ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาห้าม “สมบัติ อุทัยสาง” ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี ฐานจงใจยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สิน หรือปกปิดข้อเท็จจริง อันเป็นเท็จ โดยไม่ได้ยื่นแสดงบัญชีเงินฝากธนาคารของภรรยา และบุตร มูลค่า 106 ล้านบาท สมัยเป็น รมช.มหาดไทย ส่วนโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาทให้รอลงอาญา 1 ปี เจ้าตัวยอมรับคำตัดสิน ระบุไม่คิดเล่นการเมืองอีกต่อไป
วันนี้ (25 ก.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายเกษม วีรวงศ์ ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีหมายเลขดำ อม.3/2552 พร้อมองค์คณะรวม 9 คน อ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) ผู้ร้อง ขอให้ศาลมีคำวินิจฉัย กรณีที่นายสมบัติ อุทัยสาง อายุ 72 ปี อดีต รมช.มหาดไทย และอดีตที่ปรึกษา รมว.เทคโนโลยีสารเทศฯ (ไอซีที) ยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกกล่าวหา จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบอันเป็นเท็จ และปกปิดความจริงที่ควรแจ้งให้ทราบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 263 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 เนื่องจากนายสมบัติ ไม่แสดงรายการทรัพย์สินของนางสุจิวรรณ อุทัยสาง ภรรยา คู่สมรสที่อยู่ในนามของบุตรสาว และบุตรชายรวม 3 คน หรือที่มีชื่อร่วมกับบุตร ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากธนาคารอาคารสงเคราะห์ฯ สาขาคอนแวนต์ และสาขาพุทธมณฑล รวม 9 บัญชี จำนวนเงิน 106,265,910.92 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่เข้ารับตำแหน่ง รมช.มหาดไทย เมื่อวันที่ 14 มี.ค.44 และที่ปรึกษา รมว.ไอซีที วันที่ 29 ต.ค.45 และพ้นจากตำแหน่งภายใน 30 วัน และพ้นจากตำแหน่งมาแล้ว 1 ปี รวม 9 ครั้ง นายสมบัติ ผู้คัดค้าน ให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า ที่นายสมบัติ ให้การปฏิเสธว่า ขณะเป็นอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข เมื่อปี 2533 มีเงินสดร่วมกับภรรยา รวม 70 ล้านบาท แต่ภายหลังทั้งสองได้ แบ่งเงินให้บุตรทั้งสามที่บรรลุนิติภาวะ ตั้งแต่ปี 2534 แล้ว เหตุที่คู่สมรสมีชื่อร่วมในบัญชี เพราะบุตรชายต้องการให้ช่วยบริหารเงิน เนื่องจากต้องเดินทางไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ ซึ่งไม่สามารถทำนิติกรรมได้ ขณะที่บุตรสาวกำลังจะสมรส จึงให้ภรรยามีชื่อในบัญชี เพื่อป้องกันปัญหาเกี่ยวกับทรัพย์สินหลังสมรส รวมทั้งบุตรทั้งสามคนให้ช่วยจัดการเรื่องปลูกสร้างบ้าน ระหว่างปี 2543 -2548ในที่ดินที่ผู้คัดค้าน และภรรยายกให้
ศาลเห็นว่าผู้คัดค้าน และภรรยา ไม่ได้ยกเงินให้บุตรโดยแท้จริง เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่แบ่งเงินฝากในบัญชีให้บุตรทั้งสามแล้ว นางสุจิวรรณ ยังคงใช้อำนาจเป็นผู้มีชื่อร่วมเบิกถอน - เงินในบัญชี จำนวนสูงสุด 7 ล้านบาทเศษ ทั้งที่ผู้คัดค้านอ้างว่าบุตรทั้งสามบรรลุนิติภาวะทั้งหมดแล้ว สามารถดำเนินนิติกรรมเองได้ ส่วนที่ผู้คัดค้านอ้างว่าบุตรให้อำนาจนางสุจิวรรณ ดูแลบริหารเงินปลูกบ้านนั้น ก็ปรากฏว่าเริ่มดำเนินการเมื่อเดือน มิ.ย.48 เงินที่ใช้จ่ายนางสุจิวรรณ กลับไม่ลงบัญชีใช้จ่ายของบุตรแต่ละคน อย่างไรบ้างทั้งที่ผู้คัดค้าน ระบุว่า นางสุจิวรรณ นำเงินส่วนตัวสำรองจ่ายไปกับเงินบัญชีบุตรแล้วจะมาหักลบกลบหนี้กัน ซึ่งนางสุจิวรรณ เป็นนักธุรกิจ นักบริหารและนักบัญชี แต่กลับไม่ดำเนินการดังกล่าวให้ชัดเจน จึงเชื่อว่า เงินในบัญชีดังกล่าว เป็นของผู้คัดค้านและคู่สมรส พยานหลักฐานของผู้คัดค้านจึงขัดต่อเหตุผล ไม่น่าเชื่อถือ
องค์คณะฯ จึงมีมีมติ 7 ต่อ 2 ว่า นายสมบัติ ผู้คัดค้าน จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบต่อผู้ร้อง ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตามรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 263 วรรค 1 และมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 119 ให้จำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท แต่ผู้คัดค้านไม่เคยต้องโทษมาก่อน จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 และห้ามมิให้ผู้คัดค้านดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ศาลวินิจฉัย
ภายหลังนายสมบัติ เปิดเผยว่า ตนน้อมรับคำพิพากษาของศาล และไม่ได้กังวลกรณีถูกเว้นวรรคทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เพราะอายุมากแล้ว และไม่ได้เป็นนักการเมืองอาชีพ คงจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกต่อไป ส่วนคำพิพากษาดังกล่าวจะเป็นบรรทัดฐานต่อคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สินของนักการเมืองคนอื่นๆ หรือไม่นั้น คงขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงแต่ละคดีมากกว่า ส่วนที่ ป.ป.ช.จะตั้งข้อกล่าวหา เพื่อริบทรัพย์สินที่ว่าได้มาโดยมิชอบนั้น ตนก็พร้อมจะต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
ด้านนายรณชัย เนตรอัมพร ทนายความ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ทราบว่า ป.ป.ช. กำลังจะตั้งข้อกล่าวหา เพื่อให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์สินให้ตกเป็นของแผ่นดิน โดยอ้างอำนาจในการตรวจสอบและข้อกล่าวหา ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 75 แต่กฎหมายกำหนดไว้ว่า การกล่าวหา ว่าผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติหรือได้ทรัพย์สินมาโดยมิชอบ จะต้องเป็นกรณีที่พ้นจากตำแหน่งไม่เกิน 2 ปี ซึ่งนายสมบัติพ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ซึ่งเป็นตำแหน่งสุดท้ายเกินกว่า 2 ปีแล้ว