xs
xsm
sm
md
lg

ต้องแก้กติกาการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนแบบ “ปาหี่” ก่อนจะหายนะมากกว่านี้ / ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
ดร.ไชยณรงค์  เศรษฐเชื้อ
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
--------------------------------------------------------------------------------
 
 
เหตุการณ์เมื่อเช้าวันที่ 15 ธันวาคม 2559 ที่ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยบุกล้มเวทีรับความคิดเห็นของประชาชนครั้งที่ 1 (ค.1) ของบริษัทที่ปรึกษาโครงการท่าเทียบเรือน้ำลึกสงขลา 2 (บ้านสวนกง นาทับ) ที่โรงแรมบีพี สมิหลา บีช รีสอร์ท  สงขลา โดยมีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบช่วยกันไม่ให้ผู้ที่คัดค้านเข้าร่วมเวที และให้บริษัทที่ปรึกษาดำเนินการรับฟังความคิดเห็นต่อไป จนกระทั่งมีการบุกล้มเวที แต่ก็ยังมีการวิ่งไปจัดที่อื่น
 
หลังจากนั้น ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยก็มีแถลงการณ์ว่า การจัดเวทีไม่ครบตามขั้นตอนของกฎหมาย พูดง่ายๆ ก็คือ “โมฆะ” ต้องจัดใหม่ ขณะที่ไลน์ในกลุ่มราชการก็ยืนยันว่า กระบวนการรับฟังความคิดของประชาชน “ถูกต้องสมบูรณ์” แล้ว
 
สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยวิธีประชาพิจารณ์ ตามหลักสากลแล้วก็คือ การที่รัฐต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วม และเพื่อให้การตัดสินใจของรัฐตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นวิชาการ และการพิจารณาผลกระทบอย่างรอบด้าน
 
สำหรับประเทศไทย การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนโดยวิธีประชาพิจารณ์ ถือกำเนิดขึ้นจากการต่อสู้ของพี่น้องมุสลิมบ้านครัว ที่คัดค้านแยกทางด่วนที่จะผ่านชุมชน และต่อมา รัฐไทยก็ยอมรับกระบวนการแบบนี้ โดยได้มีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นโดยวิธีประชาพิจารณ์ในปี 2539 ซึ่งออกในสมัยรัฐบาลคุณบรรหาร ศิลปอาชา ระเบียบสำนักนายกฉบับนี้ นับว่าเป็นระเบียบที่กำหนดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่ดีที่สุด
 
ขอบคุณภาพประกอบ :  เหตุการณ์รับฟังความคิดเห็นฯ ท่าเทียบเรือสงขลา 2 จาก เฟซบุ๊ก ประสิทธิ์ชัย หนูนวล
 
แต่ในปี 2548 สมัยรัฐบาลคุณทักษิณ ชิณวัตร ก็ได้มีการยกเลิกระเบียบเก่า และประกาศใช้ระเบียบใหม่ ซึ่งระเบียบใหม่มันอัปลักษณ์ตรงที่เจ้าของโครงการจัดเวทีเอง ไม่มีกรรมการ และกติกา กลับทำให้กระบวนการรับฟังความคิดเห็นกลายเป็นเวทีสร้างความชอบธรรมให้แก่โครงการขนาดใหญ่ และกีดกันประชาชนออกไป ซึ่งตรงกันข้ามกับเจตนารมณ์ของการรับฟังความคิดเห็นตามหลักสากล
 
ระเบียบนี้คือที่มาของประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วันที่ 29 ธันวาคม 2552 ซึ่งทำให้เกือบทุกเวทีที่มีการจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างฝ่ายที่คัดค้านโครงการ กับบริษัทที่ปรึกษา เจ้าของโครงการ และเจ้าหน้าที่รัฐ
 
ไม่ว่าจะเป็นกรณีของการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ กรณีแผนการจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน (สมัยรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ที่เรียกว่า “ประชาพิจารณ์ป่าหี่”
 
ขอบคุณภาพประกอบ :  เหตุการณ์รับฟังความคิดเห็นฯ การให้สัมปทานเหมืองแร่เมืองเลยโดย เริงฤทธิ์ คงเมือง Roengrit Kongmuang
 
การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนกรณีเหมืองทองเมืองเลย (สมัยรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ที่นักศึกษากลุ่มดาวดินก้มลงกราบเจ้าหน้าที่ท่ามกลางสายฝน เพื่อขอให้ชาวบ้านที่ถูกกีดกันอยู่ข้างนอกได้เข้าร่วมเวที
 
หรือกรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่และเทพา (สมัยรัฐบาลทหาร คสช.) ที่มีการระดมเจ้าหน้าที่ทหารพร้อมอาวุธคอยคุ้มกันเวที และกีดกันคนที่คัดค้าน
 
หากจะให้พิจารณากรณีทั้งหมด รวมถึงกรณีท่าเทียบเรือน้ำลึกสงขลา 2 ตามหลักการสากล โดยยึดเจตนารมณ์แล้ว ผมถือว่าการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นทุกครั้งที่ผ่านมา มันไม่ใช่การรับฟังความคิดเห็น แต่เป็นกระบวนการที่จัดขึ้นมาให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น 
 
พูดอย่างถึงที่สุด กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ที่จัดโดยเจ้าของ หรือบริษัทที่ปรึกษาโครงการขนาดใหญ่ ล้วนแต่เป็นการเล่น “ปาหี่” เท่านั้น
 
ขอบคุณภาพประกอบ :  เหตุการณ์รับฟังความคิดเห็นฯ โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ โดยกรีนพีชเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทย
 
ข้อเสนอของผมก็คือ สังคมไทยต้องช่วยกันเรียกร้องให้มีการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนโดยวิธีประชาพิจารณ์ พ.ศ.2548 และต้องมีการยกร่างกติกาการรับฟังความคิดเห็นฯ ใหม่โดยเร่งด่วน โดยอาจกลับไปใช้ระเบียบปี 2539 แทน หรือใช้ระเบียบดังกล่าวเป็นตุ๊กตา และแก้ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วันที่ 29 ธันวาคม 2552 ให้สอดคล้องต่อระเบียบใหม่
 
โดยที่ระเบียบนั้นจักต้องเป็นกระบวนการที่ให้ความเป็นธรรม และเคารพสิทธิของผู้ได้รับผลกระทบมากกว่าเรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของโครงการ มิฉะนั้นแล้วขืนยังใช้ระเบียบที่ใช้ในปัจจุบัน วันหนึ่งผมคิดว่า อาจจะมีการตีกันตายเพราะเวทีรับฟังความคิดเห็นฯ ก็เป็นได้ 
 
หรือหากแม้ว่าโครงการดำเนินไปได้ โดยอ้างว่าจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความขัดแย้งจะยุติ ซึ่งจะทำให้โครงการกลายเป็นที่มาของบาดแผลในสังคม รวมทั้งสร้างหายนะต่อระบบนิเวศอย่างใหญ่หลวงได้
 
นอกจากนั้น ระเบียบดังกล่าวที่จะเป็นกติกาใหม่ต้องระบุว่า การแจกสิ่งของ เช่น เสื้อยืด แว่นตา ที่ตัดเล็บ ข้าวสาร เงินค่ารถ ฯลฯ หรือใช้เงินในรูปของโครงการ CSR หรือประชาสัมพันธ์ เพื่อจูงใจให้สนับสนุนโครงการ เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายพอๆ กับการซื้อเสียงของนักการเมือง หากหน่วยไหนทำแบบนั้นควรมีความผิดทางอาญาด้วย
 
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น