xs
xsm
sm
md
lg

ขบวนการหากินของคนห่มเหลือง! กลยุทธ์ปลุกศรัทธา-เงิน-บารมี-นารีพิฆาต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตีแผ่ 2 องค์ประกอบปั้นพระโด่งดัง ดึงญาติโยมศรัทธาล้นหลาม เงินทองไหลมาเทมาไม่ขาดสาย นำไปสู่เส้นทาง “นารีพิฆาต” ถูกปาราชิกหลุดจากวิถีความเป็นพระสงฆ์ ขณะที่ ปู่เณรคำ เดินอยู่บนเส้นทางคล้ายคลึงกับอดีตพระดัง “สมีเจี๊ยบ-นิกร-ยันตระ-ภาวนาพุทโธ-อิสระมุนี” ส่วนอดีตพระมิตซูโอะ ถูกตั้งคำถามเบียดก่อนสึก หรือสึกก่อนเบียด ด้านพระผู้ใหญ่ในวัดหลวง ระบุ บริบททางสังคมทำให้พระใช้กุฎิมั่วสีกาได้ง่าย
 

“พระพุทธศาสนา” ไม่มีวันเสื่อม!

คำกล่าวนี้ถูกหักล้างแบบเบ็ดเสร็จ จากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ก่อตั้ง

คำพุทธทำนายของ “พระพุทธเจ้า” ศาสดาของศาสนาพุทธ เคยกล่าวไว้ว่า พระพุทธศาสนาจะอยู่ได้นานที่สุดก็แค่ 5 พันปีเท่านั้น โดยพุทธศาสนาจะค่อยๆ เสื่อมไปในที่สุดด้วยตัวของมันเอง

เวลานี้ผ่านไปแล้ว 2,600 ปี ก็เหลือเวลาอีกไม่นานนัก ที่จะถึงจุดเสื่อมของพุทธศาสนาอย่างที่มีคำทำนาย โดยพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ความเสื่อมนั้นจะเกิดจากพุทธบริษัททั้ง 4 ที่เป็นคนสนับสนุนพระพุทธศาสนาเอง

พุทธบริษัท 4 ได้แก่ พระภิกษุ พระภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

พระผู้ชาย พระผู้หญิง ชี ญาติโยม ลูกศิษย์ลูกหา ทั้งหมดนี้แม้จะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนพุทธศาสนา แต่ในมุมกลับ คนกลุ่มนี้จะเป็นผู้ทำลายพุทธศาสนาเสียเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พระสงฆ์” ที่ถือว่าเป็นผู้สนับสนุนพระพุทธศาสนามากกว่าพุทธบริษัทอื่นๆ ก็สามารถเป็น “ผู้ทำลาย” พุทธศาสนาได้มากที่สุดในบรรดาทั้งหมด

อย่าแปลกใจที่เวลานี้เรื่องราวสุดฉาวของ “พระ” ทั้งหลาย จึงเป็นที่ถูกตั้งประเด็นสงสัยว่าศาสนาพุทธกำลังเสื่อมลงอย่างที่สุด หากย้อนดูเหตุการณ์สารพัดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เป็นข่าวโด่งดัง ก็ล้วนทำให้ประชาชนเกิดวิกฤตศรัทธาต่อผ้าเหลืองอย่างเห็นได้ชัด

ที่สำคัญพระเหล่านี้กลับมีเส้นทางเดินและจบชีวิตความเป็นพระคล้ายๆ กัน ด้วยเหตุที่ร่ำรวยด้วยแรงบริจาคจากประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธา และสุดท้ายมักถูก “ปาราชิก” เพราะสีกาเข้ามาเกี่ยวข้องจนเป็นที่โจษจันถึงปรากฏการณ์ “นารีพิฆาต”!

กลยุทธ์สร้างศรัทธา-เงิน-บารมี

อย่างไรก็ดีการครองจีวรเป็นพระนั้น ถ้าไม่ได้มีศรัทธาประชาชนเข้ามาเสริมแรง โอกาสที่จะกินอยู่อย่างสุขสบาย ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินต่างๆ ที่จะใช้เกื้อหนุนใครต่อใครย่อมเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะอิสตรีที่พระนั้นหมายปอง

เพราะพระที่แท้มักอยู่อย่างสมถะ

ขณะที่พระอยากสบายนั้น ต้องสร้างศรัทธา เพราะศรัทธาจะนำมาสู่ “ความสุขสบาย” ที่แม้เป็นฆราวาสก็ยากที่จะประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้

ดังนั้น เมื่อเกิดเรื่องฉาวๆ ของพระสงฆ์แต่ละครั้ง แม้พระนั้นๆ จะถูกสังคมประณามหยามเหยียดเพียงไร แต่ไม่นานนักคนก็จะลืมพระฉาวคนนั้นไป และเกิดมีพระรูปอื่นกระทำเฉกเช่นเดียวกันนี้ขึ้นมาใหม่ จนทำให้กระแสวิกฤตศรัทธาในผ้าเหลืองสูงขึ้นกว่าที่ผ่านมา

“เมื่อเรื่องของหลวงปู่เณรคำจบลงหรือค่อยๆ ซาลงไป เชื่อว่าอีกไม่นานก็จะมีเรื่องราวของพระรูปใหม่ๆ ที่โด่งดังในทางธรรมเกิดขึ้นมาอีก ทั้งนี้เป็นเพราะคนไทยลืมง่าย” ดร.มนัส โกมลฑา อาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน นครราชสีมา กล่าว

ดร.มนัสเป็นใคร คนในสังคมบางกลุ่มอาจไม่ทราบ แต่ ดร.มนัสนี้ประกาศตัวว่าคือศิษย์หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ คลุกคลีกับวงการศาสนามานาน และเป็นผู้หนึ่งที่กล้าออกมาเปิดโปงคนที่เขาเรียกว่า “สมีธรรมชโย” เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย ว่าบิดเบือนคำสอนหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ในวิชาธรรมกาย ออกมาหาประโยชน์ส่วนตน และมีคำสอนที่ผิดต่อหลักการพุทธศาสนา

ดร.มนัสจึงเป็นคนหนึ่งที่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับ “มาร” ของพระพุทธศาสนาในรูปแบบของพระอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าพระรูปนั้นจะได้แรงศรัทธาจากมหาชนมากขนาดไหน

ดร.มนัสกล่าวกับ Special scoop ว่าการที่พระรูปหนึ่งจะโด่งดังขึ้นมา มีลูกศิษย์ลูกหาที่ศรัทธามากมายนั้น เกิดขึ้นจาก 2 องค์ประกอบ คือตัวพุทธศาสนิกชน และกระบวนการของพระ

เนื่องจากเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ คนไทยส่วนใหญ่นิยมทำบุญกับพระ เชื่อเรื่องของบาปบุญคุณโทษ เชื่อเรื่องการทำบุญมากได้ผลบุญมาก ยิ่งได้ทำบุญกับพระที่มีวัตรปฏิบัติดีหรือทำบุญกับพระในระดับอรหันต์แล้วจะได้บุญมากขึ้นกว่าพระทั่วไป โดยที่ไม่ยั้งคิดเชื่อหมดใจ ทำให้เมื่อเกิดกระแสพระดังขึ้นมา คนไทยจึงทุ่มศรัทธาไปที่พระรูปดังกล่าว

