ASTVผู้จัดการออนไลน์ - เสียงปลุกเร้ามวลชนให้เข้าร่วม “สงครามไพร่โค่นอำมาตย์” ของหัวหน้าไพร่และขุนพล “ทักษิณ-ณัฐวุฒิ-จักรภพ” ด้วยการเอาชีวิตเข้าแลกกลายเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก หัวใจคนเสื้อแดงแหลกสลายเมื่อ “นายกฯ ปู” นอมินีหัวหน้าไพร่สวมชุดสีชมพูหวานเข้ากราบรดน้ำอำมาตย์ใหญ่ “ธิดาแดง” ประธาน นปช.เขย่าพลไพร่ให้ตื่นจากภวังค์ ถึงเวลาพักรบเพื่อเจรจากับศัตรูหมายเลขหนึ่งแทนแล้ว
ไพร่เสื้อแดงที่ใสซื่อและเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่าการกรีธาทัพทำสงครามไพร่โค่นอำมาตย์เพื่อสรรค์สร้างประชาธิปไตยเพื่อปวงชนชาวไทยที่แท้จริง ไหนเลยจะสามารถทำใจยอมรับได้โดยไม่เจ็บปวดรวดร้าวเมื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สวมชุดสีชมพูหวานเข้ารดน้ำขอพรจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี หัวหน้าอำมาตย์ที่เป็นเป้าหมายโค่นล้มด้วยการเอาชีวิตเข้าแลกเมื่อไม่นานมานี้
ชินวัฒน์ หาบุญพาด แกนนำ นปช.ที่ปรึกษา รมช.คมนาคม ถึงกับคร่ำครวญว่า คนเสื้อแดงทำใจไม่ได้ที่รัฐบาลนี้ยอมไปอยู่ใต้อำนาจอำมาตย์ คราวนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่คนเสื้อแดงต้องกล้ำกลืนฝืนทนจากครั้งแรกที่รัฐบาลเชิญ พล.อ.เปรมร่วมงานเลี้ยงที่ทำเนียบรัฐบาล สุดท้ายแล้ว ส่วนหัวอาจปรองดองกลายเป็นอำมาตย์ไปด้วยกัน แต่ส่วนหางคือคนเสื้อแดงอาจติดคุกต่อไปและอยู่ใต้อุ้งเท้าเขา
ยิ่งเมื่อหวนนึกย้อนถึงอดีตวันวาน เสียงโฟนอินของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้นำยังกึกก้องในสองหู “…. ถ้าเราไม่ลุกขึ้นสู้ แสดงว่าเรากำลังถูกพาประเทศให้ด้อยกว่าประเทศอื่นไปเรื่อยๆ เพราะอำมาตย์ไม่อยากเห็นคนหายจน ไม่อยากเห็นลูกหลานฉลาด ก็เพราะเช่นนี้เราต้องพึ่งพาอำมาตย์ตลอดชีวิต ถ้าวันนี้ประชาชนชนะ ประชาธิปไตยเป็นฝ่ายชนะ เรากำลังปลดแอกตัวเองให้พ้นจากอำมาตย์ทั้งหลาย ที่จะบังคับให้เราโง่ บังคับให้เราจน ต่อไปนี้เราขอความยุติธรรม ขอความเสมอภาค ขอความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เพื่อประชาชนจริงๆ เพื่อพวกเราจะได้พ้นทุกข์ จะได้มีโอกาสดีๆ ของลูกหลาน เมื่อเขาโตขึ้นจะได้ได้ดิบได้ดี มาดูแลพ่อแม่ในวันนี้ได้
“ฉะนั้น พี่น้องต้องอย่ายอมแพ้ เราต้องช่วยกันด้วยการเข้าไปนำประชาธิปไตยคืนมาให้ได้ ….ผมคิดว่าวันนี้ถ้าเรามุ่งมั่นพร้อมกันเช่นนี้ ผมจะไปเก็บกระเป๋าเสื้อผ้ารอเพื่อกลับบ้าน” (“แม้ว” โฟนอินยุเสื้อแดงสู้ระบบอำมาตย์ 11 มี.ค. 2553)
เฉกเช่นเดียวกับน้ำเสียงปลุกระดมของ จักรภพ เพ็ญแข หนึ่งในแกนนำนปช. ที่ว่า “เกิดเป็นคนไทยต้องมีศักดิ์ศรีไม่ใช่ให้ถูกกดหัวตลอดเวลา นี่เป็นเวลาของการขับเคี่ยวเผชิญหน้ากันระหว่างฝ่ายอำมาตย์กับฝ่ายประชาธิปไตย ช่วงเวลาของการขอร้องรอคอยความเมตตาหมดไปนานแล้ว ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องการจะใช้ความรุนแรง แต่แค่ต้องการความเป็นธรรมเท่านั้น” (“จักรภพ” โฟนอินปลุกเร้าเสื้อแดงสู้อำมาตย์ 12 ก.ค. 2552)
ยิ่งนึกถึงเสียงเพรียกเสียงเรียกร้องจาก ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ขุนพลไพร่ที่กลายเป็นขุนนางในวันนี้ถึงไพร่ด้วยกันแล้วยิ่งร้าวราน “…. สู้เถิดสามัญชนทั้งหลาย หากว่าท่านพ่ายแพ้ฟ้าดินจะได้จารึกว่าครั้งหนึ่งเราได้ต่อสู้อย่างสมเกียรติสมศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ ว่าครั้งหนึ่งสามัญชนในประเทศไทยไม่ยอมรับการกดขี่แล้วก็ลุกขึ้นสู้ ไม่กลัวแม้ว่าตัวจะตาย … หากว่าเราชนะ ความเป็นใหญ่ในแผ่นดินอย่างเท่าเทียม การเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง การยืนอย่างทระนงองอาจในผืนแผ่นดินเกิดของตัวเองจะเกิดขึ้น รบเถิดเพื่อนร่วมชาติ รบเถิดสามัญชน สู้เถิดประชาชนทั้งหลาย” (“สุภาพบุรุษไพร่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” โดย ฟ้ารุ่ง ศรีขาว หน้า 259.)
