อดีตแกนนำ นปช.ให้สัมภาษณ์เว็บประชาไท กลางกรุงพนมเปญ เผยชีวิตเมืองนอกมีความสุขดี ยกหาง “นิติราษฎร์” จุดเปลี่ยนประเทศ อ้างทำให้อำนาจเก่าหวาดกลัวต้องรีบปรองดอง ถามเสื้อแดงจะสู้เพื่อปลดปล่อยสังคม หรือรวบสังคมมาเป็นของเราแทน ลั่นไม่กลับไทยหวังให้เรียนรู้เรื่องปรองดอง ฝันอยากเห็นทางที่สามเป็นรูปธรรม
วานนี้ (3 เม.ย.) เว็บไซต์ประชาไท ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และผู้ต้องหาหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในหัวข้อ “สัมภาษณ์พิเศษ “จักรภพ เพ็ญแข” : คงต้องปล่อยให้ลิ้มรสของการปรองดองกันเสียก่อน” โดยระบุเป็นการสัมภาษณ์จากร้านกาแฟกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยกล่าวว่า หลังจากที่ตนออกจากเมืองไทยเมื่อเดือน เม.ย.52 ก็ไปอยู่หลายประเทศ ช่วง 2 ปีแรกก็ไปอยู่ 4-5 ประเทศ และก็มีฐานที่มั่นอยู่บางที่ซึ่งวางแผนดำเนินการ ส่งเสริมการปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับขบวนการประชาธิปไตย ซึ่งจะแบ่งเป็น 2-3 อย่าง คือ งานประสานงานภารกิจเพื่อประชาธิปไตย ที่มีทั้งปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรมและปฏิบัติการสื่อเพื่อการเรียนรู้ ซึ่งในช่วงสามปีต่อจากนี้จะสานต่อภารกิจที่ชะงักไปในวันที่ 19 พ.ค.53 คือ การแสดงพลังมวลชนเพื่อสื่อสารถึงความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสังคมไทย หลังจากที่คนที่เรียกว่าแกนนำในขบวนการประชาธิปไตยได้หยุดชะงัก
นายจักรภพ กล่าวต่อว่า ตนไม่ได้คิดถึงการเปลี่ยนแปลงอำนาจในรัฐบาล แต่คิดถึงอำนาจในโครงสร้าง แต่คนที่ทำร่วมกันไม่ได้เห็นตรงกันทุกคน เปรียบเหมือนการขึ้นรถประจำทางซึ่งมันมีหลายป้าย เราอาจจะอยากไปจนสุดทางแต่มีบางคนบนรถที่ขอลงป้ายก่อน ซึ่งตนไม่ถือว่าเป็นปัญหา ถือว่าเป็นวุฒิภาวะของขบวนประชาธิปไตย และที่สำคัญประวัติศาสตร์จริงมองเห็นชัดเมื่อมองย้อนหลัง แต่ระหว่างสร้างไม่มีใครรู้ว่าใครถูกใครผิด แล้วถ้าเราเชื่อในประชาธิปไตย ไม่ควรคิดว่ามีใครคิดถูกใครคิดผิดก่อน เพราะมันไม่ควรจะรู้ก่อน ถ้ารู้ก่อน คนนั้นก็ควรจะเป็นผู้นำตลอดชีพของประเทศ แต่ถ้ามันไม่มี เราก็ต้องหาความคิดที่ดีที่สุดของขณะนั้น หรือที่ประชาชนสนับสนุนมากที่สุดขณะนั้น ซึ่งก็ผิดได้เหมือนกัน นี่คือความคิดที่สะท้อนออกมาเป็นภารกิจระหว่างอยู่นอกประเทศ
