ASTVผู้จัดการออนไลน์ - มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจ่อฟ้อง ปตท. ทวงคืนสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ได้มาจากการใช้อำนาจมหาชนของรัฐ และขอให้เพิกถอนใบหุ้นและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ได้มาโดยวิธีฉ้อฉล บรรยายฟ้องเผยกลเม็ดยักษ์ใหญ่พลังงานสูบเลือดประชาชนเอื้อประโยชน์ธุรกิจในเครืออย่างเลือดเย็น พร้อมขอศาลบังคับกระทรวงคลังทำหน้าที่ทวงคืนสมบัติชาติตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด
ในที่สุด มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมพวก ก็ได้เตรียมยื่นฟ้อง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และกระทรวงการคลัง ต่อศาลปกครองกลาง โดยขอให้การกระทำที่ขัดต่อผลประโยชน์และธรรมาภิบาลตกเป็นโมฆะ ให้ทวงคืนสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ได้มาจากอำนาจมหาชนของรัฐ และขอให้เพิกถอนใบหุ้นและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ได้มาโดยวิธีฉ้อฉล
“เราได้ใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐานและหาผู้ฟ้องคดีร่วมซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระจายหุ้นของ ปตท. ตอนนี้เราพร้อมที่จะยื่นฟ้องแล้ว” นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ผู้รับมอบอำนาจในการฟ้องคดี กล่าว
การฟ้องคดีครั้งนี้ของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินและพวก มีอยู่ 3 ประเด็นหลัก คือ 1) ขอให้การกระทำที่ขัดต่อผลประโยชน์และธรรมาภิบาลตกเป็นโมฆะ 2) ขอให้เพิกถอนใบหุ้นและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ได้มาโดยวิธีฉ้อฉล และ 3) ทวงคืนสาธารณสมบัติของแผ่นดินฯ
ในคำขอให้การกระทำที่ขัดต่อประโยชน์และธรรมาภิบาลตกเป็นโมฆะนั้น ตามคำฟ้องได้อ้างอิงผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมธรรมาภิบาล วุฒิสภา ที่มีรายการการพิจารณาศึกษาเรื่อง ธรรมาภิบาลในระบบพลังงานของประเทศ ภาคแรก ซึ่งที่ประชุมวุฒิสภาครั้งที่ 26 (สมัยสามัญทั่วไป) วันที่ 4 พ.ค. 2553 มีมติเห็นด้วย และรายงานการพิจารณาศึกษาเรื่องเดียวกัน ภาคสอง (พฤษภาคม 2552 - ธันวาคม 2553)
รายงานทั้งสองฉบับดังกล่าว ได้ตรวจสอบธรรมาภิบาลในกิจการก๊าซธรรมชาติ กรณีการปรับอัตราค่าบริการผ่านก๊าซธรรมชาติของ ปตท. กรณีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ของเจ้าพนักงานของรัฐกับการเข้าไปดำรงตำแหน่งในบริษัท ปตท. และบริษัทในเครือ กรณีความไม่โปร่งใสในการจัดการรายได้ของทรัพยากรปิโตรเลียม การทับซ้อนในผลประโยชน์ของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) กับกองทุนน้ำมัน และการปรับคุณภาพก๊าซเอ็นจีวีของปตท. รวมทั้งราคาน้ำมันที่ไม่เป็นไปตามกลไกตลาดที่เป็นธรรม ซึ่งผลการศึกษาได้สะท้อนให้เห็นถึงความฉ้อฉลที่เอื้อประโยชน์ให้ ปตท. โดยโยนภาระมาให้กับประชาชน (อ่านรายละเอียดในข่าวประกอบ)
ส่วนประเด็นการขอให้เพิกถอนใบหุ้นและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ได้มาโดยวิธีฉ้อฉล ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ชี้ให้เห็นการกระทำที่เป็นเหตุแห่ง “โมฆะกรรม” ของการขายหุ้น ปตท. เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2544 ว่า มีการแย่งชิงหุ้นของรัฐและประชาชนโดยฉ้อฉล โดยมีการยื่นแบบและรับจองหุ้นก่อนเวลา 9.30 น. ซึ่งเป็นการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงการรับจองหุ้นตามหนังสือชี้ชวน จำนวน 863 ราย ซึ่งกรณีนี้ ปตท.ได้รับทราบผลการสอบสวนของสำนักงานคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเดือนม.ค. 2545 แล้วว่าผู้จองหุ้นรายย่อยจำนวน 859 ราย สมคบกับธนาคารไทยพาณิชย์ และผู้จองซื้อหุ้น จำนวน 4 ราย สมคบกับธนาคารกสิกรไทย ร่วมกันกระทำการฉ้อฉล ปตท. ชอบที่จะบอกล้างโมยกรรมดังกล่าว แต่ ปตท. กลับเพิกเฉย ทั้งยังยืนยันว่าผู้จองซื้อโดยฉ้อฉลเหล่านั้นเป็นผู้ถือหุ้นของ ปตท.
