สตูล - ชาวเลเดือดร้อน! ถูกน้ำทะเลกัดเซาะหนัก อบจ.สตูล ทุ่มงบ 2 ล้านบาท เติมป่าชายเลน “แหลมการีมโมเดล” ช่วยชาวบ้านเกาะสาหร่าย แก้ปัญหาการกัดเซาะอย่างยั่งยืน หลังพบธรรมชาติถูกทำลายเดือดร้อนกันทั่ว
วันนี้ (16 มิ.ย.) ที่บริเวณแหลมการีม หมู่ที่ 5 ต.เกาะสาหร่าย อ.เมือง จ.สตูล อาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร และที่ปรึกษากรมทรัยพากรทางทะเลและชายฝั่ง ด้านการกัดเซาะชายฝั่ง พร้อมด้วย นายมเหสักข์ หิรัญตระการ ผอ.ส่วนบริหารพื้นที่ชายฝั่งและวิชาการ สำนักงานบริหารจัดการทรัยพากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 7 หรือ สบทช.7 นายวิสิษฐ์ สุทธิสว่าง หน.สถานีพัฒนาทรัยพากรป่าชายเลนที่ 35 (เจ๊ะบิลัง-สตูล) และนายรอสี ใบกาเด็ม รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล
ได้ลงติดตามความคืบหน้าแนวทางแก้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และจุดจอดเรือของชาวบ้านบริเวณหัวแหลมการีม หมู่ที่ 5 ต.เกาะสาหร่าย อ.เมือง จ.สตูล อีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ได้ให้คำแนะนำชาวบ้าน และ อบจ.สตูล ผู้นำท้องถิ่นที่ขอคำปรึกษาถึงแนวทางการแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน หลังนำหินทิ้งเข้าแก้ไข และป้องกันคลื่นลมแรงให้ชาวบ้านแล้วไม่ได้ผล เนื่องจากติดปัญหาของป่าชายเลน ทำให้แนวทำหินทิ้งไม่สามารถทำได้ตลอดเส้นทาง 2 กิโลเมตร ตามงบประมาณที่ตั้งไป เนื่องจากชาวบ้านต้องการให้หินทิ้งขนาดใหญ่อยู่ห่างจากบ้านเรือนไปอยู่ในแนวเขตป่าชายเลน เพื่อให้นำเรือเข้ามาจอดหลบลมได้
จากปัญหาได้มีการหารือร่วมกัน โดยให้มีการนำหินทิ้งออกไปจากหมู่บ้านที่กำลังส่งผลกระทบอย่างหนัก 7 หลังคาเรือน ระยะทาง 475 เมตร จากนั้นได้มีการตั้งโครงการลดผลกระทบการกัดเซาะชายฝั่ง ด้วยวิธีปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นแทนในระยะทาง 2 กิโลเมตร เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นดินโคลน และมีหินผุ ป่าชายเลนก็จะกลับมาช่วยลดการกัดเซาะ และเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ โดยใช้ธรรมชาติสู้กับธรรมชาติ ถือเป็นโมเดลใหม่ในการแก้ปัญหาลดการกัดเซาะในพื้นที่ฝั่งอันดามันตอนล่าง
อาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร และที่ปรึกษากรมทรัยพากรทางทะเลและชายฝั่ง ด้านการกัดเซาะชายฝั่ง กล่าวว่า ปัญหาที่แท้จริงชาวบ้านต้องการที่จอดเรือมากกว่าแก้ปัญหาการกัดเซาะ เนื่องจากการทิ้งหินในพื้นที่ป่าชายเลนไม่สามารถทำได้เพราะผิดกฎหมาย ทำให้มีการนำหินมากองไว้ใกล้บ้านเรือนยิ่งเพิ่มความรุนแรงของคลื่นลม
อีกทั้งพื้นที่ตรงนี้เป็นหินผุทั้งเกาะ และมีดินโคลนการใช้หินทิ้งขนาดใหญ่ ยิ่งจะทำให้หินจม และต้องมีการซ่อมแซมอยู่ตลอด รวมทั้งสภาพอดีตที่เคยสมบูรณ์ของป่าชายเลนแห่งนี้ได้ถูกทำลายมาอย่างยาวนานร่วม 30 ปี ทั้งโดยธรรมชาติ และมือมนุษย์ วิธีปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นหากประสบความสำเร็จ เชื่อว่าจะเป็นโมเดลสำคัญในพื้นที่ฝั่งอันดามันตอนล่าง โดยการใช้ธรรมชาติสู้กับธรรมชาติ ด้วยการปลูกพืชโกงกางมาเป็นเกราะในการป้องกันคลื่นลม อีกทั้งเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ และข้อดีของป่าโกงกางที่มีอีกมากมายจะช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ได้
ด้าน นายรอสี ใบกาเด็ม รอง อบจ.สตูล กล่าวว่า อบจ.สตูล พร้อมสนับสนุนงบประมาณ 2 ล้านบาท ในการบรรเทาความเดือดร้อน และแก้ปัญหาให้แก่ชาวบ้าน ซึ่งยังมีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในลักษณะนี้ใน จ.สตูล อีกหลายแห่ง และพบว่าบางแห่งต้องใช้วิธีทิ้งหิน บางแห่งต้องเลือกใช้วิธีปักไม้ไผ่ปลูกโกงกางชะลอคลื่นลม ซึ่งขณะนี้เม็ดเงินพร้อมแล้ว รอเพียงขั้นตอนการเบิกจ่ายของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ด้านการกัดเซาะชายฝั่ง ก็จะสามารถทำได้ในทันที