“ที่เล่าให้ฟังว่าแบ่งความคิดเป็น 2 ระยะ ใน 2 ปีแรก เป็นระยะของการสางภารกิจ 19 พฤษภาคม 2553 แต่ว่าปีก่อนหน้านี้เป็นเรื่องการมองหาแนวทางที่ 3 ในการเดินไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศ แต่ทางสายที่ 3 หมายความว่า ถ้าหากฝ่ายที่กุมอำนาจรัฐมาแต่เดิมตัดสินใจเข้าร่วมปรองดองกับฝ่ายที่เป็นตัวแทนของมวลชนเพื่อผลระยะสั้น เราก็ควรจะมีคนทำงานต่อเนื่องไปถึงเป้าหมายที่เราต้องการจะไปถึงจริงๆ โดยที่คนเหล่านี้ไม่ต้องเข้าร่วมในขบวนการปรองดองก็ได้ ไม่ต้องเข้าร่วมในขบวนการต่างตอบแทนก็ได้ ไม่ต้องมีอำนาจรัฐก็ได้ ถามว่าคนเหล่านี้คิดว่าตัวเองเป็นเทวดาหรือยังไง คิดว่าตัวเองต้องถูกต้อง เปล่า ก็เหมือนคนที่มีความเชื่อในระบอบประชาธิปไตยทั่วไป คนเกิดมาก็มีคุณค่าชีวิต เราเชื่ออะไรก็วางชีวิตไว้บนนั้น แล้วถ้าเรายอมสละชีวิตเพื่อสิ่งนั้น เราก็ตอบโจทย์คนอื่นได้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร แต่จะถูกไม่ถูกเป็นเรื่องอนาคตที่คนอื่นที่จะตัดสินเรา นี่ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวล เลยตอบอย่างนี้ว่ามันเป็นทั้งนามธรรมและรูปธรรมปะปนกันไป มันก็เลยเป็นคำตอบว่าทำไมผมตัดสินใจอยู่ต่อ ไม่กลับเข้าประเทศ” นายจักรภพ กล่าว
• ชู “นิติราษฎร์” ทำอำนาจเก่าสะเทือน-เร่งรีบปรองดอง
ส่วนความพยายามในการให้ตนกลับเข้าประเทศ นายจักรภพ กล่าวว่า มีความพยายาม มีแรงกดดัน มีการติดสินบน มีการขอร้อง มีการขู่เข็ญ มีการหลอกล่อใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ หลอกล่อให้กลับเข้าไป โดยมีเหตุผลเพราะต้องการให้ทุกคนเข้าไปสู่กระบวนการปรองดอง เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีอำนาจต่อรองเต็มที่ในการที่จะจบศึกครั้งนี้ หรือพักรบครั้งนี้ โดยที่ตัวเองได้ประโยชน์มากที่สุด แต่เผอิญว่าประเทศมันคงไม่ได้เป็นอย่างนั้น เมื่อถามว่า ในกระบวนการที่นายจักรภพทำอยู่นอกประเทศ สามารถรับประกันได้หรือว่าจะส่งผลได้จริงมากกว่าการกลับเข้าไปอยู่ในประเทศหรือไม่ นายจักรภพตอบว่าไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เรามีอิสรภาพที่จะทำงานได้โดยไม่ต้องไปต่อรองกับระบบกฎหมายหรือระบบกดดันทางสังคม ซึ่งการต่อสู้ 2 เฟส คือ 2 ปีแรกต่อจากเหตุการณ์พฤษภา 53 แต่ปีหลังกลายเป็นต่อจาก 24 มิถุนา 2475
ขณะเดียวกัน เหตุที่การปรองดองเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วจนเกือบจะสัมฤทธิ์ผลตามความต้องการของทั้งสองฝ่าย แต่เป็นเพราะการเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฎร์ ซึ่งสร้างความรู้สึกคุกคามให้กับฝ่ายอำนาจเก่าอย่างรุนแรง โดยอ้างว่าทุกครั้งที่กลุ่มนิติราษฎร์มีความเคลื่อนไหว จะมีการยอมจากฝ่ายอำนาจเก่ามากในทุกเรื่องทุกมิติ เมื่อทุกขบวนการการเมืองมีประชาชนสนับสนุนมากๆ จะมีคนที่เรียกว่าผู้ดำรงชีพจากการเมือง หรือนายหน้าการเมืองเข้ามาแทรกกลาง จนกระทั่งยกผู้นำการเมืองขึ้นไปอยู่บนหิ้ง และประชาชนไปอยู่ข้างล่าง ตัวเขาจะได้เป็นชนชั้นที่จะเชื่อมโยงทั้งสองราย เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งเกิดขึ้นกับทุกขบวนการเมื่อเวลาผ่านไป
อย่างไรก็ตาม นายจักรภพ เห็นว่า อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการเปลี่ยนแปลงประเทศจากนี้ไป คืออำนาจในการเปลี่ยนแปลงความคิด มาสู่การเคารพในสิทธิมนุษยชนมากขึ้น ซึ่งสิทธิที่จะเป็นตัวของตัวเองกลายเป็นปราการใหญ่ที่ทำให้ทุกคนมีจุดร่วมกันโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นแนวร่วมโดยที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มนิติราษฎร์กำลังนำความคิดนี้เข้ามา สุดท้ายคนที่สนับสนุนกลุ่มนิติราษฎร์อาจจะไม่ใช่คนที่เชื่อตาม แต่จะเป็นคนที่ออกมากป้องให้กลุ่มนิติราษฎร์ได้คิดอย่างนิติราษฎร์ต่อ เพื่อวันหนึ่งฉันจะได้คิดแบบฉันบ้าง นี่คือสิ่งที่น่ากลัวมากของความคิดแบบเดิมของไทย ซึ่งเชื่อว่าต้องมีความคิดหนึ่ง ก็คือความคิดปรองดอง เป็นความคิดเดียวกับที่ชูสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นหลักคิดเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนเรื่อง
• มองเรื่องปรองดองแค่หยุดฆ่ากัน แต่นั่งคนละมุม ญาติม็อบแดงตายไม่เอาด้วย
เมื่อถามว่า กลุ่มที่มีพลังผลักดันขับเคลื่อนเวลานี้มีฝั่งที่เป็น นปช.และอำนาจเก่า ซึ่งปฏิเสธกลุ่มนิติราษฎร์ทั้งคู่ จะสานความคิดต่อไปยังกลุ่มคนที่ไกลตัวได้ยังไง นายจักรภพกล่าวว่า เหตุที่อำนาจเก่าจะเรียกมวลชนใหม่ นปช.หรือเพื่อไทย หรือผู้ที่รัก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีก็ตามมีปัญหากับนิติราษฎร์ เพราะอำนาจเก่ากับมวลชนใหม่มีลักษณะที่เหมือนกันระหว่างเขามากกว่า และแปลกแยกกับนิติราษฎร์ทั้งคู่ สุดท้ายเป็นตัววัดว่า ขบวนการเสื้อแดงที่กำลังต่อสู้อยู่นี่ เราต่อสู้เพื่อที่จะปลดปล่อยสังคม หรือเพื่อที่จะรวบสังคมมาเป็นของเราแทน ตนบอกไม่ได้ว่าทางที่สามจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรแต่จะเริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ และการเข้าสู่อำนาจอาจจะมีการสวนกันโดยคนใหม่ๆ ตามเงื่อนไขเวลาในขณะนั้น คนที่สู้เพื่อทางสายที่สามอาจจะสู้แล้วตายหรือหมดไฟไป แต่จะมีคนมาแทน ตนเห็นว่าที่เขาต้องรีบปรองดองกันระหว่างสองทางเพราะลึกๆ แล้วเขาไม่อยากให้ทางที่สามนั้นเกิดขึ้น แต่ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว เพียงแต่มันจะก่อรูปไปทางนั้นยังไม่เห็นชัด และด้วยความที่ไม่ชัดนี่แหละที่ทำให้ทางสายที่สามน่ากลัว เพราะมนุษย์กลัวสิ่งที่ตัวไม่รู้
