ศูนย์ข่าวภูเก็ต - “บิ๊กโจ๊ก” นำสื่อจีนลงติดตามการจัดทำมาตรการรักษาความปลอดภัยทางทะเล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว
วันนี้ (3 ส.ค.) พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พร้อมคณะ นำสื่อมวลชนจากสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 12 สำนัก 24 คน ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อติดตามการจัดทำมาตรการด้านความปลอดภัยการท่องเที่ยวทางทะเลในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
หลังเกิดอุบัติเหตุเรือล่มจนทำให้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเสียชีวิต 47 คน โดยมี พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต และตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยว เช่น เจ้าท่าภูมิภาคสาขาภูเก็ต ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต ตำรวจน้ำ ตำรวจท่องเที่ยว ทัพเรือภาคที่ 3 ท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น นำชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในแต่ละจุด
ทั้งนี้ จุดแรกได้เยี่ยมชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆ ที่บริเวณท่าเทียบเรืออ่าวฉลอง อ.เมืองภูเก็ต ซึ่งมีการบูรณาการกำลังของเจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆ ในการตรวจสอบความพร้อมของเรือก่อนที่จะนำเรือออกจากท่า เช่น ใบนายท้ายเรือ ใบอนุญาตใช้เรือ รายชื่อและจำนวนผู้โดยสาร เสื้อชูชีพ เป็นต้น รวมทั้งการปฏิบัติงานตรวจเรือที่อยู่ระหว่างการซ่อมแซม ซึ่งได้เน้นย้ำการตรวจสอบพิมพ์ของตัวเรือทุกลำ หากเกิดปัญหากับเรือลำใดผู้ตรวจสอบเรือต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วย นอกจากนี้ ยังได้เดินทางไปยังอู่ต่อเรือของท่าเรือโบ๊ทลากูน และท่าเทียบเรือรัษฎาด้วย
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กล่าวว่า การนำสื่อจากจีนลงพื้นที่นั้นเพื่อให้เห็นรูปแบบการทำงานของเจ้าหน้าที่ หลังเกิดเหตุเรือล่ม และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งจะต้องดีกว่าที่ผ่านมา เช่น จะต้องไม่ปล่อยเรือโดยใช้เอกสารอย่างเดียว แต่ทางเจ้าหน้าที่จะต้องลงตรวจที่เรือด้วย โดยหน่วยงานหลักต้องอยู่ชายฝั่ง ได้แก่ เจ้าท่า ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจน้ำ ไลฟ์การ์ด ทหารเรือ รวมถึงป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กล่าวว่า การนำสื่อจากจีนลงพื้นที่นั้นเพื่อให้เห็นรูปแบบการทำงานของเจ้าหน้าที่ หลังเกิดเหตุเรือล่ม และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งจะต้องดีกว่าที่ผ่านมา เช่น จะต้องไม่ปล่อยเรือโดยใช้เอกสารอย่างเดียวแต่ทางเจ้าหน้าที่จะต้องลงตรวจที่เรือด้วย โดยหน่วยงานหลักต้องอยู่ชายฝั่ง ได้แก่ เจ้าท่า ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจน้ำ ไลฟ์การ์ด ทหารเรือ รวมถึงป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
โดยการตรวจมาตรฐานตัวเรือซึ่งมีอยู่กว่า 400 ลำ ขณะนี้ดำเนินการไปแล้ว 200 ลำ พบมีปัญหา 10 ลำ ซึ่งได้สั่งให้หยุดกิจการไปแล้ว ส่วนการดำเนินการตรวจสอบท่าเรือซึ่งมีอยู่กว่า 24 แห่งนั้น หากไม่ได้รับอนุมัติจากเจ้าหน้าที่ประจำท่าเรือก็จะไม่มีสิทธินำเรือออกจากท่า เช่นเดียวกับอู่ต่อเรือซึ่งมีอยู่ 13 แห่งทั่วเกาะภูเก็ต ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดยร่วมกับทางสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้การจัดระเบียบภายในประเทศทั้งมาตรฐานทางน้ำ ทางเรือ รวมถึงทางบกด้วยซึ่งไม่ได้ทำเฉพาะภูเก็ตเท่านั้น แต่ทำทุกพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น พัทยา เชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่งมาตรการแก้ปัญหาความเชื่อมั่นทั้งระยะสั้นและระยะยาวที่เห็นอยู่นี้เพื่อต้องการให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือนประเทศไทยเกิดความเชื่อมั่น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเดินทางเข้ามาประเทศไทยมากเป็นอันดับ 1 ปีละประมาณ 10 ล้านคน
“มาตรการแก้ปัญหาความเชื่อมั่นทั้งระยะสั้นและระยะยาวที่เห็นอยู่ ก็เพื่อต้องการให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือนประเทศไทยเกิดความเชื่อมั่น ส่วนนักท่องเที่ยวจีนนั้น ล่าสุด ได้มีการสั่งเปิดช่องวีไอพี ตั้งแต่ลงเครื่องที่ท่าอากาศยานเป็นการอำนวยความสะดวกขั้นสูงสุดเพื่อแสดงความจริงใจให้เห็นว่าไทยไม่ได้ต้องการเอาเปรียบชาวจีน”