อีกทางหนึ่งพระที่ดังขึ้นมาส่วนใหญ่จะมีขั้นตอนของความดัง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากตัวลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดช่วยกันส่งเสริม บางรายเป็นญาติของพระ

ส่วนกลยุทธ์ที่ใช้ก็จะเป็น “แบบปากต่อปาก” ทำให้พระรูปนั้นเริ่มเป็นที่รู้จักของญาติโยมพุทธศาสนิกชนมากขึ้น

เมื่อเริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนในระดับหนึ่งแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็จะเป็นเรื่องของการเผยแพร่หลักธรรมคำสอน การรับงานบรรยายธรรมตามสถานที่ต่างๆ ถือว่ามีความสำคัญ เพราะยิ่งบรรยายตามสถานที่สำคัญของหน่วยงานต่างๆ มากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นการการันตีความเก่งของพระรูปนั้น

หลังจากนั้นก็จะมีเรื่องของหนังสือไม่ว่าจะเป็นชีวประวัติของพระ หรือธรรมะที่พระได้บรรยายทำออกมาเป็นรูปเล่ม ในขั้นตอนนี้มีทั้งส่วนที่ลูกศิษย์เป็นคนจัดการให้หรือบางครั้งมีสำนักพิมพ์บางแห่งเข้าไปประกบ เหมือนกับเป็นการผูกลิขสิทธิ์ไว้กับสำนักพิมพ์แห่งนั้น

“พระที่รูปร่างหน้าตาดี เทศน์เก่ง ส่วนใหญ่มักจะดัง ยิ่งถ้าได้สื่ออย่างหนังสือพิมพ์รายใหญ่เข้ามาช่วยสร้างข่าวให้ก็ยิ่งทำให้ดังเร็วขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อหนังสือพิมพ์” ดร.มนัสกล่าว

ปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้ช่องทางในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ของพระรูปดังกว้างมากขึ้น ทั้งทางเว็บไซต์และผ่านทางโซเชียลมีเดีย
ภาพที่ถูกส่งต่อในอินเทอร์เน็ตมากที่สุดภาพหนึ่ง เป็นภาพคล้ายหลวงปู่เณรคำกำลังนอนอยู่กับสีกา
ปูดอิทธิปาฏิหาริย์เรียกแขก

ดังนั้นในแต่ละขั้นตอนที่จะสร้างความดังให้พระจึงไม่ต่างจากการสร้างธุรกิจให้ติดตลาดขึ้นมา ด้วยการเอื้อประโยชน์ระหว่างกัน ธุรกิจสิ่งพิมพ์ขายดีขึ้นจากคนที่ต้องการติดตามพระองค์นั้น และพระก็จะมีญาติโยมที่ศรัทธามากขึ้น

พระที่จะดังขึ้นมาได้ ไม่ใช่แค่เพียงหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่จะต้องมีตัวเสริมแรงอื่นเข้ามาอย่างเช่น ระลึกชาติได้ ได้พบกับพระพุทธเจ้า พระอินทร์หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะสรรหามาเสริมบารมีให้กับพระรูปนั้น

“จริงไม่จริง ไม่มีใครรู้ได้ แต่หนึ่งในข้อห้ามประการหนึ่งของพุทธศาสนาบัญญัติไว้คือห้ามมีการอวดอุตริมนุสสธรรม ดังนั้นเมื่อศาสนิกชนได้ทราบเรื่องของพระเหล่านี้พึงทราบไว้ว่านี่เป็นการกระทำผิดพุทธบัญญัติแล้ว” ดร.มนัสระบุ

พระกล้าพูด กล้าขอ- “เงิน-สตรี” ไหลมา

เมื่อองค์ประกอบครบถ้วน พระดังมีปาฏิหาริย์ มีบุญบารมีสูง สื่อเริ่มเชียร์ คนศรัทธามากขึ้นด้วยเหตุที่คนไทยพร้อมเชื่อ คราวนี้เมื่อพระจะพูดอะไร บอกบุญอย่างไร ทุกอย่างจะง่ายไปหมด

อย่างไรก็ดี พระผู้ใหญ่ชั้นเจ้าคุณในวัดหลวง เล่าให้ Special scoop ฟังว่า เงินบริจาคที่ทำให้พระรูปนั้นร่ำรวย หรือเพื่อนำไปก่อสร้างสิ่งต่างๆ ในวัดดังๆ ล้วนเกิดจากความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ทั้งหมดจะมาจากการเอ่ยปากขอของพระดังหรือเจ้าอาวาสของวัดดังแห่งนั้น

“ความกล้า” นั้นเอง เป็นสิ่งที่พระที่อยากรวยต้องมีเป็นคุณสมบัติแรก เพราะพระก็เหมือนกับคนธรรมดา ใครกล้าขอก็ได้ตามที่อยากได้ เป็นเรื่องพื้นฐานของมนุษย์

“พระจะรวยได้เพราะญาติโยมศรัทธา ขอให้ไม่อาย กล้าพูด กล้าขอ เมื่อญาติโยมได้ปวารณาไว้พระสามารถทวงได้ 3 ครั้ง เมื่อครบแล้วก็ไปยืนเฉยๆ ให้โยมท่านนั้นเห็นได้อีก 3 ครั้ง”

เช่นเดียวกับ ดร.มนัสที่มองว่า เงินบริจาคที่เข้ามาจะมาจากโครงการของพระที่เสนอความคิดว่าจะก่อสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อบำรุงพระศาสนา เช่น สร้างพระใหญ่ หรือถาวรวัตถุอื่นๆ คนที่ศรัทธาอยู่แล้วก็บริจาคเพื่อให้ตัวเองได้บุญมากๆ

ยอมรับว่าพระในสายวิปัสสนาหรือกลุ่มพระป่ามักจะได้รับความนิยมและศรัทธามากกว่าพระสายปริยัติ เพราะคนทั่วไปมองกันว่าพระสายปฏิบัตินั้นเคร่งครัดมากกว่า ดังนั้นพระที่ดังๆ ส่วนใหญ่จะเป็นพระที่มาจากสายปฏิบัติ

ดร.มนัสแนะนำว่า พระในสายปฏิบัติส่วนใหญ่แล้วจะไม่ยึดติดกับเรื่องเงินทองหรือสิ่งปลูกสร้าง หากเห็นว่าพระเหล่านี้มุ่งเน้นเรื่องการรับบริจาคเพื่อสร้างสิ่งต่างๆ แล้ว ตรงนี้ถือว่าขัดกับวิถีปฏิบัติ พระดีๆ ส่วนใหญ่จะไม่เน้นในเรื่องเหล่านี้ หากญาติโยมรุกเร้ามากก็จะปลีกตัวเองออกไป เข้าทำนองที่ว่า “พระดีไม่ดัง พระดังไม่ดี”
ภาพหลวงปู่เณรคำถือกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง นั่งเครื่องบินเจ็ต
ที่ผ่านมา พระที่หลงมัวเมาในสมบัติ และในนารีจึงมีไม่น้อย และส่วนใหญ่เป็นพระดังที่คนศรัทธาระดับประเทศ เช่นที่ดังระเบิดในทางลบอยู่ในเวลานี้อย่างหลวงปู่เณรคำ