“ผมมองว่า การปรองดองเป็นสถานีพักกลางทางของการต่อสู้ทางการเมือง มีประโยชน์ เพราะอย่างต่ำสุดก็ทำให้คนไม่ต้องฆ่ากันอย่างชัดเจน เพราะไม่มีเหตุที่จะต้องฆ่ากันตรงจุดนี้ แต่จะไปฆ่ากันในอนาคตหรือไม่ ไม่รู้ แต่ในขณะนี้ก็หยุดฆ่ากันและจับมือกันอยู่ ไม่มีใครจะเถียงได้ว่าไม่ดีเพียงแต่สิ่งที่จะเถียงได้ก็คือว่ามันอาจจะไม่ได้หยุดจริง เป็นเพียงแค่หยุดพัก ซึ่งก็ไม่เป็นไร คนที่ทำให้ช่วยหยุดความรุนแรงได้ก็ควรจะได้รับความดีได้รับเครดิต เพราะฉะนั้นถ้าถามผม ผมก็สนับสนุนกระบวนการปรองดอง แต่จะให้ผมไปร่วมไหม ผมไม่เข้าร่วมด้วยไม่คัดค้านแต่ ผมขออยู่ข้างทางสายที่สามนี้ดีกว่า ถามว่าปรองดองจะสำเร็จหรือไม่ ผมกลับมองว่ามันเป็นกิจกรรมเรียนรู้ของสังคมไทย สนุกจะตาย สนธิ สนั่น ฉีกร่างกฎหมายปรองดอง อภิสิทธิ์ นอตหลุด ผมว่าสนุกจะตายไป เหมือนว่าอยู่ในสถานีพักรบแต่ก็ยังนั่งคนละมุม” นายจักรภพ กล่าว
เมื่อถามว่า คนอีกกลุ่มหนึ่งที่เห็นว่าไม่รู้สึกสนุกด้วย อย่างกลุ่มญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์พฤษภา 53 นายจักรภพ กล่าวว่า แน่นอน แม่น้องเกด (นางพะเยาว์ ฮัคฮาด มารดาพยาบาลอาสาที่เสียชีวิต และแกนนำญาติผู้ชุมนุม นปช.ที่เสียชีวิต) เขาก็พูดถูก ก็ยังหาคนที่รับผิดชอบในการตายของลูกสาวเขาไม่ได้แล้วจะมาปรองดองกันได้ยังไง ตนคิดว่าเป็นคำถามที่ชอบธรรม แม้จะถามเป็นโจทย์ง่ายๆ เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า อ้าวแล้วลูกฉันล่ะ เธอจูบปากกันแล้วลูกฉันล่ะ แต่มันมีพลังมากเพราะทำให้คนตอบไม่ได้ นอกจากจะมีคนไปแอบโอบกอดแล้วบอกว่า ใจเย็นๆ วันหลังค่อยคุยกัน เมื่อถามว่าจะเป็นประเด็นที่เคยพูดว่าอย่าให้ใครมาหลอกใช้ ขณะที่ตอนนี้กำลังมีกระบวนการปรองดอง คนเสื้อแดงควรจะทำความเข้าใจกับกระบวนการปรองดองอย่างไร นายจักรภพกล่าวว่า ต้องยอมให้ทั้งสังคมเดินไปสู่ถนนสายมึนงงสับสนแบบนี้ แล้ววันหนึ่งจะได้เกิดคำตอบในใจตัวเราเอง
“เวลาที่พูดถึงรูปการเปลี่ยนแปลงที่นอกกรอบปัจจุบันนั้น คนจะเชียร์ ทั้งๆ ที่การพูดแบบนิติราษฎร์ถ้าเป็นเมือสิบปีก่อนหน้านี้จะกลายเป็นการเพ้อฝัน คนไม่เอาด้วย ประการต่อมาคือคนเริ่มเชื่อมโยงกับคำนามธรรม เช่น สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ โอกาส แต่คำที่เคยทำให้คนเชียร์ คนเฮสมัยก่อน เช่น คนจน การต่อสู้ ปฏิวัติ โค่นล้ม กลับไม่ได้รับความสนใจเท่าไหร่แล้ว เหมือนว่าคนไปตั้งเป้าหมายไกลกว่าเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ไปถึงเสรีภาพ ทำอย่างไรก็ได้ให้ไปถึงโอกาส ทำอย่างไรก็ได้ให้ไปถึงความเป็นคน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทุกอย่างมันเปลี่ยนนะ แต่ปัญหาคือประเทศไทยที่อยู่บนกองปรักหักพัง จะทำอย่างไรให้ไปถึงตรงนี้ ผมเองซึ่งเป็นคนไทยคนหนึ่งก็กำลังนั่งใช้ความคิด กำลังคิดว่าจะต้องเขียนอะไรออกมาเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างเพื่อให้เป็นเป้าไว้ให้โยนลูกดอก ไม่ได้ทำให้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่เป็นที่ปาเป้าเพราะมันต้องมีสิ่งที่จูงความคิดไปสู่สิ่งที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น” นายจักรภพ กล่าว
• เผยอยู่นอกประเทศมีความสุขดี-ลั่นไม่กลับไทย อ้างปล่อยให้ลิ้มรสปรองดอง
ในตอนหนึ่ง นายจักรภพ กล่าวถึงการทำกิจกรรมเมื่ออยู่นอกประเทศ ว่า มีโอกาสมากกว่าอยู่ที่เมืองไทยด้วยซ้ำ หลายเรื่องที่อยู่เมืองไทยต้องกระซิบกระซาบกัน ต้องใช้รหัส แต่อยู่ข้างนอกไม่ต้องใช้ พูดได้ชัดเจนว่าเรากำลังพูดเรื่องอะไร สมัยที่ตนอยู่พีทีวี มาเป็น นปช. แล้วมาเป็น นปก.ตนเป็นตัวแสดงมากกว่าผู้ขับเคลื่อน บทบาทการแสดงน้อยลง การอยู่ทุกวันนี้มีความสุขดี แต่ถ้าอยู่ที่บ้านคงมีความสุขกว่านี้มากกว่าอยู่หลายๆ ประเทศแบบนี้ แต่ตน เป็นทาสความคิดตัวเอง เมื่อเรามีความคิดความเชื่อเราก็อยากเห็น ชีวิตเราจะมีความหมายจากสิ่งนั้น ซึ่งตนบอกกับคนที่รัก และญาติพี่น้องว่าถ้ามันจบลงอย่างสูญเปล่า ก็ขอให้มีความสุขกับประสบการณ์ ไม่ได้รอที่จะมีความสุขจากเป้าหมายอย่างเดียว
เมื่อย้อนกลับถึงเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจะมี พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ นายจักรภพกล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเป็นเป้าที่มีก็ได้ไม่มีก็ได้ ถ้ามีก็เป็นสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณเลือกที่จะเสนอตัวเองเข้ามาอยู่ในเป้าใหม่ และเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในทางปรองดอง ไม่ได้อยู่ในแนวทางที่สาม และพูดชัดว่าอยากจะปรองดอง ส่วนเรื่องที่แหย่นิดแหย่หน่อยว่าจะตั้งนายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นรัฐมนตรี หรือจะมารดน้ำดำหัวที่ลาว ที่กัมพูชา เป็นเพียงกิจกรรมการตลาด ตนก็เคยพูดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยตรงว่าอยู่ในฐานะที่ดีที่สุด