คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ / โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
.
ถ้าไม่มีเหตุตำรวจทางหลวงจับกุมรถ “กระบะขนระเบิด” เพื่อใช้ก่อวินาศกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่องที่จะนำมาเขียนถึงในที่นี้คือ เรื่องที่ “โจรใต้” จำนวน 3 ราย “นำถังแก๊ส” และ “ปืนเอ็ม 16” มารายงานตัวกับ “แม่ทัพ” ในเดือนรอมฎอนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ “โจรใต้ตัวจริง” ได้ออกมามอบตัวเพื่อเข้าสู่ “โครงการพาคนกลับบ้าน” เพราะที่แล้วๆ มาคนที่ถูกพากลับบ้านยัง “คลุมเครือ” ว่าหลังมอบตัว จะทำให้สถานการณ์ของไฟใต้เย็นลงได้หรือไม่
แต่ที่ต้องการเขียนถึงและมีประเด็นสำคัญอยู่ประเด็นหนึ่ง นั่นคือ การบรรยาย “สรรพคุณ” โจรใต้ทั้ง 3 รายว่า เคยก่อเหตุร้ายทั้งฆ่าและระเบิดมาแล้วกว่า 60 ครั้ง จนมีคำถามมากมายจากทั้ง “ไทยพุทธ” ในพื้นที่และ “ครอบครัวผู้สูญเสีย” ว่า แล้วเราจะปล่อยให้ “โจรร้าย” ที่ถือเป็นถึง “ฆาตกรคนสำคัญ” เพราะก่อเหตุมาแล้วถึงกว่า 60 ครั้งได้ “ฟอกตัว” แบบจบลงด้วยแค่การนำถังแก๊สและปืน 1 กระบอกเดินมาขอเข้าสู่กระบวนการ “พาคนกลับบ้าน”
นั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่?!
เรื่องที่ว่านี้จึงต้อง “ค้างคา” ไว้ก่อน เพราะเรื่องราวการจับกุมระเบิดได้ถึง 41 ลูก พร้อมอุปกรณ์ในการประกอบระเบิดที่ยึดได้อีกจำนวนมาก เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ร้อนแรงกว่าแน่นอน
เพราะถ้าตำรวจทางหลวง จ.นราธิวาส ไม่สามารถตรวจจับรถกระบะของคนร้ายที่ขนระเบิดจำนวน 41 ลูก บนถนสายสุไหงโก-ลก - ตากใบได้เสียก่อน เชื่อเหลือเกินว่าหลังจาก “วันรายอแน” ซึ่งเป็นวันสำคัญทางศาสนาของ “มุสลิมปาตานี” ระเบิดทั้งหมดที่ถูกขนข้ามแดนมาจากประเทศมาเลเซียก็คงจะได้ “สำแดงเดช” อาจจะในคืนวันศุกร์หรือวันเสาร์ ซึ่งคงจะกลายเป็น “ข่าวใหญ่” ส่งท้ายเดือนรอมฎอนอีกครั้งหนึ่ง
ไม่ว่าการจับกุมระเบิดจำนวนมากได้พร้อมผู้ต้องหา 1 คนจะเป็นเรื่อง “ฟลุ๊ก” หรือ “โชคช่วย” หรือเป็นเพราะประเทศไทยเรามี “พระสยามเทวาธิราชเจ้า” คอยปกป้องหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็น “โชคดี” และเป็น “ความชอบ” ของตำรวจทางหลวงชุดที่จับกุมได้อย่างแน่นอน
ประเด็นที่ต้องตรวจสอบคือ รถขนระเบิดคันนี้ใช้ “เส้นทางไหน” ในการเดินทางจากชายแดนไทย-มาเลเซีย เพื่อไปส่งใจจุดนัดพบคือ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส
ถ้ารถขนระเบิดคันนี้ใช้ “เส้นทางสายหลัก” คือ สุไหโก-ลก - ตากใบ คำถามมีอยู่ว่า บนถนนสายนี้จากชายแดนมาเลเซียถึงจุดที่ถูกจับกุมมี “ด่านตรวจ” หรือมี “จุดตรวจ” ของกองกำลัง 3 ฝ่ายคือ ทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครองอยู่หลายแห่ง ทำไมรถบรรทุกระเบิดคนนี้ถึงสามารถ “ขับผ่านมาได้อย่างลอยนวล” แบบไม่มีข้อสงสัยอะไรจากเจ้าหน้าที่เลย