หรืออดีตพระอาจารย์มิตซูโอะ ที่คนส่วนใหญ่ก็ยังสงสัยในพฤติกรรมว่าแท้จริงแล้วท่านเบียดก่อนสึก หรือสึกก่อนเบียด ซึ่งเป็นปริศนาที่หลายคนมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว

ส่วนที่ผ่านมามีพระดังๆ ในทางลบจนต้องถูกจับปาราชิก ถูกติดคุก หรือบางรายต้องหลบหนีไปอยู่ในต่างประเทศ จนทำให้ศาสนามัวหมองและเสื่อมทรุดดังคำพุทธทำนายมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง

ใครเป็นใคร ทำอะไรกันบ้าง?

2532 “สมีเจี๊ยบ” มีเมียเกือบโหล

เริ่มตั้งแต่ สมีเจี๊ยบ หรือพระครูสมุห์สรศักดิ์ (เจี๊ยบ) มีข้อมูลจากมหาจุฬาฯ(2535) หน้า 291 ระบุว่าสมีเจี๊ยบ หรือพระครูสมุห์สรศักดิ์ (เจี๊ยบ) คมฺภีรปญฺโญเป็นพระฐานานุกรม ที่พระครูสมุห์ ของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นพระหนุ่มและเป็นเลขานุการประจำตัวของเจ้าประคุณ และในระหว่างที่เจ้าประคุณสมเด็จฯเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ถึงวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2532 ได้ถูกความโลภครอบงำ

โดยเห็นแค่เงินสินจ้างรางวัลเลยถูกจับในคดีปลอมตราสมเด็จพระสังฆราช ทำการแต่งตั้งพระอุปัชฌาย์วิสามัญ ตลอดจนมั่วกับสีกา มีเมียเกือบ 10 คนทั้งที่ยังครองผ้าเหลืองอยู่ สร้างความเสื่อมเสียให้สำนักวัดมหาธาตุฯ เจ้าประคุณสมเด็จฯ ตลอดวงการคณะสงฆ์เป็นอย่างมาก เรียกว่ากลางปี พ.ศ. 2543 สำนักวัดมหาธาตุฯ เสียชื่อเสียงมากที่สุด

แต่ในที่สุดพระครูสมุห์สรศักดิ์ก็ต้องถูกจับสึก เพราะคดีปลอมตราสมเด็จพระสังฆราชทำการแต่งตั้งพระอุปัชฌาย์วิสามัญ และเสพเมถุน เป็นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุเป็นนายสรศักดิ์ พรรัตนสมบูรณ์ หรือสมีเจี๊ยบ” (...มหาจุฬาฯ, ๒๕๓๕, หน้า ๒๙๑)

สมีเจี๊ยบนั้น เมื่อสึกไปแล้ว ได้ให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ เขาบวชตั้งแต่อายุ 13 ปี รวมเวลาบวช 14 ปี มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงประมาณอายุ 20 ปี มีผู้หญิงมากกว่า 7 คน เกือบๆ โหล ไล่อาชีพแล้วก็มีนักร้อง 1 คน แม่ค้า 2 คน ช่างเสริมสวย 1 คน นอกนั้นเป็นนักเรียน โดยระบุถึงความรักว่า

“ความรักเป็นคำสั้นๆ แต่มันกินใจและยาวนานสำหรับคนบางคน ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่เลือกชั้นวรรณะ เมื่อเกิดขึ้นแล้วยากที่จะห้าม อย่างคนรักพระหรือพระรักคน เป็นเรื่องของสภาวะจิตใจ เมื่อความชอบเกิดขึ้นภายนอก ซึ่งอาจจะหลงรักกันโดยที่อีกคนไม่รู้ และเมื่อถึงวันที่มาประสาน มารับรู้ เข้าใจอะไรกัน ก็ถึงคราวสุกงอม จะว่าเราคนเดียวก็ไม่ได้ มันมีความพอใจและพร้อมกันทั้งสองฝ่าย พระเองก็ข่มขืนผู้หญิงไม่ได้ ความรักความใคร่ ความหลง ทำให้คนตาบอดไปชั่วขณะ บางครั้งก็เกิดอารมณ์ชั่ววูบ บางครั้งเราก็ทำไปด้วยสติสำนึกที่ดี ซึ่งในทางพระถือเป็นโทษที่ร้ายแรง เกินกว่าที่จะปลงอาบัติให้หลุดได้จึงไม่ได้ปลง”

ส่วนในเรื่องเงิน สมีเจี๊ยบกล่าวว่า “บางคนอาจมองว่าผมไปจีบผู้หญิงต้องใช้เงินทุ่ม ที่จริงผู้หญิงเขาก็รู้อยู่แล้วว่าพระไม่ค่อยมีเงินที่จะไปทำอย่างนั้น อย่าง จินตนา โพธิราช นักร้องประจำพลอยคาเฟ่นั้น ผมก็ให้ใช้เดือนละ 2,000 บาท, 3,000 บาทเท่านั้น และไม่ได้ให้ประจำ รายได้ของเขาตกเดือนละ 20,000 บาท

ส่วนผู้หญิงคนอื่นๆ เขาก็มีอาชีพมีงานทำ บางคนว่าผมมีรถเบนซ์ รถบีเอ็มนั่ง นั่นเป็นรถของลูกศิษย์ที่ปวารณาตัวรับใช้ ผมจะเรียกใช้สัปดาห์ละสองสามวันเท่านั้น และที่ว่ากันว่าผมมีคอนโดมิเนียมนั้นก็ไม่จริง อย่างนั้นต้องเป็นคนมีเงิน 30-40 ล้านถึงจะสร้างได้ ผมรู้สึกเสียใจที่มีการกล่าวกันว่าผมมีรายได้วันละ 15,000-100,000 บาท ซึ่งถ้าผมมีรายได้ขนาดนั้น ผมคงไม่อยู่ดักดาน ต้องออกไปนานแล้ว ตอนนี้มีเงินอยู่เพียง 30,000 บาท ใช้ชีวิตเงินเพียง 500,000-600,000 บาท ก็คิดว่าเป็นชีวิตที่สุขสบายแล้ว”