คนเสื้อแดงที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่อย่างถวายชีวิตให้หัวหน้าและขุนพลไพร่ ต่างเจ็บลึกถึงก้นบึ้งหัวใจเมื่อความจริงถูกเปลือยล่อนจ้อนให้รู้ว่า สงครามไพร่โค่นอำมาตย์กลายเป็นเพียงนิทานหลอกเด็กเท่านั้น แต่ก่อนที่ความร้าวฉานระหว่างคณะหัวหน้าไพร่กับไพร่สามัญชนจะลามลึก ธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธาน นปช. ดูเหมือนจะรู้เท่าทันและอ่านตำรากลยุทธ์การรบเล่มเดียวกับฝ่ายอำมาตย์ ได้ออกมาอธิบายสถานการณ์ว่า
….การต่อสู้เวลานี้ของสองฝ่ายอยู่ในระดับยันกันแล้ว ฝั่งอนุรักษนิยมไม่สามารถเอาชนะจากการเลือกตั้งได้ แต่ฝั่งเพื่อไทย-นปช.ที่มีกำลังประชาชน ก็ต้องยอมรับว่าไม่ได้ควบคุมกลไกรัฐ และกลไกรัฐจำนวนมากยังอยู่ในมือพวกอนุรักษนิยม มีกำลังทหาร ข้าราชการพลเรือนระดับสูง นักธุรกิจ มีกำลังของอำมาตย์ในระดับสูงอยู่ มีการสู้กันมา 3-4 ยกแล้ว ยังไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะขาด ถ้าชนะขาดก็ไม่จำเป็นต้องเจรจา เมื่อชนะเด็ดขาดไม่ได้การต่อสู้ต่อไปมีแต่ความสูญเสียของทั้งสองฝ่าย การเจรจาจึงต้องเกิดขึ้น นี่คือธรรมชาติของการต่อสู้และเจรจา
“คุณต้องสู้จนคุณชนะในระดับหนึ่ง การเจรจาจึงจะเริ่มเกิด พอการเจรจาล้มเหลวก็สู้ใหม่ แต่ว่าเมื่อไรพอสู้แล้วกำลังคู่คี่กันก็ต้องเจรจา ในเมื่อพบว่ากำลังสมดุลนั้นไม่สมดุล มันมีแนวโน้มที่ต้องเสียหายมากกว่าอีกฝ่ายก็ต้องยอมแพ้ แต่มันไม่ใช่ฉับพลันทันที ต้องมีเวลา ดังนั้น ถ้าเราเป็นนักกลยุทธ์และเป็นนักต่อสู้ที่ปรารถนาที่ให้ได้รับชัยชนะอย่างยั่งยืน ไม่ใช่ชั่วคราว เราต้องอดทน และต้องเข้าใจธรรมชาติของการต่อสู้กับการเจรจา” (“เกี๊ยะเซียะอำมาตย์-อย่าลืมคนเสื้อแดง” โลกวันนี้วันสุข 5 มี.ค. 2555)
การเข้าคารวะของน้องสาวหัวหน้าไพร่ต่ออำมาตย์ใหญ่ในสายตาของธิดา เธอมองว่า นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นนับหนึ่งบนเส้นทางการสร้างความปรองดอง (หรือเกี้ยเซียะ) เป็นการโยนหินถามทางเท่านั้น
เมื่อหนทางยังอีกยาวไกล บรรดา “หญ้าแพรก” ทั้งแดง เหลือง สลิ่ม โปรดใช้วิจารณญาณในการติดตามและเข้าร่วมรับฟังนิทานหลอกเด็กเรื่อง “สงครามชนชั้น” ที่ยังไม่มีตอนจบอย่างมีสติ