ถ้ารถคันนี้ใช้ “เส้นทางสายรอง” คือเส้นทางในหมู่บ้าน นั่นก็ต้องตรวจสอบดูให้ชัดว่า ผ่านพื้นที่ไหนบ้าง เพื่อที่จะได้มีการ “วิเคราะห์สถานการณ์” ในการป้องกันให้ตรงกับข้อเท็จจริงในการใช้ “จุดตรวจ” และ “ด่านตรวจ” ให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงในการตั้ง “ด่านลอย” ในเส้นทางรองหรือเส้นทางในหมู่บ้าน เพื่อหวังผลในการสกัดกั้นความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนร้าย หรือ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน ทั้งในเรื่องการขนอาวุธและเคลื่อนกำลังพล
แต่คำตอบที่ชัดเจนของการจับรถขนกุมระเบิดได้ครั้งนี้มีอยู่ 2 ประเด็นที่ต้องให้ความสนใจ กล่าวคือ ประเด็นแรกเป็น “วัตถุระเบิด” ถูกนำเข้ามาจาก “ประเทศมาเลเซีย” ประเด็นที่สอง “บีอาร์เอ็นฯ” ไม่ได้มีความคิดที่จะลดการก่อเหตุร้ายในพื้นที่ 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวีและสะบ้าย้อย โดยยังคงเดินหน้าก่อเหตุร้ายต่อไป แม้ว่าจะพ้นเดือนรอมฎอนwxแล้วก็ตาม
อันเป็นไปตามข่าวสารที่หน่วยความมั่นคงชั้น “วงใน” รับรู้กันว่า ในปี 2561-2562 ถือเป็น 2 ปีที่บีอาร์เอ็นฯ จะใช้ยุทธศาสตร์ในการ “แยกมวลชน” และ “ชี้ความบกพร่องของรัฐ” พร้อมๆ ไปกับการก่อเหตุร้าย เพื่อให้ หน่วยงานความมั่นคง “ติดกับ” กับการใช้กำลังที่มีอยู่ในการป้องกันการก่อเหตุร้าย
มีสิ่งที่หน่วยงานความมั่นคงจะต้อง “สำเหนียก” คือ “ข่าววงใน” ที่มีการระบุข้อมูลว่า หลังจากที่บีอาร์เอ็นฯ ใช้ความรุนแรงในการปลิดชีพบรรดา “มุสลิม” ที่ขวางทางไปแล้วจำนวนหนึ่ง รวมทั้งระดับ “รองประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี” ด้วยนั้น วันนี้บีอาร์เอ็นฯ มีแผนในการปลิดชีพ “ไทยพุทธ” ในพื้นที่ด้วย โดยอาศัย “เงื่อนไข” ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อชี้ให้เห็นความผิดพลาดของรัฐตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ และแน่นอนว่าหนึ่งในเงื่อนไขดังกล่าวคือ กรณีของ “ปัญหาฮิญาบ” ที่โรงเรียนอนุบาลปัตตานี
ถึงวันนี้ข่าวคราวกรณีสังหารรองประธานกรรมการอิสลามปัตตานี มีหลักฐานจาก “หัวกระสุน” ที่สามารถระบุได้แล้วว่า มาจาก “ปืนกองกลาง” ที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเคยใช้ในการก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง
และยังมีข่าวด้วยว่า ที่บีอาร์เอ็นฯ ต้องปลิดชีพรองประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี เป็นผลมาจากประเด็นสืบเนื่องจาก “นโยบายรัฐ” ในเรื่องของการพยายามส่งเสริมการศึกษา โดยเน้นให้คนมุสลิมได้รับการศึกษาเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายที่ขัดขัดกับ “ยุทธศาสตร์” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็นฯ
ทั้งนี้ที่ผ่านมามีผู้นำศาสนาและผู้นำสังคมจำนวนหลายรายที่มีนโยบายสวนทางกับบีอาร์เอ็นฯ และได้ถูกจัดการไปแล้ว เช่น กรณี “อิหม่ามยะโก๊ะ หร่ายมณี” อิหม่านมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี เขาก็ถูกปลิดชีพจากสาเหตุในทำนองเดียวกัน