ปัจจุบันสมีเจี๊ยบก็ใช้ชีวิตฆราวาสตามเส้นทางที่เลือกเดินแล้ว

2533 “พระมหานิกร” เสพเมถุนกับอิสตรี

ห่างกันแค่ปีเดียว ก็เกิดกรณี พระมหานิกร หรือนายนิกร ยศคำจู เป็นพระดังอีกหนึ่งรูปขณะดำรงสมณเพศในฐานะพระครูใบฎีกานิกร ธรรมวาที เจ้าอาวาสวัดสันปง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ มีข่าวคาวกับ “อิสตรี” เมื่อไปมีความสัมพันธ์กับนางอรปวีณา บุตรขุนทอง จนมีลูกด้วยกัน และมีหลักฐานมากมายทั้งจดหมายรัก ภาพถ่ายต่างๆ และถูกดำเนินคดีทั้งศาลยุติธรรม และศาลสงฆ์ในท้ายที่สุด โดยศาลสงฆ์มีมติระบุความผิดพระนิกรว่าเป็น “ปฐมปาราชิก” คือการเสพเมถุนกับอิสตรี ขาดจากความเป็นพระ แม้จะกลับมาบวชใหม่ก็ไม่สามารถดำรงความเป็นสมณเพศได้

แต่พระนิกรไม่ยอมถอดผ้าเหลือง จึงเป็นเหตุให้มีการแก้ พ.ร.บ.ปกครองสงฆ์ พ.ศ. 2535 (ฉบับที่ 2) ให้ตำรวจ/อัยการ จับพระสึกได้

อย่างไรก็ดี หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น นายนิกรยังคงอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ โดยใช้วิธีนุ่งขาวห่มขาว ปฏิบัติธรรมต่อไปที่สำนักปฏิบัติธรรมพระธาตุดอยนางแล จังหวัดเชียงใหม่ สลับกับเดินทางไปปฏิบัติธรรมที่ประเทศมาเลเซีย และเดินทางเผยแพร่ธรรมะอีก 38 ประเทศ จนเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2550 พบว่า นายนิกร ได้แต่งกายห่มผ้าสีน้ำตาลเข้ม นำเอกสารแอบอ้างว่าเป็นสงฆ์ ไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลสงฆ์ จนถูกดำเนินคดีด้วย โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายที่แสดงว่าเป็นพระภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช โดยมิชอบ เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนเป็นเช่นนั้น มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 208 กม. (ป.อาญา) พร้อมทั้งสอบปากคำก่อนปล่อยตัวชั่วคราว
ภาพพระยันตระไว้ผมยาว
2537 นารีพิฆาตดับ “ยันตระ อัมโรภิกขุ”

ยันตระ อมโร เจ้าสำนักวัดป่าสุญญตาราม เกริงกาเวีย อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี หรือ พระวินัย อมโร ในชื่อของนายวินัย ละอองสุวรรณ พระยันตระเป็นพระในคณะสงฆ์ธรรมยุตนิกาย ก่อนอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เขาได้ปฏิบัติตนเป็นนักพรตฤๅษีอยู่หลายปีจนเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ต่อมาได้อุปสมบทเป็นพระสงฆ์ในธรรมยุตนิกายเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 ณ พัทธสีมาวัดรัตนาราม อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ชื่อ “ยันตระ” แปลว่าผู้ไกลจากกิเลส

พระยันตระ ถือเป็นพระอีกรูปหนึ่งที่ได้รับแรงศรัทธามหาศาลจากผู้คนจำนวนมากถึงขนาดมีคำกล่าวว่า บ้านจำนวน 10 หลังคาเรือนต้องมี 8 ใน 10 หลังที่มีภาพพระยันตระไว้บูชา และหากพระยันตระเดินทางไปแสดงธรรมที่ใด พุทธศาสนิกชนจากทั่วทุกสารทิศต่างเดินทางมาจนแออัด แม้กระทั่งสนามหลวง ถึงขนาดมีการปูพรมแดงตลอดเส้นทางที่พระยันตระเดินผ่านก็มีให้เห็น

นอกจากนี้ยังมีผู้ศรัทธาสร้างสำนักวัดถวายหลายแห่ง โดยทุกวัดที่สร้างจะใช้คำว่า “สุญญตาราม” ประกอบด้วยเสมอ สำนักที่เป็นที่รู้จักดีคือ วัดป่าสุญญตาราม กาญจนบุรี วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน รัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น

แต่แรงศรัทธากลับต้องสะเทือนหนักเมื่อปี พ.ศ. 2537 เมื่อสีกากลุ่มหนึ่งทำหนังสือร้องเรียนขึ้นทูลสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก รวมทั้งยังร้องเรียนโดยตรงไปยังอธิบดีกรมการศาสนาในขณะนั้น ถึงการปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมกับความเป็นพระของพระยันตระ อมโร

โดยในหนังสือร้องเรียนของกลุ่มสีกาดังกล่าว มีหลักฐานเป็นเทปการสนทนาระหว่างพระยันตระกับนางจันทิมา ซึ่งเป็นหนึ่งในสีกาที่ร้องเรียนว่า พระยันตระได้ล่อลวงไปเสพเมถุนด้วยจนตั้งครรภ์ และคลอดออกมาเป็นบุตรสาวในนาม “ด.ญ.กระต่าย” คดีนี้ เกิดการท้าพิสูจน์และฟ้องร้องกันเป็นเรื่องราวใหญ่โต

โดยนางจันทิมา และ ด.ญ.กระต่าย ยอมเจาะเลือดตรวจดีเอ็นเอ ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ในขณะนั้นเพื่อพิสูจน์ความจริงหาผู้เป็นพ่อของเด็ก แต่ทว่า พระยันตระกลับปฏิเสธไม่ยอมเจาะเลือดตรวจพิสูจน์ ในขณะที่การฟ้องร้องดำเนินคดี เรื่องน่าจะสิ้นสุดอยู่ที่ชั้นอัยการ เนื่องจากพระยันตระเดินทางหลบหนีออกไปต่างประเทศเสียก่อนที่คดีจะถูกนำขึ้นให้ศาลพิจารณา และในระหว่างอยู่ต่างประเทศก็มี หม่อมดุษฎี บริพัตร ซึ่งถือเป็นโยมอุปัฏฐากคนสำคัญของพระยันตระ นำมาเป็นหลักฐานร้องเรียนถึงความไม่เหมาะสม ต่อความเป็น “สมณสารูป” ระหว่างที่พระยันตระเดินทางไปต่างประเทศด้วย

ข้อมูลการกระทำที่ผิดพระวินัยร้ายแรงด้วยการมีเพศสัมพันธ์กับนางแก้วตา บนดาดฟ้าเรือเดินสมุทรไวกิ้งไลน์ ระหว่างทางจากกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ไปยังกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ แล้วยังมีหลักฐานว่าพระยันตระจับต้องกายนางสาวซูซานด้วยความกำหนัด ณ กุฏิริมน้ำ วัดป่าสุญญตาราม เมืองบันดานูน ประเทศออสเตรเลีย พระยันตระร่วมหลับนอนกับนางสาวอีวา ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย และพร่ำพูดถึงความรักต่ออีวาทางโทรศัพท์ ซึ่งมีหลักฐานเป็นเทปบันทึกเสียง รวมถึงหลักฐานจากสื่อต่างๆ ที่พบสลิปบัตรเครดิตที่โยมอุปัฏฐากถวายให้ แต่มีการนำไปใช้ในสถานบริการทางเพศ สถานบริการอาบอบนวดในประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวมทั้งหลักฐานการเปิดโรงแรม และเช่ารถร่วมกับสตรีเพียงสองต่อสอง