เป็น First among equal ก็เท่ากับประชาชนคือท่านมีโอกาสมากกว่าประชาชนอีกหลายล้านคนในการที่จะนำขบวนนี้ไป แต่ขึ้นกับว่าจะพอใจที่จะมีความสุขจากการนี้หรือเปล่า ถ้าไม่สนุกกับการเดินทางตรงนี้ไปไม่ไหวเพราะมันหนักมันเหนื่อย แต่ถ้าหากว่าไม่เอาตรงนี้จะกลับไปสบายก็ต้องถามว่าอยู่ได้ไหมกับสิ่งที่เริ่มต้นมาอย่างสวยงามแล้วบอกว่าเอาแค่นี้ ตนมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้นำปฏิวัติได้แต่เลือกหรือไม่ ก็ยังไม่ชัด
เมื่อถามว่า คนเสื้อแดงจะจัดวางตัวเองกับความนิยมของรัฐบาลในกระแสปรองดองลดลงเรื่อยๆ อย่างไร นายจักรภพ กล่าวว่า ตนตอบยาก ดีที่สุดที่จะตอบได้คือ พวกเราทุกคนควรจะรู้สึกดีใจที่เราจะมีตัวเลือก มีทางเลือกว่าจะเอาหรือไม่เอา มากกว่าทางเลือกรุ่นพ่อแม่เราที่มีแต่เพียงว่าจะปรับตัวเขาหาเขาหรือไม่ แม้กระทั่งธุรกิจที่ไม่อยากเดินไปสู่ธุรกิจอำมาตย์หรือทุนนิยมล้าหลัง ก็ยังเลือกเป็นเอสเอ็มอีได้ ตนไม่ได้มองว่านี่อยู่นอกกรอบประชาธิปไตย มันเป็นเรื่องเดียวกัน เหมือนคนรุ่นหลังได้ซื้อเวลาที่จะตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร ส่วนคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งยังติดคุกมาตรา 112 มีข้อเสนออะไรในการช่วยเหลือ นายจักรภพ กล่าวว่า ตนทำได้ก็คือการประชาสัมพันธ์ในประชาคมระหว่างประเทศในปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ถ้าประชาชนในประเทศยังไม่ลุกขึ้นมาชี้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน ยังคงแสดงว่าถ้าปรองดองได้ก็ดี ความกดดันในทางระหว่างประเทศที่จะเข้าไปช่วยนักโทษการเมืองจึงทำไม่ได้เต็มที่ ส่วนที่ว่าจะไปติดคุกแทนหรือติดคุกเป็นเพื่อน ตนคิดว่าไม่น่าจะประเป็นประโยชน์
เมื่อถามว่า คิดว่า นายจักรภพ จะกลับเมืองไทยเมืองไหร่ ด้วยเงื่อนไขอะไร นายจักรภพกล่าวว่า ไม่มีกำหนดกลับ แต่เงื่อนไขที่จะกลับ คือ ผมอยากเห็นทางสายที่สามเป็นรูปธรรมขึ้น สองคืออยากให้ทุกคนได้รู้รสของปรองดองเสียก่อนว่า มันเปรี้ยวหวานมันเค็มอร่อยแค่ไหน หรือเป็นพิษแล้วค่อยคิดกลับ สาม ซึ่งเป็นเป้าหมายส่วนตัว คงกลับหลังประชาคมอาเซียนเกิดขึ้นก่อน เพราะอยากขยายฐานการต่อสู้ของไทยให้กลายเป็นงานของประชาคมอาเซียน เมื่อถามว่าเป็นเรื่องยากมาก เพราะรัฐบาลในอาเซียนก็ไม่ได้มีระดับความเป็นประชาธิปไตยที่แตกต่างกับไทยสักเท่าไหร่ นายจักรภพตอบว่า “มีมาเฟียที่เลวร้ายกับคนในบ้านตัวเอง และทำตัวเป็นเศรษฐีใจบุญนอกบ้านก็มีนะครับ ที่พูดนี่ไม่ใช่เป็นไอเดีย พูดเพราะมันมีอย่างนั้นจริงๆ”