นอกจากนี้ ยังมีการออกใบหุ้นให้แก่ผู้จองซื้อหุ้นของผู้ซื้อรายย่อยมากกว่า 1 ใบจอง รวม 428 ราย ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนและวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการเสนอจองซื้อหุ้นที่กำหนดให้ผู้ซื้อรายย่อยทุกรายมีสิทธิ์ยื่นจองได้เพียง 1 ใบ เท่านั้น (อ่านรายละเอียดในข่าวประกอบ)
ส่วนประเด็นทวงคืนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ถือได้ว่าเป็นการดำเนินการต่อหลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2550 ให้ปตท., นายกรัฐมนตรี, คณะรัฐมนตรี และรมว.กระทรวงพลังงาน. แบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้งแยกอำนาจและสิทธิในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจากอำนาจและสิทธิของ ปตท.
แต่อย่างไรก็ตาม การแบ่งแยกอำนาจและสิทธิรวมทั้งสาธารณสมบัติของแผ่นดินกระทั่งถึงวันนี้ยังไม่เป็นไปตามคำพิพากษาของศาล โดยสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ประเมินมูลค่าระบบท่อก๊าซเพื่อเรียกคืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ราคา 52,393.50 ล้านบาท แต่ ปตท.ส่งคืนตามคำพิพากษาเพียง 16,176.22 ล้านบาท ยังขาดอีก 36,217.27 ล้านบาท โดยเป็นราคาท่อก๊าซบนบกและในทะเล มูลค่า 32,613.45 ล้านบาท และทรัพย์สินอื่นอีก 3,603.83 ล้านบาท ซึ่งรายละเอียดปรากฏตามรายงานของผู้ตรวจสอบบัญชี บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เฉพาะเรื่องการตรวจสอบรับรองความถูกต้องมูลค่าทรัพย์สินที่บริษัทแบ่งแยกให้กระทรวงการคลังตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด
สำหรับคดีที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและพวก ฟ้อง ปตท. ก่อนหน้านี้ เป็นคดีพิพาทเกี่ยวความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกาเพื่อแปรรูป ปตท. แม้ศาลปกครองสูงสุดจะพิเคราะห์ว่า พระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของ ปตท.จำกัด (มหาชน) บางส่วนไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ศาลเห็นว่าไม่จำเป็นต้องเพิกถอนกฎหมายดังกล่าว เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพของปตท.ล่วงเลยขั้นตอนการออกพระราชกฤษฎีกาฯ และมีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการซื้อขายเปลี่ยนมือผู้ลงทุนในหุ้นปตท.จำนวนมาก
ศาลเห็นว่า การเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาฯ จะก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ และมีการแก้ไขความไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ชอบด้วยกฎหมาย ด้วยการออกพ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 และแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท.ฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 ซึ่งประกาศใช้ก่อนที่ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษาในคดีเพียง 3 วัน