ความผิดหวังต่อแรงศรัทธาดังกล่าว ทำให้มีผู้สูงอายุบางรายถึงกับ “ช็อก” จนลูกหลานต้องนำส่งโรงพยาบาล เพราะรับไม่ได้มาแล้ว

ทั้งนี้ในปี 2537 นี้เอง พระยันตระถูกตั้งอธิกรณ์ (ข้อกล่าวหาผิดวินัยร้ายแรง)ว่า ล่วงละเมิดเมถุนธรรม ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ ตามพระธรรมวินัย ซึ่งในที่สุด มหาเถรสมาคมได้พิจารณาอธิกรณ์ดังกล่าวแล้ว ปรับให้พระยันตระ เป็นปาราชิก ไม่สามารถดำรงตนในฐานะพระภิกษุได้อีกต่อไป ต้องสึกจากความเป็นพระ โดยที่ประชุมมหาเถรสมาคม มีมติเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2537 ให้พระยันตระ พ้นจากสมณเพศด้วยสาเหตุ “ประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับพรหมจรรย์”

แต่พระยันตระไม่ยอมรับ และยังหันไปนุ่งห่มผ้าที่คล้ายจีวร แต่ถูกย้อมเป็นสีเขียวเข้ม ทำให้ได้รับฉายาว่า “จิ้งเขียว” ร่วมกับ “สมียันดะ” ด้วย ปัจจุบันยันตระยังใช้ชีวิตสุขสบายในประเทศสหรัฐอเมริกา และยังคงมีญาติโยมรวมทั้งลูกศิษย์ลูกหาที่ยังคงศรัทธาติดตามรับใช้กันอย่างใกล้ชิด

2538 เสียงครวญ “ภาวนาพุทโธ” พ่อถูกใส่ร้าย!

สำหรับข่าวดังในช่วงปี พ.ศ. 2538 ไม่มีข่าวไหนดังเท่ากับแรงศรัทธาที่สิ้นลงของ “พระภาวนาพุทโธ” หรือ นายจำลอง คนซื่อ ซึ่งเป็นพระสายวิปัสสนาจารย์ มีชื่อเต็มว่าพระมหาจำลอง กิตฺติปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดสามพราน อ.สามพราน จ.นครปฐม ซึ่งเป็นพระที่โด่งดังมากในยุคนั้น

แรงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนต่อพระภาวนาพุทโธนั้นมีมากจนทำให้มีประชาชนหลั่งไหลไปทำบุญและฝึกวิปัสสนากรรมมัฏฐานกันจำนวนมากที่วัดสามพราน จังหวัดนครปฐม แห่งนี้

ปัญหาอยู่ที่ว่าวัดแห่งนี้มิได้มีเพียงแค่การฝึกวิปัสสนากรรมมัฏฐาน แต่ยังมีการรับอุปการะเด็กชาวเขาจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน และเชียงใหม่ มาให้การศึกษาเลี้ยงดูและพักอาศัยในวัดสามพราน ซึ่งหากเป็นผู้หญิงจะไปอยู่ในกำกับดูแลของแม่ชีภายในวัด ซึ่งเด็กชาวเขาเหล่านั้นอยู่ในหมู่บ้านที่นับถือศาสนาอื่น

ความมาแตกเมื่อพระลูกวัดโพธิ์เรียงซึ่งเป็นญาติของเด็กหญิงชาวเขารายหนึ่ง ทราบพฤติกรรมและได้ทำเรื่องร้องเรียนต่อกรมการศาสนา และตำรวจกองปราบปราม เรื่องราวของ “ภาวนาพุทโธ” จึงได้รับการสอบสวน และพิพากษาในปี 2547 มีความผิดในฐานข่มขืนกระทำชำเราหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี และไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภรรยาตน และฐานได้กระทำต่อศิษย์ที่อยู่ในความดูแล และพวกแม่ชีถูกฟ้องฐานเป็นผู้สนับสนุน เป็นธุระจัดหา และชักพาหญิงไปเพื่อสำเร็จความใคร่เพื่อการอนาจารเด็กหญิงชาวเขาถึง 6 คน โดยพิพากษาจำคุกเป็นเวลาถึง “160 ปี” แต่ตามกฎหมายสามารถจำคุกจำเลยได้เพียง 50 ปีเท่านั้น โทษจึงคงเหลือจำคุก 50 ปี

โดยภาวนาพุทโธ มีการกระทำชำเราเด็กชาวเขาตั้งแต่ปี 2531-2538 ต่อเนื่องกัน โดยศาลฎีกาพิจารณาตัดสินในวันที่ 7 พ.ค. 2552 โดยให้ความเห็นว่า พยานโจทก์ที่เป็นผู้เสียหายเบิกความสอดคล้องกันทั้ง 9 ปากถึงพฤติการณ์จำเลยว่า ได้มีจำเลยที่เป็นแม่ชี พาผู้เสียหายรายละ 1 คน เข้ามาที่กุฏิทางห้องน้ำ อ้างว่าต้องไปทำความสะอาดห้องบันทึกเทป จากนั้นให้ผู้เสียหายไหว้พระพุทธรูป จำเลยที่ 1 จึงเดินมาจากชั้น 2 ทางบันไดเหล็ก แล้วให้ผู้เสียหายมากราบที่ตัก แล้วใช้มือลูบผม แล้วให้ผู้เสียหายไปปูที่นอน หรือให้ช่วยบีบนวดที่ขา

จากนั้นจำเลยที่ 1 จะเดินมาทางด้านหลังแล้วโอบกอด โดยให้แม่ชีช่วยจับแขนขา จำเลยที่ 1 จึงจูบที่นมแล้วใช้อวัยวะเพศสอดใส่กระทำชำเรา เมื่อสำเร็จความใคร่แล้วก็ให้ผู้เสียหายกินยาคุมกำเนิด แล้วพาไปล้างอวัยวะเพศที่ก๊อกน้ำในห้องน้ำ ก่อนให้แม่ชีพากลับห้องพัก สำหรับรายที่ครั้งแรกไม่ยินยอมก็จะถูกลงโทษด้วยการเดินจงกรมกลางแดดบนพื้นดินที่มีกรวดหินแหลมคม

ศาลฎีกาพบว่ามีความผิดจริง จึงพิพากษายืน จำคุกนายจำลอง คนซื่อ ตามที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์พิพากษา!

กระนั้น แรงศรัทธามหาศาลของลูกศิษย์ลูกหาที่ยังไม่เชื่อว่าภาวนาพุทโธจะกระทำเช่นนั้นได้ ยังมีการนำเงินไปให้ภาวนาพุทโธ ระหว่างจองจำเพื่อรอคำตัดสินของ 3 ศาล ด้วยการบริจาคในชื่อ “นช.จำลอง คนซื่อ” สูงถึง 14 ล้านบาท

จากคำพูดคำเดียวคือ “พ่อไม่ผิด พ่อถูกใส่ร้าย”!
ภาพพระยันตระเล่นวอลเล่ห์บอลในขณะที่หนีคดีไปต่างประเทศ
อิสระมุนี “มือที่ 3 ทำครอบครัวสีกานิด” แตกแยก?

