xs
xsm
sm
md
lg

จับตา “มือลึกลับ” ส่งข้อมูล “สหรัฐฯ” ต้านสถาบันไทย!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เกาะติดการบริหารรัฐบาลยิ่งลักษณ์ภายใต้คำสั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังเดินหน้าสู่ความผิดพลาด ชี้ 3 ปัญหาความมั่นคงของชาติเข้าสู่ระดับวิกฤต ทั้งการสมยอมประเทศมาเลเซีย อ่อนข้อเจรจากลุ่มก่อการไม่สงบ แลกข้อตกลงบางอย่าง คำสั่งให้รมว.กลาโหมไปกินข้าวกับรองนายกฯ กัมพูชาที่ปราสาทพระวิหาร หวั่นเสี่ยงต่อหลักกฎหมายปิดปาก ขณะที่ปัญหาขบวนการล้มสถาบันเหิมเกริมหนัก มีมือดีส่งข้อมูลป้อนรัฐสภาสหรัฐอเมริกา จับตากลางปีนี้ รัฐสภาสหรัฐฯ ออกจดหมาย 1 ฉบับต้านสถาบันไทย ชี้ประชาชนเป็นฝ่ายเดียวที่จะปกป้องชาติ-สถาบันได้!

หลังจากเสียหน้าไปเต็มๆ กับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ จากความมั่นใจในผลโพลที่ชี้มาทางเดียวกันว่าอย่างไรพรรคเพื่อไทยก็ชนะจนหน้าแตกยับเยิน แทนที่จะได้ดีอกดีใจกับคะแนนความนิยมในกรุงเทพฯ ที่ได้เพิ่มขึ้นมาก และน้อยกว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถึง 2 แสน แต่กลับออกมาเล่นบท “ขี้แพ้ชวนตี” ด้วยการให้ ส.ว.สรรหาผู้ใกล้ชิด เดินหน้าฟ้องคดีการเลือกตั้งไม่ทุจริต ด้วยเหตุผลว่าคนในพรรคประชาธิปัตย์โพสต์ภาพเผาเมือง และนักวิชาการโพสต์ชวนคนเลือกตั้งเบอร์ 16 นั่นเอง

ว่ากันว่าด้วยนิสัยของผู้นำพรรคเพื่อไทยมีลักษณะ “แพ้ไม่ได้” ดังนั้น อย่าแปลกใจที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีถึงกับสไกป์มาสั่งการการบริหารจัดการงานด้านการเมืองในพรรคเพื่อไทยวันเดียวถึง 2 รอบ แถมช่วงนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็เดินหน้าทำอะไรไม่ชอบมาพากลหลายเรื่องหลายราว

โดยแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับด้านความมั่นคงและทำงานให้กับรัฐบาลเพื่อไทย ได้สะท้อนภาพการเคลื่อนไหวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่าท้ายที่สุดแล้ว ประชาชนทุกคนต้องร่วมกันจับตาว่าฝ่ายการเมืองกำลังเล่นแร่แปรธาตุอะไรกันอยู่และคนไทยกำลังจะสูญเสียประโยชน์อะไรโดยเฉพาะ 3 ประเด็นหลักที่น่าห่วงที่สุดในขณะนี้

หมดน้ำยาแก้ภาคใต้-แก้ปัญหาไร้ศักดิ์ศรี

เรื่องแรกที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นที่สุด คือเรื่องการเจรจาแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐบาลไทย ที่ให้รัฐบาลมาเลเซียเป็นตัวกลางในการเจรจากับกลุ่มก่อการไม่สงบ BRN ซึ่งตามหลักแล้วเรื่องดังกล่าวเป็นปัญหาภายใน ที่ไม่ควรจะทำให้กลายเป็น International Issue ที่แม้รัฐบาลจะพยายามบอกว่าเป็นเพียงการพบปะพูดคุย แต่ลักษณะของการไปพบกันครั้งนี้ไม่ต่างกับลักษณะของการเจรจา ที่มีการเซ็นลงนาม โดยให้รัฐบาลมาเลเซียเป็นคนกลาง ไม่ใช่การพูดคุยกันธรรมดา เรื่องนี้จึงน่าจะเป็นเกมการเมืองของประเทศมาเลเซีย และกำลังจะเอากลุ่มก่อการร้ายอีก 9 กลุ่มมาทำในลักษณะดังกล่าวอีก

