xs
xsm
sm
md
lg

ตรรกะวิบัติ / จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ภาพตากอินเทอร์เน็ต
 
คอลัมน์  : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
--------------------------------------------------------------------------------
 
 
สังคมไทยปัจจุบันเข้าสู่โหมดของความขัดแย้งด้วยตรรกะ “พระเจ้าคนละองค์” หรือ “รักคนที่อีกฝ่ายเกลียด และเกลียดคนที่อีกฝ่ายรัก” โดยใช้ตรรกะด้านเดียวคือ ด้านที่ตัวเองเชื่อ เป็นเครื่องโน้มนำจิตใจของตนเอง และเหล่าสาวกให้คิด และเชื่อตามกันไป โดยไม่มีใครย้อนแย้งในความเชื่อหลายเรื่องที่ไม่ใช่ความจริง
 
ตัวอย่าง เช่น การยกเอาบทบาทและพฤติกรรมธรรมกาย มาเปรียบเทียบกับพุทธะอิสระ ผู้เปรียบเทียบล้วนยกเอาส่วนดีของธรรมกาย มาประชันกับส่วนเสียหายของพุทธะอิสระ โดยไม่ยอมพูดถึงกรณีที่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในทางศาสนา อย่าง พระปยุต ปยุตโต หลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ และ ว.วชิรเมธี ที่วิพากษ์ว่า ธรรมกายไม่ใช่พระในทางพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอดจนวัตรปฏิบัติของธรรมกายก็ผิดเพี้ยนไปจากพระธรรมวินัยหลายอย่างหลายประการ
 
แต่คนที่เชื่อในความดีของธรรมกายก็มองไม่เห็น และไม่ได้ยินเสียงตำหนิติเตียนอันนี้ แต่กลับไปเห็น และได้ยินเสียงติเตียนพุทธะอิสระ และนำมาก่นประจานทุกเม็ด เพื่อให้พวกเดียวกันพลอยร่วม “ขบวนแห่บ้า” นำสังคมไปสู่ความเกลียดชัง แตกแยกไม่มีที่สิ้นสุด
 
กรณีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ในนามของระบอบทักษิณ กับรัฐบาล คสช.ก็เช่นเดียวกัน ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่หลักการเหตุผลของนโยบายรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชาวนา ซึ่งใครต่อใครต่างก็เห็นกันอยู่แล้ว แต่ประเด็นปัญหาเรื่องนี้อยู่ที่การทุจริตคอร์รัปชัน และนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีปล่อยให้เกิดการทุจริตขึ้น ทั้งๆ ที่ ป.ป.ช.เตือนแล้วหลายครั้ง และความจริงก็คือ ไม่ได้มีการดำเนินการตามนโยบายที่ว่า จนสร้างปัญหาให้ประเทศชาติ และชาวนาได้รับความเสียหาย
 
แต่ตรรกะของฝ่ายที่ชื่นชมรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลับไปถามทวงถึงความดี หรือไม่ดีของนโยบาย ไม่ยอมมองปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน อันเป็นปัญหาใหญ่ของการบริหารจัดการรัฐไทยมาหลายชั่วอายุคน และกลายเป็นประเด็นหลักของการปฏิรูปการเมืองในปัจจุบัน
 
ตรรกะอีกประการหนึ่งที่เป็นอันตรายสำหรับสังคมไทย และกำลังจะนำสังคมไทยไปสู่หายนะ คือ ตรรกะ “เลือกตั้งนิยม” ที่สมาทาน “การเลือกตั้ง” เป็นศูนย์กลางของจักรวาลความเป็นประชาธิปไตย ตามหลักการของชาติตะวันตก ที่มีพัฒนาการความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ จารีต และคติชนวิทยาแตกต่างจากเรา โดยไม่ยอมมองถึงเนื้อหาสาระของผลได้ผลเสีย หรือวุฒิภาวะของคนที่มาจากการเลือกตั้ง แม้ว่าการไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจะเป็นกระบวนการ หรือวิธีการที่ไม่เหมาะสม หรือเป็นที่ยอมรับในทางสากล แต่หากการมาจากการเลือกตั้งก็ชั่วช้าสามานย์ไม่แตกต่าง หรือมากกว่า
 
