เลขาฯ สมช.เผย “เสี่ยป้อม” กำชับใช้งบประมาณ จชต.-บริหารจัดการชายแดน ลดความเสี่ยงก่อเหตุ เล็งปรับลดพื้นที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หากสถานการณ์ดี-ปชช.ร่วมมือ ชี้ยังเดินหน้าคุยสันติสุข
วันนี้ (18 มิ.ย.) เวลา 12.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงชาติ (สมช.) กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (คปต.) ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และรมว.กลาโหม เป็นประธาน ว่าที่ประชุมรับทราบเรื่องที่สำคัญโดยเฉพาะสาระสำคัญของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ยึดถือปฏิบัติด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และต้องดำเนินการด้วยความสุจริต คุ้มค่า โปร่งใส มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สามารถตรวจสอบได้ นอกจากนั้น ได้รับทราบความคืบหน้าการจัดทำแผนอัตรากำลังพลตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (นปพ.) และตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.)ในพื้นที่ รวม 4,700 อัตรา ให้มีความพร้อมรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ในอนาคต และรับทราบการจัดทำแนวทาวการจัดระเบียบชายแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อใช้เป็นกรอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ถือปฏิบัติซึ่งจะทำเป็นปกติในเดือน เม.ย.และต.ค.
พล.อ.วัลลภกล่าวต่อว่า ที่ประชุม คปต.ยังเห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาการรังวัดที่ดิน กรณีการจัดหาที่ดินเพิ่มเติมเพื่อการดำเนินโครงการพัฒนาด่านศุลากรบูเก๊ะตา ต.โล๊ะจูด อ.แว้ง จ.นราธิวาส ให้มีความพร้อมปฏิบัติงานและเพื่ออำนวยความสะดวกในการผ่านแดนตามกฎหมายแก่ผู้เดินทางเข้าออก ค้าขาย ท่องเที่ยว รวมถึงผู้ประกอบการที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ รวมทั้งโครงการขับเคลื่อนค่ายพัฒนาเพื่อการเรียนรู้สังคมพหุวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง นำไปสู่การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมได้อย่างสันติสุขโครงการจัดหาเรือยางตรวจการณ์ท้องแข็งในการใช้ลาดตระเวนทางน้ำในพื้นที่ เพื่อสนับสนุน การแก้ไขปัญหาการกระทำผิดกฎหมายตามแนวชายแดนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และโครงการอาชีวศึกษาประชารัฐ จชต. เพื่อช่วยเหลือและสร้างโอกาสทางการศึกษาวิชาชีพแก่นักเรียนและเยาวชนในพื้นที่ ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป
พล.อ.ประวิตรได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดระเบียบชายแดนในพื้นที่โดยเร็วเพื่อลดความเสี่ยงต่างๆ ทั้งเรื่องยาเสพติด การข้ามพื้นที่ไปมา การก่อวินาศกรรม โดยต้องคำนึงถึงความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ขณะที่การดำเนินการด้านงบประมาณ ต้องให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย ส่วนการทำของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จะเป็นผู้กำหนดนโยบายและกำกับดูแลในภาพรวม และจะปฏิบัติในนโยบายที่จำเป็นเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับการทำงานของกระทรวงที่เกี่ยวข้อง” เลขาฯ สมช.กล่าว
เมื่อถามถึงการพิจารณาปรับลดพื้นที่ประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินมาใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เพิ่มเติมจากพื้นที่ว่า จะพิจารณาไปเรื่อยๆ จากที่ลดพื้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา และพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส จากนี้จะดูว่าพื้นที่ใดก่อเหตุน้อยลงและประชาชนร่วมมือกับภาครัฐในการดูแลพื้นที่ได้ดีจะปรับลด
เมื่อถามถึงความคืบหน้าการพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ เลขาฯ สมช.กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลยังเหมือนเดิมคือยังพูดคุยกันอยู่ ยังต้องการพูดคุยกับกลุ่มเห็นต่างเพื่อให้เกิดสันติภาพในพื้นที่ แต่ขณะนี้ต้องรอดูความชัดเจนของทางผู้อำนวยความสะดวกว่าจะเป็นคนเดิม และนโยบายจะเป็นเหมือนเดิมหรือไม่ ทั้งนี้ แม้จะเปลี่ยนรัฐบาลใหม่แต่ระหว่างไทยและมาเลเซียเปผ้นเพื่อนบ้านที่ดีและสนับสนุนซึ่งกันและกันคิดว่านโยบายก็คงจะอำนวยประโยชน์ให้แก่ทั้งสองประเทศ