xs
xsm
sm
md
lg

มองความขัดแย้งผ่านเลนส์ความรู้ (ตอนที่ 1) / จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ภาพประกอบ
 
คอลัมน์  :  คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ  หยูทอง-แสงอุทัย
--------------------------------------------------------------------------------
 
 
ข้าพเจ้าได้รับการทาบทามจากอาจารย์สำนักวิชารัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ นครศรีธรรมราช ให้ไปเป็นวิทยากรร่วมเสวนาในงานสัมมนาวิชาการ “รัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ วิชาการ วลัยลักษณ์ ครั้งที่ ๑” ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๔ มีนาคม ๒๕๖๐ ณ อาคารปฏิบัติการเทคโนโลยีและพัฒนานวัตกรรม มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ในประเด็น “มองความขัดแย้งผ่านเลนส์ความรู้” ร่วมกับ รศ.ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ จากสำนักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และ อ.ดร.พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 
ข้าพเจ้าบอกรับการทาบทามทันที โดยลืมไปว่าต้องไปร่วมเวทีกับบุคคลทั้งสองดังกล่าวที่ล้วนมีดีกรีระดับ ป.เอก และมีสถานภาพเป็นอาจารย์ประจำในคณะวิชาที่เกี่ยวข้องต่อการเมืองการปกครอง ในขณะที่ข้าพเจ้าจบมาทางการศึกษานิติศาสตร์และไทยคดีศึกษา และไม่เคยได้เป็นอาจารย์ประจำในคณะวิชาเกี่ยวกับการเมือง มีแต่เป็นอาจารย์พิเศษในบางมหาวิทยาลัย เช่น มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และหาดใหญ่ ในรายวิชาที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครองและการสื่อสารทางการเมืองอยู่บ้าง
 
แต่ที่กล้ารับปากอาจจะเพราะข้าพเจ้าคิดว่า ตัวเองพอจะมีประสบการณ์ร่วมอยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้งในรอบสิบกว่าปี ในฐานะนักวิชาการของชาวบ้าน นิสิต นักศึกษา และนักพัฒนาองค์กรพัฒนาเอกชน ที่ขับเคลื่อนประเด็นทางการเมือง อดีตประธานสมัชชาจังหวัดสงขลาเพื่อการปฏิรูปการเมือง กรรมาธิการวิสามัญรับฟังความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการยกร่างรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ และ ๒๕๕๘ และอดีตผู้ต้องหาของ คสช.ในข้อหาขัดคำสั่ง คสช.และถูกแจ้งความร่วมกับเพื่อนนักวิชาการอีก ๗ คน จาก ๗ สถาบัน ที่โรงพักช้างเผือก เชียงใหม่ เมื่อปลายปี ๒๕๕๘
 
ข้าพเจ้าจึงขออนุญาตทดลองนำเสนอประเด็นที่คิดว่าจะพูดในเวทีดังกล่าว ดังต่อไปนี้
 
๑. ความเป็นมา หรือรากเหง้าของความขัดแย้ง


สังคมการเมืองไทยมีรากเหง้าของความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง มาตั้งแต่ก่อนการปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ.๒๔๓๕ ที่รวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง เพื่อแสดงศักยภาพให้ประเทศมหาอำนาจเห็นว่าศูนย์กลางคือ ราชธานี ที่สามารถควบคุมหัวเมืองทั่วราชอาณาจักรได้ และมีอารยะในด้านต่างๆ ไม่แพ้ชาติตะวันตก ไม่ได้ป่าเถื่อนอนารยะตามที่ถูกกล่าวหา

แต่การรวมศูนย์อำนาจก็ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่นทั่วประเทศ และในส่วนกลางเองก็เกิดกบฏตามมาในสมัยรัชกาลที่ ๖

ต่อมา สมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ก็เกิดความขัดแย้ง ทรยศหักหลังกันระหว่างฝ่ายนิยมเจ้ากับไม่นิยมเจ้า มีการกล่าวหาว่าฝ่ายหนึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ ๘ ฯลฯ มีกบฏเกิดขึ้น มีการหักหลังล้มล้างกันจน นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส และอดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องไปจบชีวิตยังต่างแดน