เราก็จำเป็นต้องมีการล้มล้างคณะบุคคลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่มีพฤติกรรมที่ไม่ตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ และสำหรับประเทศด้อยพัฒนาอย่างเรา ก็หนีไม่พ้นการยึดอำนาจด้วยปากกระบอกปืน แต่ไม่ได้หมายความว่า คนที่เห็นด้วยต่อการเปลี่ยนแปลงแบบนี้จะหลงใหลได้ปลื้มต่อเผด็จการทหาร แต่เมื่อเผด็จการพลเรือนมันเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดร้ายทารุณ ประชาชนก็ไม่มีทางเลือกอื่น หรือที่พึ่งอย่างอื่น เนื่องจากพลังประชาชนเรือนล้าน และหลายล้านก็ยังไม่สามารถเอารัฐบาลบ้าอำนาจลงจากอำนาจได้มิใช่หรือ
 
ตรรกะที่บอกว่า ต้องปล่อยให้บ้านเมืองมันพัฒนาไปตามที่ควรจะเป็น ทหารอย่าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองดีไหม ถามว่าแล้วใครจะเป็นผู้เสียสละทอดร่างของตัวเองให้รัฐบาลบ้าอำนาจสังหารเล่น เพื่อบูชายัญให้คนอื่นขลาดกลัว ใครจะรับผิดชอบชะตากรรมของประชาชนเหล่านั้น เรามีบทเรียนมามากมายหลายครั้ง ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไม่ว่าจะในสมัยรัฐบาลทหาร หรือพลเรือน ว่า ผู้ถูกเข่นฆ่าทารุณกรรมให้เสียเลือด เสียน้ำตา และเสียชีวิต ล้วนเป็นประชาชนวีรชนนิรนามแทบทั้งสิ้น
 
ตรรกะอีกประการหนึ่งที่สังคมไทยชอบกล่าวอ้างคือ “ไม่ใช่เท่าแต่วัดอาตมาที่พระเสพเมถุนกับหมา” คือ หมายความว่า การกระทำที่ไม่ชอบมาพากลที่ตนถูกกล่าวหา ไม่ใช่มีแต่พวกตนเท่านั้น คนอื่นเขาก็ทำกัน เหมือนกับคนทำผิดกฎหมายจราจร เมื่อถูกตำรวจแจ้งข้อหา หรือเขียนใบสั่ง ก็มักจะโต้แย้งว่าทำไมไม่จับคนโน้น คนนี้ ซึ่งกระทำความผิดเหมือนตน เพื่อปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากการถูกตำหนิติเตียน หรือถูกลงโทษ เพราะว่าคนอื่นก็ทำ แต่ทำไมไม่ถูกดำเนินการ
 
อันเป็นที่มาของตรรกะ “สองมาตรฐาน” หรือ “หลายมาตรฐาน” จนเกิดวาทกรรมอมตะข้ามยุคสมัยของอดีตรัฐมนตรี และ ดร.ทางกฎหมายท่านหนึ่งว่า “ท่านนายกฯ ทักษิณไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เพียงแต่ท่านทำในสิ่งที่กฎหมายห้ามเท่านั้น”
 
จึงมีคนเล่านิทานตลกๆ ให้ฟังว่า ฝรั่งคนหนึ่งถามคนไทยว่า ทำไมคนไทยจึงไหว้ทุกอย่าง แม้แต่ต้นไม้ใหญ่ จอมปลวก ฯลฯ คนไทยจึงตอบฝรั่งไปว่า “เมืองไทยอะไรๆ ก็ศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่าง ยกเว้นกฎหมาย”
 
ตราบใดที่แต่ละฝ่ายยังใช้ตรรกะด้านเดียวที่ตัว และสาวกเชื่อมานำเสนอ โดยไม่เคารพต่อความเป็นจริงอีกด้านของแต่ละฝ่าย ตราบนั้นเราจะยังคงจมอยู่ในวังวนของความขัดแย้ง เพราะเชื้อของความชิงชัง เพื่อรอวันเข้าสู่มิคสัญญีในอีกไม่นานข้างหน้านี้ โดยมีร่าง หรือชีวิตของมวลชนผู้รักความเป็นธรรมตามแนวทางของแต่ละฝ่าย ส่วนผู้สร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้งกลับอยู่อย่างสุขสบาย และปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
 
เราจะต้องไม่ปล่อยให้ความเชื่อแบบผิดๆ มาครอบงำความจริงของทุกฝ่าย มิฉะนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรต่อการจะบอกแก่ชาวโลกว่า เราคือ “คนไทย” หรือ “ชาวสยามเมืองยิ้ม” “เมืองแห่งไมตรี และมิตรภาพ” อย่างที่ชาวโลกเขาร่ำลือกันมายาวนานในประวัติศาสตร์โลก.
 
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น