“เรื่องนี้ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทั้งนักการทูต และอดีตรัฐมนตรีดูแลกระทรวงการต่างประเทศหลายคน ไม่เห็นด้วยอย่างมาก เพราะทำให้บ้านเมืองเสียหาย”

เมื่อมองอีกมิติหนึ่งจะพบว่า ขณะที่รัฐบาลไทยติดต่อยอมขอเจรจากับกลุ่มผู้ก่อการร้ายแบบหมดท่า โดยการสนับสนุนของมาเลเซีย ขณะที่มาเลเซียกำลังมีปัญหากับกบฏแบ่งแยกดินแดนซูลูในเกาะซาบาห์ของสุลต่านจามาลัล คิรามที่ 3 แห่งจังหวัดซูลูของฟิลิปปินส์ ท่าทีของรัฐบาลมาเลเซียต่อเรื่องนี้กลับเป็นท่าทีที่แข็งกร้าว ทั้งการส่งกองกำลังปราบปรามทั้งทางอากาศและทางบกอย่างหนัก รวมถึงจะมีการเรียกร้องให้ทางการฟิลิปปินส์ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนสุลต่านแห่งจามาลัล ซึ่งสถาปนาตนเองขึ้นปกครองจังหวัดซูลู มาดำเนินคดีในมาเลเซียข้อหาเป็นตัวการให้เกิดความวุ่นวายและความรุนแรงในซาบาห์อีกด้วย

“รัฐบาลมาเลเซียไม่ยอมเลย จนกว่าฝ่ายกบฏจะวางอาวุธ ภาพที่ออกมาคือใช้ความรุนแรงปราบปราม โดยประกาศว่าเวลามีปัญหาจะต้องแก้ด้วยศักดิ์ศรี และรักษาความเป็นบูรณภาพแห่งดินแดนเป็นสำคัญ แต่ไทยเองโอเค เราไม่อยากเสียบูรณภาพแห่งดินแดน แต่ว่าดันไปแก้ปัญหาภาคใต้อย่างไร้ศักดิ์ศรีมาก”

อย่างไรก็ดี ปัญหาภาคใต้นั้น คิดว่าคนที่ติดต่อให้มีการเจรจา คือ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น จะต้องมีข้อเสนอแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างกับประเทศมาเลเซีย เพราะต้องการแก้ปัญหาภาคใต้ช่วยรัฐบาลน้องสาวให้เป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ แต่ทุกครั้งในเวทีระหว่างประเทศ ใครที่ขอเจรจาก่อน คือผู้ที่เพลี่ยงพล้ำ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยหมดน้ำยาในการแก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ และยอมรับว่าอีกกลุ่มคือผู้ชนะ

ซ้ำปกติการเจรจา ภายในชาติจะต้องมีเอกภาพของความเห็นร่วมในการแก้ปัญหาใดก็ตาม แต่ปัญหานี้กลับพบว่าฝ่ายทหาร ทั้งแม่ทัพภาค 4 และผู้บัญชาการทหารบก ออกมาแถลงข่าวอย่างชัดเจนว่า เป็นการกระทำของรัฐบาล ทหารซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงไม่เกี่ยวข้อง นั่นก็หมายความว่า ผู้รับผิดชอบโดยตรงไม่ได้เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวของรัฐบาลเลย ซ้ำยังเป็นการกระทำข้ามขั้นตอน และเร็วเกินไป สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาภายในของประเทศไทยขาดความเป็นประชาธิปไตย ความเป็น liberty ของชาติไม่มีเลย

“ที่ผมเป็นห่วงมาก คือ รัฐบาลไปยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยนอะไร ทำไม พลเอกภราดร ถึงพูดว่า ถ้าไม่สำเร็จ มาเลเซียจะต้องรับผิดชอบครึ่งหนึ่ง คำพูดนี้แสดงให้เห็นชัดว่ามีการต่อรองอะไรบางอย่างกับมาเลเซียไว้แล้ว”

คำสั่ง “ทักษิณ” กินข้าวร่วมกัมพูชาที่ปราสาทพระวิหาร?