การที่บีอาร์เอ็นฯ ใช้ “ยาแรง” กับคนมุสลิมด้วยกัน นั่นแสดงให้เห็นว่านโยบายในเรื่อง “พหุวัฒนธรรม” ก็ดี นโยบายเรื่อง “กำปงตักวา” ก็ดี อันเป็นนโยบายที่ กอ.รมน.พยายามผลักดัน เพื่อหวังใช้แก้ปัญหาไฟใต้ถือเป็นนโยบายที่ “เดินมาถูกทาง” เพราะถ้าไม่ถูกทางแล้ว คงจะไม่ได้รับการ “ขัดขวาง” จากบีอาร์เอ็นฯ
แต่การที่บีอาร์เอ็นฯ ใช้วิธีการปลิดชีพผู้นำศาสนาที่อยู่ฝ่ายรัฐคนแล้วคนเล่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นั่นก็ต้องถือเป็น “อุปสรรค” ของการขับเคลื่อนนโยบายที่ดี ซึ่งก็ต้องถือเป็นปัญหาใหญ่ของหน่วยงานความมั่นคงว่าจะแก้โจทย์นี้อย่างไร
เพราะจะนั่งรอ “ข่าวดี” จากการเวทีถกแถลงในกระบวนการ “พูดคุยสันติสุข” ซึ่งเป็นโครงการที่ต้องใช้เวลาอีกยาวนาน นั่นก็อาจจะกลายเป็นเรื่อง “ถั่วสุก งาไหม้” ไปเสีย เพราะชัดเจนแล้วว่ากระบวนการพูดคุยจะเริ่มได้อีกครั้งก็ต้องรอการ “เคาะ” จาก ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศมาเลเซียเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าคงจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ หรืออาจจะต้องรอให้ประเทศไทยผ่านการเลือกตั้ง และมีรัฐบาลชุดใหม่เสียก่อนจึงจะมีการพูดคุยรอบใหม่
ที่สำคัญถ้าดูความเคลื่อนไหวจากบีอาร์เอ็นฯ ที่มีฐานที่มั่นอยู่ในประเทศมาเลเซียในขณะนี้แล้ว ยิ่งเชื่อว่าการพูดคุยครั้งใหม่นั้น “รูปแบบ” จะไม่เป็นไปอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งในยุคของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผ่านมาจนถึงในยุคของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างแน่นอน
ดังนั้น ปัญหาเฉพาะหน้าของหน่วยงานความมั่นคงในขณะนี้จึงคือ ต้องมีการป้องกันการก่อการร้ายให้ได้ผล เพราะระเบิดที่ตำรวจทางหลวงจับกุมยึดได้ที่ ต.โฆษิต อ.ตากใบ จ.นราธิวาสนั้น นั่นย่อมไม่ใช่ “ระเบิดล็อตสุดท้าย” แน่นอน แต่เป็นได้เพียง “ระเบิดล็อตล่าสุด” ที่ถูกนำข้ามแม่น้ำมาจากประเทศมาเลเซียเท่านั้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นยังมีระเบิดอีกมากมายที่รอโอกาสในการส่งข้ามแดนจากประเทศมาเลเซีย เพื่อนำเข้ามาก่อวินาศกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย และยิ่งบีอาร์เอ็นฯ เกิดความสูญเสียแบบนี้ด้วยแล้ว “ปฏิบัติการเอาคืน” จึงเป็นเรื่องที่มีตารมมาได้สูงยิ่ง ถ้าหน่วยงานความมั่นคงไม่มี “แผนรับมือ” ที่รัดกุมดีพอ ต่อไปความสูญเสียอาจจะเกิดกับทุกอย่างที่เป็น “สัญลักษณ์” ของ “ไทยพุทธ” ได้อีกระลอกเป็นแน่
เชื่อหรือยังว่าแผ่นดินปลายด้ามขวานทองไทยจะสงบสุขไม่ได้เลยถ้า “มาเลเซีย” ยังคงเป็น “หลังพิง” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน
ฉะนั้นในการ “ดับไฟใต้” บรรดา “ท่านผู้นำ” ทั้งหลายจะเลือกอะไร? ระหว่างเปลี่ยนมา “เจารจา” กับ “รัฐบาลมาเลเซีย” หรือควรจะเดินหน้า “พูดคุย” กับกลุ่ม “มาราปาตานี” ต่อเนื่องไป ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลังก็คงไม่ต่างไปจากการยอมรับให้ “สากกะเบือ” ได้มีบทบาทต่อไปเท่านั้นเอง