อีกรายที่โด่งดังไม่แพ้กัน พระอิสระมุนี หรือ พระพีระพล เตชะปัญโญ เดิมชื่อ นายบรรหาร อดีตเจ้าอาวาสวัดธรรมวิหารี (วัดร่วมใจพัฒนา-วัดป่าละอู) อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระสงฆ์สายวิปัสสนา เป็นอดีตพระเลขาของหลวงปู่ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาเกิดขัดแย้งกับลูกศิษย์ของหลวงปู่ชา ถูกกล่าวหาว่าโกงเงินของวัดจนถูกจับสึก จึงเดินทางมาที่จังหวัดเพชรบุรี ปักกลดและตั้งสำนักสงฆ์บริเวณป่าละอู ตำบลป่าแดง อำเภอแก่งกระจาน พัฒนาจนกลายเป็นวัดธรรมวิหารี มีเนื้อที่กว่า 200 ไร่ในปัจจุบัน

พระอิสระมุนีนี้ เคยเป็นพระที่นับถือเลื่อมใสจากอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และภริยา พจมาน ณ ป้อมเพชร เป็นอย่างมาก กระทั่งในปี 2543 ยังเคยให้นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย เข้าอุปสมบทและศึกษาพระธรรมกับพระอิสระมุนีอยู่ระยะหนึ่ง

พระอิสระมุนีเคยนิยามตัวตนของตัวเองไว้ว่า

“เราผู้มีชื่อว่า อิสระมุนี ไม่ใช่ฐานันดรบุคคล ไม่ใช่พระมหาเถระผู้มีวาสนายิ่งใหญ่มหึมา ที่ใครๆ จะต้องกราบไหว้ ไม่ใช่พระมหาผู้มีความรู้กว้างขวางจนไม่มีใครเทียมเท่า ไม่ใช่บัณฑิตศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยใด ไม่ใช่นักปราชญ์หรือนักวิชาการ หรือนักคิดที่ถูกคนเขาให้ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์กันเป็นกระบุงๆ เพราะฉะนั้น เราจึงมีชื่อว่า อิสระมุนี ผู้ที่ต้องการรู้จักเราก็จงรู้ที่ออกมาจากใจของเราตามที่กล่าวมานี้เถิด”

อย่างไรก็ดี วันที่ 13 ต.ค. 2544 พระอิสระมุนี ถูกทีมงานรายการถอดรหัส ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวีเปิดเผยว่า มีเพศสัมพันธ์กับสีกานิด หรือนางอุมาพร อุมา สีกาคนสนิท ในขณะที่สีกานิดมีครอบครัวอยู่แล้ว โดยมีหลักฐานเป็นจดหมายเขียนถึงสีกาสาว 10 หน้ากระดาษและเทปสนทนาทางโทรศัพท์ซึ่งได้รับการเปิดเผยจาก น.ส.ปวรนันท์ พันสะ อดีตลูกศิษย์และเพื่อนสนิทของสีกานิดเป็นคนนำหลักฐานมาเปิดโปง ซึ่งพระอิสระมุนีก็ได้สึกจากสมณเพศในทันที

ทั้งนี้ หลวงพ่ออิสระมุนี ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ส่งโทรสารไปให้สำนักงานของหนังสือพิมพ์ “ไทยโพสต์” โดยข้อความในแถลงการณ์มีว่า “ข้าพเจ้าขอประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบว่า เพื่อยุติปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากกรณีการกล่าวหาข้าพเจ้าในครั้งนี้ ข้าพเจ้าขอเสียสละความเป็นพระภิกษุออกไปอย่างสิ้นเชิง

ต่อไปนี้ขอให้ถือว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในฐานะของพระสงฆ์หรือสามเณรแล้ว และได้ลาออกจากคณะสงฆ์ และความเป็นพระตามสมมติแล้วอย่างถูกต้องตามพระธรรมวินัยทุกประการ โดยมีพระภิกษุเป็นประจักษ์พยาน จึงขอให้ทุกฝ่ายและทุกคนจงพอใจในสิ่งที่ตนต้องการตามที่ปรารถนา ส่วนเราก็จะใช้ชีวิตสงบของเราโดยไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไรในปัญหาที่เกิดขึ้น

นี่คือความเสียสละอย่างที่สุดแล้ว จึงขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ ไม่ต้องห่วงว่าเราจะแอบอ้างความเป็นพระเพื่อแสวงหาลาภ สักการะ และยศศักดิ์ใดๆ จากใคร และใครๆ ก็อย่าเอาลาภสักการะเงินทองมาให้เรา ลงชื่อ ลายเซ็นของ อิสระมุนี วันที่ 15 ต.ค. 2544”

หลวงปู่เณรคำ “เมีย 8 ลูก 2”

ล่าสุดก็เป็นกรณีของหลวงปู่เณรคำ และไม่ว่าทั้งหลวงปู่เณรคำ หรือสานุศิษย์จะแก้ตัวอย่างไร กับภาพต่างๆ ที่ปรากฏตามสื่อมวลชนก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว โดยเฉพาะการใช้สิ่งของเครื่องใช้ราคาแพงเกินสมณเพศ ทั้งแว่นเรย์แบน กระเป๋าหลุยส์ วิตตอง ใช้ไอโฟน นั่งเครื่องบินเจ็ต ฯลฯ แล้วยังเป็นที่เปิดเผยว่า “หลวงปู่เณรคำ” ที่มีอายุ 34 ปีคนนี้ มีเมียมากถึง 8 คน และมีลูกแล้ว 2 คน จากการเปิดเผยของทีมข่าวภูมิภาคของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน (แฉเรียงตัว เมีย 8 ลูก 2 ของ “ไอ้คำ” พระฉาวศรีสะเกษ, 2 ก.ค. 56) แถมทุกคนยังได้รับ “บำเหน็จ” เป็นทั้งค่าเลี้ยงดูตั้งแต่เดือนละ 20,000-100,000 บาท อีกทั้งยังมีการปลูกบ้าน ซื้อรถให้อย่างเอิกเกริก

ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา ร.ต.อ.หญิง สุวณีย์ แสวงผล รองเลขาธิการ ปปง. เปิดเผยว่าหลังจากนายสงกรานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายพลังต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยื่นเรื่องให้ ปปง.ตรวจสอบข้อเท็จจริงการทำธุรกรรมทางการเงินของพระวิระพล สุขผล หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรม ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ กับพวก พบว่า ภายหลังตรวจสอบฐานข้อมูลธุรกรรมทางการเงินของหลวงปู่เณรคำและพวก รวม 16 บัญชี พบมีกระแสเงินหมุนเวียนมากกว่า 200 ล้านบาท และมีการเคลื่อนไหวของเงินตลอดเวลาทุกวัน

