่ได้คำนึงถึงปัญหา ความวุ่นวายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับสังคม ไม่สนใจปัญหาประเทศชาติ ไม่สนใจประชาชน เน้นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวของคนบางคนเท่านั้น
“มาตรา 3 ของ พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นที่ชัดเจนว่า ประโยชน์จะตกกับ พ.ต.ท.ทักษิณมากที่สุด คนอื่นได้ประโยชน์น้อยมาก การที่เสียงข้างมากในสภาฯ ร่วมกันกระทำตามคนหนึ่งคนใด ถือว่าเป็นเพียงเผด็จการรัฐสภา ไม่ใช่หลักการเสียงข้างมากในระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นจึงเป็นประชาธิปไตยในลักษณะที่เรียกว่า ระบอบประชาธิปไตยที่ไม่ดี สำหรับผมแล้วระบอบประชาธิปไตยนี้ไม่ใช่ระบอบที่ดีเลย”
ส่วนการที่คิดว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จะยังต้องผ่านอีก 2 ด่านคือวุฒิสภา และศาลรัฐธรรมนูญนั้น ศ.ดร.สมบัติมองว่าไม่มีประโยชน์ เพราะวุฒิสภามีเสียงส่วนใหญ่ที่อิงอยู่กับฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ชัดเจนจากกรณีการโหวตร่างกฎหมายต่างๆ ที่ผ่านมาหลายครั้งแล้ว
ดังนั้นในขั้นของการพิจารณาในวุฒิสภา ยังจะออกมาในรูปแบบเดิม คือใช้เสียงข้างมากผลักดันกฎหมายเพื่อเป็นประโยชน์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ
เหลือแต่ขั้นตอนของศาลรัฐธรรมนูญที่ประชาชนจะพึ่งได้ แต่ถ้าประชาชนรอให้ถึงวันนั้นก็อาจจะสายไป
“มีคนพยายามพูดอย่างนั้น เพื่อให้สถานการณ์ทางการเมืองผ่อนคลายอุณหภูมิลง แต่สุดท้ายวุฒิสภาก็จะเห็นชอบ แล้วส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ใครจะทำอะไร ใครจะค้านก็สายไปแล้ว”
ประเด็นสำคัญคือเมื่อประชาชนออกมาต่อสู้ โอกาสการต่อสู้ครั้งนี้อาจนำไปสู่การชนะ แต่อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้ทุกเมื่อเช่นกัน
“ไอ้ก้านยาว” แนะรัฐใช้อำนาจอย่างเหมาะสม
ด้าน นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีตนักศึกษายุค 14 ตุลาคม 2516-6 ตุลาคม 2519 ชื่อดัง ฉายา “ไอ้ก้านยาว” กล่าวว่า เวลานี้นับเป็นช่วงที่สถานการณ์บ้านเมืองมีความน่าเป็นห่วงอย่างมาก ถือว่าเป็นช่วงที่เรียกว่า “อันตราย” ของบ้านเมือง
“ตอนนี้มีความขัดแย้งทางความคิดสูงมาก คนมีความคิดเห็นแตกต่างกันมาก นักการเมืองก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในรัฐสภาได้ ดังนั้น คาดว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นอย่างแน่นอน”
รัฐบาลเองในเวลานี้แม้ว่าต้องคงอำนาจรัฐ แต่ก็ขอให้ใช้อำนาจรัฐอย่างเหมาะสมด้วยเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียของภาคประชาชน
จุดนี้ถือว่าเป็นจุดอันตรายที่สุด!