xs
xsm
sm
md
lg

สภาทนายฯเตือนอย่าออกข่าวข่มขู่ จ่อยื่นรัฐ-เอกชนละเมิดอำนาจศาล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความแห่งประเทศไทย
ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สภาทนายความฯ ออกแถลงเตือนรัฐบาลและเอกชนอย่าข่มขู่ประชาชน บิดพลิ้วไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดให้เร่งแก้ปัญหามลพิษมาบตาพุด เตรียมยื่นคำร้องละเมิดอำนาจศาล แนะรีบออกระเบียบสำนักนายกฯ เป็นแนวปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 67 วรรคสอง ดีกว่ามุ่งสร้างความแตกแยกและเอาชนะประชาชน

วันนี้ (16 ธ.ค.) สภาทนายความแห่งประเทศไทย โดยนายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความฯ นำคณะแถลงข่าวกรณีการบังคับคดีให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด กรณีหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและละเลยต่อการปฏิบติหน้าที่ (กรณีผลกระทบของสิ่งแวดล้อมต่อชุมชนอำเภอมาบตาพุด และอำเภอใกล้เคียงในจังหวัดระยอง)

การแถลงข่าววันนี้ นายเดชอุดม ได้ย้ำเตือนให้รัฐบาลและภาคเอกชน ปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดอย่างเร่งด่วน แทนที่จะโต้แย้งคำสั่งศาลฯ และออกข่าวข่มขู่ประชาชนในทำนองว่า คำสั่งศาลฯในคดีมาบตาพุด ส่งผลกระทบต่อการลงทุน การงดจ้างงาน รวมทั้งการขึ้นราคาก๊าซฯ หรือน้ำมัน
 
การกระทำดังกล่าวของรัฐบาลและเอกชน นอกจากจะเป็นการข่มขู่แล้วยังทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม การกระทำของรัฐบาลส่อให้เห็นถึงการมุ่งเอาชนะประชาชนที่ต้องใช้ชีวิตทนทุกข์อยู่กับปัญหามลพิษมานานนับสิบๆ ปีโดยไม่ได้รับการเหลียวแลแก้ไข โดยเฉพาะปัญหาด้านสุขภาพของชาวมาบตาพุดซึ่งยังไม่มีแนวทางแก้ไขที่ชัดเจนใดๆ หลังจากศาลฯ มีคำสั่งแล้ว

“สภาทนายความฯ ในฐานะหน่วยงานตรวจสอบภาครัฐตามรัฐธรรมนูญฯ ยอมไม่ได้ เราจะไปยื่นคำร้องต่อศาลฯ เพื่อให้มีการพิจารณาเรื่องการละเมิดอำนาจศาล เราจะหารือกับผู้ฟ้องคดีว่าจะยื่นในวันไหน” นายเดชอุดม กล่าว

สำหรับรายละเอียดแถลงการณ์ ของสภาทนายความฯ มีดังนี้

ตามที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งที่ 592/2552 ยืนยันคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ที่ให้ผู้ถูก ฟ้องในคดีทั้ง 8 ราย คือ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่ 1, เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ 2, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ 3, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ 4, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ 5, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ 6, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ 7 และ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ 8สั่งระงับโครงการและกิจกรรมของผู้ประกอบกิจการตามเอกสารหมายเลข 7 ท้ายคำฟ้อง ไว้เป็นการชั่วคราว แต่ให้ยกเว้นโครงการประเภทอุตสาหกรรมตามลำดับที่ 16 ลำดับที่ 22 ลำดับที่ 37 ลำดับที่ 41ลำดับที่ 45 ลำดับที่ 50 และ ลำดับที่ 54 และประเภทคมนาคม ลำดับที่ 2 ลำดับที่ 3 ลำดับที่ 4 และลำดับที่ 6 นอกจากนั้น ให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น นั้น

แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนที่ดำเนินการตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกับมีการออกข่าวของผู้มีส่วนได้เสียที่ยื่นคำร้องเข้ามาในชั้นพิจารณาคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด จำนวน 36 ราย ที่บางรายได้ดำเนินการแถลงข่าวในทำนองว่าจะมีผลกระทบต่อการลงทุน ซึ่งทำให้การลงทุนหยุดชะงัก การงดการจ้างงาน รวมถึงการขึ้นราคาก๊าซและ/หรือน้ำมันด้วย นั้น

สภาทนายความฯ เห็นว่า หากปล่อยให้มีการดำเนินการเนิ่นช้าออกไปโดยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวแล้ว จะทำให้เกิดความสับสน ความไม่เข้าใจในบรรดาผู้ลงทุน รวมถึงความไม่เหมาะสมต่อการที่จะมากล่าวแก้เกี้ยว โดยใช้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหรือการกดดันทางด้านราคาบริโภคด้านพลังงานอย่างที่เป็นอยู่มาสร้างความกดดันให้กับชาวบ้านและประชาชน โดยเฉพาะชุมชนอำเภอมาบตาพุด อำเภอบ้านฉาง และใกล้เคียงจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นผู้ได้รับความเสียหายมานานนับ 10 ปีแล้ว จึงเห็นสมควรออกแถลงการณ์ฉบับนี้มาเพื่อให้หน่วยงานของรัฐโดยเฉพาะรัฐบาลนำไปพิจารณา ดำเนินการ ดังนี้