จากข้อมูลที่มีอยู่ค่อนข้างชัดเจนว่า หลวงปู่เณรคำและเครือข่าย มีพฤติการณ์เข้าข่ายความผิดตามมูลฐานกฎหมายฟอกเงิน ด้วยการฉ้อโกงประชาชน ในโครงการต่างๆ ทั้งการจัดสร้างพระแก้ว เปิดบัญชีหลอกให้ประชาชนมาบริจาคเงิน โครงการจัดสร้างโรงพยาบาล ซึ่ง ป.ป.ช.จะทำการตรวจสอบทรัพย์สินของหลวงปู่เณรคำ ลูกศิษย์ และผู้หญิงที่เป็นข่าวว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดทุกคนต่อไป
อาจารย์มิตซูโอะกับภรรยา
2556 สึกเพราะรัก “มิตซูโอะ คเวสโก”

อีกกรณีที่เกิดล่าสุดเป็นที่ช็อกสังคมมากที่สุดข่าวหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าหญิงสาวนามหนึ่งได้โพสต์รูปถ่ายแนบสนิทชิดเชื้อกับอดีตพระมิตซูโอะ อดีตเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี พระสายปฏิบัติชื่อดังที่มีคนนับถือและปฏิบัติตามคำสอนทั่วประเทศ และภายในวันเดียวก็มีรูปปรากฏการจดทะเบียนสมรสระหว่าง นายมิตซูโอะ คเวสโก และนางสุทธิรัตน์ มุตตามระ ม่ายสาวอายุ 52 ปี ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอแถลงข่าวบนยูทูบว่า

“อยากให้จบแต่เพียงเท่านี้ บวชมานาน 38 พรรษา ไม่เคยคิดอยากจะสึก ไม่เคยคิดอยากแต่งงานในชาตินี้ แต่สำหรับแอนคงเป็นเนื้อคู่แต่ชาติปางก่อน เป็นคู่บารมีของอาจารย์”

โดยความประทับใจต่อคุณแอนนั้น อาจารย์มิตซูโอะกล่าวว่า “เกิดจากช่วงที่เจอกันที่วัด เห็นว่าคุณแอนตั้งใจปฏิบัติทำวัตรเช้า ตั้งแต่ตี 3 ทุกวัน และยังมาที่ศาลาเป็นคนแรกด้วย ขนาดคนที่วัดยังอาย รวมทั้งช่วยงานวัดตลอดทั้งวัน ช่วยนี่ช่วยนั่น จนเสร็จทำวัตรตอน 3 ทุ่ม ก็กลับไปพัก และกลับมาทำวัตรเช้าเป็นคนแรกของอีกวัน ซึ่งเห็นคุณแอนตั้งใจปฏิบัติธรรมจนเกิดความประทับใจ”

กระนั้นคำถามถึงความไม่เหมาะสม และข้อสงสัยว่าอาจจะมีการทำผิดพระวินัยยังกระหึ่มในสังคมไทยที่ยังไม่มีคำตอบ

เหตุใดทำให้พระเหล่านี้ “ตบะแตก” เอาง่ายๆ ทั้งๆ ที่บวชเรียนมาหลายปี?

บวชนานมีโอกาสตบะแตก

เมื่อคนศรัทธามากขึ้น มีเงินเข้ามาในวัดพระดังมากขึ้น ญาติโยมต่างต้องการฟังธรรมจากพระดังเหล่านั้น เพื่อหวังบุญกุศล การใกล้ชิดระหว่างพระดังกับผู้ที่ศรัทธาย่อมมีมากขึ้น

“อย่าลืมว่าพระก็คือคนธรรมดา ยิ่งพระที่บวชเรียนมาตั้งแต่เด็กที่ไม่เคยใช้ชีวิตในทางโลกเลย เมื่อมีสิ่งเร้าไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายของโยมผู้หญิง ที่อาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ นุ่งสั้นหรือใส่เสื้อคอลึก อาจทำให้ไขว้เขวได้”

นอกจากนี้คนที่ศรัทธาต่อพระรูปใดรูปหนึ่งแล้ว จะมองว่าพระเป็นเหมือนดารา บางรายทำตัวเหมือนแม่ยก อีกทั้งพระชื่อดังมักจะมีเงินบริจาคเข้ามาเยอะ ส่วนใหญ่ผู้หญิงที่ตกเป็นข่าวกับพระมักจะเป็นเรื่องของเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง

ขณะที่พระผู้ใหญ่ชั้นเจ้าคุณจากวัดหลวงแห่งหนึ่ง กล่าวว่า “ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ถ้าจะตบมือข้างเดียวคงไม่ดัง พระก็คือปุถุชน คนจนมักจะมีความกลัว ถ่อมตน รู้สึกหดหู่ ส่วนคนรวยไม่หดหู่ พระก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีเงินเยอะอาจจะลืมได้”

พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันคนที่บวชพระไม่ได้เกิดจากศรัทธา อีกทั้งการครองตัวของพระ มีเรื่องของศีล 227 ข้อ กฎหมายคณะสงฆ์ซึ่งในทางสงฆ์แล้วพิสูจน์ยาก จึงมีการนำเอากฎหมายบ้านเมืองเข้ามาเป็นตัวตัดสินอีกทางหนึ่ง โอกาสของพระที่จะถูกจับผิดก็มีมากขึ้น

ที่ผ่านมาพระสงฆ์ที่ดีๆ ต้องถูกจับสึกออกไปก็มี เพราะความไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และอาจไม่ทันญาติโยม

สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ทำให้โอกาสของพระทำผิดวินัยถึงขั้นปาราชิกก็มีมากขึ้น เครื่องมือสื่อสารอย่างโทรศัพท์ทำให้การติดต่อระหว่างกันง่ายขึ้น ทุกอย่างจึงอยู่ที่สามัญสำนึก ถ้าพระมีสติแล้วก็ไม่เกิดปัญหา อีกทั้งพระสงฆ์ยุคนี้ไม่ค่อยอยู่ในสายตาของชาวบ้านนัก ทำให้สถานที่อย่างกุฏิกลายเป็นต้นเหตุของปัญหา นารีพิฆาตได้

เอาผิดพระไม่ง่าย

แหล่งข่าวกล่าวว่า ในวงการสงฆ์ก็มีเรื่องของสมณศักดิ์ แต่ละท่านก็ต้องการเลื่อนขั้นกันทั้งนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางตำแหน่งมีการวิ่งเต้นกันเพื่อให้ได้ตำแหน่ง เงินจึงเป็นปัจจัยสำคัญ พระดังบางท่านก็เคยสนับสนุนให้พระบางรูปขึ้นเป็นใหญ่เป็นโต หรือแม้กระทั่งสนับสนุนด้านค่าใช้จ่ายในมหาเถรสมาคมและสำนักพระพุทธศาสนา

ดังนั้นการดำเนินการเอาผิดกับพระดังที่ผิดวินัย ในหลายครั้งจึงดำเนินการอย่างล่าช้า เพราะคนในวงการสงฆ์มักจะช่วยเหลือกัน พระดังบางรายไม่ถูกดำเนินการใดๆ เพราะมีพระอุปัชฌาย์เป็นใหญ่อยู่ในหน่วยงานที่กำกับดูแลพระสงฆ์