วันนี้ (3 ส.ค.) พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว พร้อมคณะ นำสื่อมวลชนจากสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 12 สำนัก 24 คน ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อติดตามการจัดทำมาตรการด้านความปลอดภัยการท่องเที่ยวทางทะเลในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
หลังเกิดอุบัติเหตุเรือล่มจนทำให้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเสียชีวิต 47 คน โดยมี พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต และตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยว เช่น เจ้าท่าภูมิภาคสาขาภูเก็ต ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต ตำรวจน้ำ ตำรวจท่องเที่ยว ทัพเรือภาคที่ 3 ท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น นำชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในแต่ละจุด
ทั้งนี้ จุดแรกได้เยี่ยมชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆ ที่บริเวณท่าเทียบเรืออ่าวฉลอง อ.เมืองภูเก็ต ซึ่งมีการบูรณาการกำลังของเจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆ ในการตรวจสอบความพร้อมของเรือก่อนที่จะนำเรือออกจากท่า เช่น ใบนายท้ายเรือ ใบอนุญาตใช้เรือ รายชื่อและจำนวนผู้โดยสาร เสื้อชูชีพ เป็นต้น รวมทั้งการปฏิบัติงานตรวจเรือที่อยู่ระหว่างการซ่อมแซม ซึ่งได้เน้นย้ำการตรวจสอบพิมพ์ของตัวเรือทุกลำ หากเกิดปัญหากับเรือลำใดผู้ตรวจสอบเรือต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วย นอกจากนี้ ยังได้เดินทางไปยังอู่ต่อเรือของท่าเรือโบ๊ทลากูน และท่าเทียบเรือรัษฎาด้วย
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กล่าวว่า การนำสื่อจากจีนลงพื้นที่นั้นเพื่อให้เห็นรูปแบบการทำงานของเจ้าหน้าที่ หลังเกิดเหตุเรือล่ม และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งจะต้องดีกว่าที่ผ่านมา เช่น จะต้องไม่ปล่อยเรือโดยใช้เอกสารอย่างเดียว แต่ทางเจ้าหน้าที่จะต้องลงตรวจที่เรือด้วย โดยหน่วยงานหลักต้องอยู่ชายฝั่ง ได้แก่ เจ้าท่า ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจน้ำ ไลฟ์การ์ด ทหารเรือ รวมถึงป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กล่าวว่า การนำสื่อจากจีนลงพื้นที่นั้นเพื่อให้เห็นรูปแบบการทำงานของเจ้าหน้าที่ หลังเกิดเหตุเรือล่ม และมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งจะต้องดีกว่าที่ผ่านมา เช่น จะต้องไม่ปล่อยเรือโดยใช้เอกสารอย่างเดียวแต่ทางเจ้าหน้าที่จะต้องลงตรวจที่เรือด้วย โดยหน่วยงานหลักต้องอยู่ชายฝั่ง ได้แก่ เจ้าท่า ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจน้ำ ไลฟ์การ์ด ทหารเรือ รวมถึงป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
โดยการตรวจมาตรฐานตัวเรือซึ่งมีอยู่กว่า 400 ลำ ขณะนี้ดำเนินการไปแล้ว 200 ลำ พบมีปัญหา 10 ลำ ซึ่งได้สั่งให้หยุดกิจการไปแล้ว ส่วนการดำเนินการตรวจสอบท่าเรือซึ่งมีอยู่กว่า 24 แห่งนั้น หากไม่ได้รับอนุมัติจากเจ้าหน้าที่ประจำท่าเรือก็จะไม่มีสิทธินำเรือออกจากท่า เช่นเดียวกับอู่ต่อเรือซึ่งมีอยู่ 13 แห่งทั่วเกาะภูเก็ต ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดยร่วมกับทางสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ต
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้การจัดระเบียบภายในประเทศทั้งมาตรฐานทางน้ำ ทางเรือ รวมถึงทางบกด้วยซึ่งไม่ได้ทำเฉพาะภูเก็ตเท่านั้น แต่ทำทุกพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น พัทยา เชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่งมาตรการแก้ปัญหาความเชื่อมั่นทั้งระยะสั้นและระยะยาวที่เห็นอยู่นี้เพื่อต้องการให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือนประเทศไทยเกิดความเชื่อมั่น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเดินทางเข้ามาประเทศไทยมากเป็นอันดับ 1 ปีละประมาณ 10 ล้านคน
“มาตรการแก้ปัญหาความเชื่อมั่นทั้งระยะสั้นและระยะยาวที่เห็นอยู่ ก็เพื่อต้องการให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือนประเทศไทยเกิดความเชื่อมั่น ส่วนนักท่องเที่ยวจีนนั้น ล่าสุด ได้มีการสั่งเปิดช่องวีไอพี ตั้งแต่ลงเครื่องที่ท่าอากาศยานเป็นการอำนวยความสะดวกขั้นสูงสุดเพื่อแสดงความจริงใจให้เห็นว่าไทยไม่ได้ต้องการเอาเปรียบชาวจีน”