1.ผู้ที่มีส่วนได้เสียในโครงการที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดในคดีสิ่งแวดล้อมของชุมชนอำเภอมาบตาพุด อำเภอบ้านฉาง และใกล้เคียงจังหวัดระยองดังกล่าวข้างต้น ควรที่จะน้อมรับปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดโดยทันทีและไม่บิดพลิ้ว เพราะกรณีไม่มีข้อเท็จจริงที่อาจฟังเป็นอย่างอื่นได้ว่าไม่มีการละเมิดสิทธิชุมชนที่ได้รับความคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญ

โดยเฉพาะให้หยุดเสนอข่าวที่เป็นการสร้างแรงกดดันให้กับสังคมและชุมชนเรื่องขึ้นราคาก๊าซหรือสินค้าหรือบริการกลุ่มพลังงาน เพราะจะไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย นอกจากจะแสดงให้เห็นว่าไม่เคารพที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด และให้หยุดการเผยแพร่ข่าวที่เป็นการให้ร้ายต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย หากยังมีการ เสนอข่าวหรือพูดในทำนองเช่นนี้อีก สภาทนายความในฐานะผู้รับมอบอำนาจในการฟ้องคดีของโจทก์ทั้ง 43 ราย จะดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้มีการพิจารณาเรื่องการละเมิดอำนาจศาลโดยไม่ชักช้า

2.ทางแก้ที่ง่ายและสะดวกที่สุดในขณะนี้ก็คือ กลไกของการบริหารการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายแม่บทตามข้อวินิจฉัยในคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดที่เป็นกรณีที่เกี่ยวกับการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายหรือล่าช้า จึงเป็นเหตุให้การบังคับการตามกฎหมายที่ควรจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของชุมชนและการลงทุนภาคอุตสาหกรรมที่สมดุลกันต้องมาประจันหน้ากัน โดยหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่มักจะใช้สิทธิและอำนาจหน้าที่ของตนแปลความกฎหมายเสมือนหนึ่งเป็นผู้มีอำนาจเต็มที่

แต่คำสั่งของศาลปกครองสูงสุดได้ยืนยันถึงการตรวจสอบอำนาจของรัฐภาคประชาชนที่ให้สิทธิชุมชนจะลุกขึ้นมาใช้สิทธิอันชอบธรรมของตนในทางศาล กรณีจึงเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 8 ราย ที่จำเป็นต้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด หากล่าช้าเกินสมควรต่อไปอีก ซึ่งทางผู้ฟ้องคดีก็จำเป็นจะต้องดำเนินการออกคำบังคับของศาลให้หน่วยงานผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติตาม
โดยเร็ว ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปโดยชอบตามหลักนิติธรรมที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

3.รัฐบาลไม่ควรนิ่งเฉยต่อปัญหาการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐทั้ง 8 รายโดยเฉพาะรัฐบาลมีอำนาจโดยชอบที่จะสามารถดำเนินการได้โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องซึ่งจะเป็นเวลาเนิ่นนาน เรื่องรีบด่วนที่รัฐบาลสามารถจะทำได้คือการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตามมาตรา 67 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

ซึ่งในอดีตเมื่อปี พ.ศ. 2536 รัฐบาลในขณะนั้นก็อยู่ในฐานะเสียเปรียบของการเจรจาแก้กฎหมายลิขสิทธิ์ โดยเฉพาะปัญหาการปราบปรามที่ไม่ได้ผล ทำให้ประเทศไทยมีปัญหากับประเทสหรัฐอเมริกาและถูกขึ้นบัญชีเป็นประเทศอยู่ในอันดับต้น ๆ ที่ถูกจับตามองในฐานะที่เป็นประเทศที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์มากขึ้น และจะไปแก้ไขกฎหมายเพื่อเจรจาการค้ากับประเทศสหรัฐอเมริกาก็ไม่ทัน
 
 ในขณะนั้นนายกรัฐมนตรี (นายชวน หลีกภัย) จึงได้ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบริหารกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2536 ให้กระทรวงที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการให้ส่วนราชการประสานงานทั้งภาคราชการและเอกชนวางระเบียบปฏิบัติและจัดทำคู่มือเพื่อปฏิบัติตามระเบียบฉบับดังกล่าว ซึ่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับที่อ้างถึงนั้นก็ได้ใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้

ดังนั้น รัฐบาลปัจจุบันจึงไม่จำเป็นต้องรอการออกกฎหมายหรือการศึกษาข้อเท็จจริงอื่นใดอีกนอกจากควรจะต้องรีบปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดโดยการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีให้ส่วนราชการที่เป็นปัญหาในการปฏิบัติงานล่าช้าและเป็นผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 8 รายดำเนินการประสานงานกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง วางระเบียบปฏิบัติและจัดทำคู่มือการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพของประชาชนที่เป็นปัญหาและเป็นต้นเหตุสำคัญของข้อพิพาทในคดีนี้โดยเร็ว รัฐบาลไม่ควรนิ่งเฉยรอให้หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบและภาคเอกชนไปแก้ไขปัญหากันเอง รัฐบาลจึงควรเริ่มดำเนินการให้มีการออกประกาศระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้โดยไม่ชักช้า

สภาทนายความ เชื่อว่า มาตรการดังกล่าวจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ถูกจุดและตรงประเด็น และจะทำให้ภาคเอกชนกับภาคราชการสามารถประสานความเข้าใจและประกอบธุรกิจต่อไปได้ด้วยดีบนพื้นฐานของความสมัครสมานสามัคคีและความเข้าใจอันดีต่อกัน จึงขอแถลงการณ์มาเพื่อขอให้รัฐบาลและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและให้การลงทุนในประเทศเป็นไปตามมาตรฐานสากลในด้านการรักษาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม
กำลังโหลดความคิดเห็น