นอกจากนี้บรรดาลูกศิษย์ส่วนใหญ่ จะเป็นคนที่ใหญ่โตในสังคม มีอำนาจบารมี ย่อมต้องให้ความช่วยเหลือพระที่พวกเขานับถืออยู่

ขณะที่พุทธศาสนิกชนจำนวนไม่น้อย ที่ไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ ด้วยเกรงต่อบาปกรรม เข้าทำนอง “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์”

อีกทั้งพระที่ถูกกล่าวหามักจะไม่ยอมรับความจริง เพราะบางเรื่องพิสูจน์กันในทางโลกไม่ได้ การที่จะอยู่ในสถานะเดิมจึงเป็นสิ่งที่ต้องพยายามทำ

เพราะสมบัติที่ได้มาจากความเป็นพระดังนั้นมากมาย แถมมีช่องโหว่สำคัญที่จะนำเงินเหล่านั้นไปใช้เป็นของส่วนตัวหลังสึกไปแล้วก็ย่อมได้
วิธีโกยสมบัติของพระ

เมื่อรู้แล้วว่า “พระ” ที่กล้าขอ “โยม” ก็กล้าให้ ยิ่งกล้าขอ รวมกับศรัทธาที่เกิดขึ้นอย่างมากนั้น ทำให้พระมี “ปัจจัย” หรือรายได้จำนวนมาก ยิ่งพระองค์ใดมีคนศรัทธามาก ก็จะมีญาติโยมมาถวายปัจจัยมากตามไปด้วย เช่น หลวงปู่เณรคำ ที่ตอนนี้หลุดพ้นสภาพความเป็นพระ เพราะไม่มีผู้รับรองแล้ว

คำถามคือ สมบัติที่ได้มาจากผ้าเหลืองเหล่านั้น ใครจะตรวจสอบได้?ในเมื่อเป็นเรื่องของความศรัทธาที่มอบให้กับพระที่ตนนับถือโดยตรง

ทั้งนี้โดยปกติแล้ว สำหรับผู้ที่บวชเป็นพระ หากมีญาติโยมถวายปัจจัยแล้ว ก็มักจะไม่มีใครเข้าไปตรวจสอบว่าเงินนั้นจะเก็บอย่างไร ซึ่งพระสามารถจะเก็บไว้เป็นเงินสดก็ได้ หรือไปเปิดบัญชีเพื่อฝากเงินนั้นๆ ก็ได้ โดยไม่มีความผิด โดยสามารถเปิดบัญชีกับธนาคารต่างๆ ได้ใน 2 รูปแบบ คือเปิดบัญชีในชื่อพระ หรือเปิดบัญชีของพระเองแต่ในชื่อฆราวาส เพราะในการเปิดบัญชีจะใช้ตัวเลขบัตรประชาชนเป็นตัวอ้างอิง ดังนั้น พระจึงสามารถเปิดบัญชีของตัวเองในชื่อ “นาย” ได้ ซึ่งมีฐานะเป็นฆราวาส

เมื่อพระได้รับปัจจัยจากญาติโยมนำมาถวาย พระจึงสามารถนำไปฝากบัญชีธนาคารได้ ขึ้นอยู่กับว่าพระเปิดบัญชีในชื่อพระ หรือชื่อของตัวเองในฐานะฆราวาส

หรือไม่ทำเช่นนั้นก็ได้ ถ้าหากพระต้องการฝากเงินในชื่อคนอื่นๆ อาจจะเป็นโยมแม่ โยมพ่อ หรือคนใกล้ชิด ก็สามารถทำได้เช่นกัน

ไม่มีใครตรวจสอบ!

และเมื่อเงินเหล่านั้นเข้าไปอยู่ในรูปแบบบัญชีธนาคารแล้ว ก็จะถือว่าเงินนั้นเป็นเงินที่เป็นทรัพย์สินของคนที่เป็นเจ้าของบัญชีทันที

ถ้าพระยังไม่ได้มีการทำผิดพระวินัย แต่อยากจะไปใช้ชีวิตฆราวาส หรืออยากไปใช้เงินนั้น สามารถสึกแล้วไปใช้เงินได้ทันที

แต่ถ้าพระรูปนั้น มีความผิดถึงขั้นปาราชิกที่ได้รับคำสั่งให้ “สึก” ออกจากการเป็นพระ หากบัญชีธนาคารที่เปิดขึ้นมานั้นเป็นบัญชีในชื่อของพระในฐานะสงฆ์ ถือว่าเงินนั้นเป็นสมบัติของทางวัด ทางวัดสามารถเข้ามาจัดการทรัพย์สินนั้นได้ทันที

แต่หากสมุดบัญชีนั้นเป็นชื่อของพระที่เป็น “นาย” หรือในฐานะฆราวาส หรือเป็นชื่อผู้อื่น ทางวัดก็ไม่สามารถเอาเงินในส่วนนั้นคืนมาได้

สำหรับ “เณรคำ” โดนคำสั่งให้สึกเพราะผิดพระวินัย หากมีการโยกย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปก่อนหน้า หรือเปิดบัญชีไว้ในชื่อส่วนตัวที่เป็นฆราวาส เงินที่ได้มาจากศรัทธาของญาติโยมนั้น เณรคำก็สามารถเอาไปใช้ได้

หรือ “อาจารย์มิตซูโอะ” ที่ละผ้าเหลืองไปแต่งงาน โดยไม่มีความผิดทางพระวินัยขณะอยู่ในผ้าเหลือง ก็ถือว่าเงินที่อยู่ในบัญชีแม้จะได้มาในฐานะพระสงฆ์ แต่ไม่ผิดหากจะนำไปใช้

นี่เป็น “ช่องโหว่” ที่เรียกว่าเป็นช่องรูใหญ่มาก! และพระเท่านั้นที่จะรู้ช่องทาง

พระผู้ใหญ่ในวัดหลวง อธิบายว่า กรณีเช่นนี้ ญาติโยมที่เป็นเจ้าของทรัพย์สามารถไปแจ้งความดำเนินคดีกับพระรูปนั้นๆ ได้เช่นกัน หากเงินที่ให้ไป พระไม่ได้ไปสร้างหรือใช้ในสิ่งที่ตกลงกันไว้ เช่น ถวายปัจจัยเพื่อสร้างโบสถ์ แต่ไม่มีการสร้างโบสถ์ ก็จะถือเป็นคดีที่ต้องใช้กฎหมายบ้านเมืองเป็นตัวตัดสินไป

ทั้งนี้ การตรวจสอบทรัพย์สินพระ ที่เป็นเงินที่มาจากศรัทธา ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากอยู่ดี

ดังนั้น ปรากฏการณ์ผ้าเหลืองสะเทือนที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง ล้วนเกิดจากพระสงฆ์และพุทธบริษัท ซึ่งหากพระที่บวชนานๆ แล้วไม่รู้จักยับยั้ง “รัก โลภ โกรธ หลง” ด้วยการรักษาศีล 227 ข้อ และปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัดแล้ว

อาจเป็นต้นเหตุสำคัญให้พุทธศาสนาพังก่อนถึงอายุ 5,000 ปีก็เป็นได้!
กำลังโหลดความคิดเห็น