กรณีที่น่าเป็นห่วงอีกอย่างคือ การที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขึ้นไปพบกับ พล.อ.เตีย บัญ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ตามคำเชิญของรัฐบาลกัมพูชานั้น เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก แต่จะผิดกับแนวทางการแก้ปัญหาภาคใต้ คือการแก้ปัญหาการก่อการร้ายในภาคใต้ รัฐบาลใช้วิธี Scale up ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่เรื่องปราสาทพระวิหารที่เป็นเรื่องใหญ่กว่า และใกล้เวลาการตัดสินของศาลโลก รัฐบาลกลับใช้วิธี Scale down ทำเหมือนการไปกินข้าวบนปราสาทพระวิหารเป็นเรื่องเล็ก เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่คนที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ทำงานด้านการเจรจาระหว่างประเทศหลายคนไม่เห็นด้วย เพราะเสี่ยงเข้าหลักเกณฑ์กฎหมายปิดปาก ที่ไทยเคยเสียทีกัมพูชามาแล้วในปี พ.ศ. 2505

“เรื่องอะไรก็ตามที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ก็ไม่ควรทำอะไรที่จะทำให้เกิดการตีความเป็นประโยชน์ให้กับฝ่ายกัมพูชา”

ที่สำคัญปัญหาของรัฐบาลนี้อยู่ที่ไม่ฟังคำคนเตือน ไม่ฟังอะไรใครเลย ถือว่ามีอำนาจจะทำอะไรก็ได้

“เวลาเสียประโยชน์รัฐบาลเสีย หรือคนไทยทั้งประเทศเสียหาย รัฐบาลต้องสนใจผลประโยชน์ชาติเป็นสำคัญเรื่องนี้ชัดเจนว่ามีคำสั่ง ไม่เช่นนั้นอยู่ดีๆ จะไปกินข้าวทำไม แล้วกินที่ไหนก็กินได้ ทำไมต้องไปกินบนปราสาทพระวิหาร เป็นเรื่องที่มีการเตรียมการไว้แล้ว”

ขบวนการล้มสถาบันเหิมเกริมหนัก

อีกเรื่องที่เห็นว่ารัฐบาลนี้ไม่สนใจเลย คือการแก้ปัญหาการหมิ่นและขบวนการล้มสถาบัน แหล่งข่าวด้านความมั่นคงบอกว่า ขบวนการล้มสถาบันมีทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในต่างประเทศมีการทำกันอย่างเป็นขบวนการ อย่างที่นายภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้เขียนบทความเรื่อง “ประชาชนคือป้อมปราการ” ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 14 มีนาคม 2556 นี้ ล้วนเป็นเรื่องที่การข่าวของไทยทราบหมดแล้ว โดยเฉพาะความพยายามที่จะทำให้รัฐสภาประเทศสหรัฐอเมริกาเชื่อว่าปัญหาประชาธิปไตยของไทยไม่เดินหน้าเพราะสถาบันกษัตริย์ และการสืบทอดราชอำนาจเป็นปัญหาของไทย ซึ่งเป็นขบวนการที่ชั่วร้ายมาก

“เรารู้แล้ว กลางปีนี้ รัฐสภาสหรัฐฯ จะมีการทำจดหมายออกมา 1 ฉบับ เพราะว่ามีคนไปป้อนข้อมูลผิดๆ ให้ โดยขบวนการนี้จะร่วมกันระหว่างเจ้าของทุนที่จ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ต่างประเทศปีละ 30 กว่าล้านบาทซึ่งมีอยู่คนเดียว กับนักวิชาการประวัติศาสตร์ที่พยายามส่งเรื่องราวต่างๆ ให้สภาของสหรัฐฯ ซึ่งบางส่วนก็มีความจริง แต่ก็มีส่วนที่ไม่เป็นความจริงด้วย กลางปีนี้จะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งประชาชนคนไทยต้องออกมาปกป้องสถาบันฯ” แหล่งข่าวระบุ

กำลังโหลดความคิดเห็น