สมัยเรียกร้องรัฐธรรมนูญ และระบอบประชาธิปไตย ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ จนถึงยุคมิคสัญญีใจกลางเมือง ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ หรือหกตุลามหาโหด ก็เป็นยุคสมัยแห่งความขัดแย้งระหว่างนักศึกษา ปัญญาชน และประชาชน แนวร่วมประชาธิปไตยกับรัฐบาลเผด็จการทหาร และพวกขวาจัดในยุค “ขวาพิฆาตซ้าย” ผลักดันให้ฝ่ายประชาชนต้องเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ต่อมา ก็กลับสู่เมืองด้วยนโยบาย “การเมืองนำการทหาร” หรือคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๖๖/๒๕๒๓

สมัยพฤษภาทมิฬ ๒๕๓๕ เป็นความขัดแย้งระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย ที่ต้องการขับเคลื่อนการปฏิรูปการเมือง โดยการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น กับเผด็จการทหาร รสช.ที่ต้องการจะสืบทอดอำนาจโดยทายาท รสช. พล.อ.สุจินดา คราประยูร ผู้ “เสียสัตย์เพื่อชาติ” นำไปสู่การชุมนุมขับไล่เผด็จการที่ยืดเยื้อยาวนานทั่วประเทศของชนชั้นกลาง ที่ใช้เครื่องมือสื่อสารโทรศัพท์มือถือกับโทรสารในการติดต่อประสาน และติดตามข่าวคราวการเคลื่อนไหวที่เรียกว่า “ม็อบมือถือ” ในที่สุดก็นำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญที่เพิ่มสิทธิเสรีภาพของประชาชน และเน้นการกระจายอำนาจมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา

การเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเดือนมกราคม ๒๕๔๔ พรรคไทยรักไทย ของ นายทักษิณ ชินวัตร นักธุรกิจด้านการสื่อสาร ผู้เคยประสบความล้มเหลวทางการเมืองมาจากพรรคพลังธรรม ประสบความสำเร็จจากสนามเลือกตั้งอย่างท่วมท้น ด้วยนโยบาย “ประชานิยม” ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในลักษณะ “ตกปลาในบ่อเพื่อน” เพราะดึงนักการเมืองจากพรรคการเมืองอื่นๆ แบบรวมดาวกระจาย และประสบปัญหาการแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ ที่เรียกว่า “คดีซุกหุ้น” แต่ก็สามารถผ่านการลงดาบจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไปได้อย่างเฉียดฉิวเพียงคะแนนเดียว
 
แต่ด้วยพฤติกรรมที่ไม่สง่างามทางการเมือง โดยการแทรกแซง และติดสินบนสถาบันทางการเมืองต่างๆ อย่างไม่มียางอาย จึงนำไปสู่การปฏิวัติยึดอำนาจในวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ในช่วงที่กำลังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ ๒ ด้วยความคึกคะนอง และในที่สุดพรรคไทยรักไทยก็ถูกยุบ เพราะกรรมการบริหารกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ละเมิดรัฐธรรมนูญ ล่าสุด เปลี่ยนมาเป็นพรรคเพื่อไทย

แต่ถึงแม้ว่า นายทักษิณ จะกระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองหลายกรรม หลายวาระ และถูกตัดสินจำคุกในบางคดี จนต้องหลบหนีการถูกลงโทษทางอาญาไปเป็นสัมภเวสีอยู่ต่างประเทศ แต่ก็ยังทรงอิทธิพลในพรรคการเมืองที่ตนสร้างมากับมือ และยังเป็นที่นิยมของพี่น้องประชาชนในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลางบางส่วนอยู่ จึงยังมีบทบาทในการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความไม่ชอบธรรมให้แก่ฝ่ายตรงข้าม
 
โดยมีนอมินีมาเป็นผู้นำแทนตน นับตั้งแต่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตหัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ที่ยอมรวมพรรค นายสมัคร สุนทรเวช อดีตหัวหน้าพรรคประชากรไทย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย และมาจบลงที่น้องสาว นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีประชาชนออกมาขับไล่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ และตั้งสมญานามแบบดูถูกดูแคลนที่สุดเท่าที่โลกนี้มีนายกรัฐมนตรีกันมา
 
นี่คือปฐมบทของความขัดแย้งที่รุนแรง กว้างขวาง และซับซ้อน ในทุกมิติที่สุดเท่าที่ประเทศนี้มีความขัดแย้งกันมา เพราะความขัดแย้งขยายวงไปทุกวงการ ทั้งนักวิชาการ ประชาชน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พระสงฆ์ และทุกสาขาอาชีพ โดยเฉพาะคนขับแท็กซี่ใน กทม.
 
(ติดตามต่อตอนที่ 2)
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น